Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

สภาวะหยาบหรือละเอียด ก็แสดงไตรลักษณ์

mp3 for download : ไม่ต้องเห็นสภาวะละเอียด สภาวะหยาบก็แสดงไตรลักษณ์เหมือนกัน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

สภาวะหยาบหรือละเอียด ก็แสดงไตรลักษณ์

สภาวะหยาบหรือละเอียด ก็แสดงไตรลักษณ์

หลวงพ่อปราโมทย์ : อยู่ที่สติปัญญานะ ค่อยฝึกค่อยรู้ค่อยดูของเราไป ในที่สุดใจก็สักว่ารู้สักว่าเห็นแท้ๆเลย จิตจะขยับไปก็เห็น จิตจะทรงอยู่ก็เห็น เห็นแต่เรื่องบังคับไม่ได้ อันนี้สำหรับพวกปฏิบัติละเอียดนะ

บางคนไม่ต้องละเอียด บางคนแค่เห็นว่าเดี๋ยวจิตก็สุขเดี๋ยวจิตก็ทุกข์เดี๋ยวจิตก็เฉยๆเห็นแค่นี้ก็ได้ บางคนเห็นว่าเดี๋ยวจิตก็โกรธเดี๋ยวจิตก็ไม่โกรธ บางคนเห็นว่าเดี๋ยวจิตก็เผลอเดี๋ยวจิตก็ไม่เผลอ เห็นแค่นี้ก็ได้ ไม่ต้องละเอียดก็ได้

การเห็นละเอียดเนี่ยเหมาะสำหรับคนบางคน เนื่องจากมีจริตนิสัยละเอียด จะเห็นแต่สภาวธรรมล้วนๆเลย จะว่าดูจิตมันก็ไม่เชิงนะ มันเหมือนๆเห็นสภาวธรรมล้วนๆเลย ไม่รู้ว่าคืออะไรหรอก เห็นแต่สภาวธรรมบางอย่างไหววับ ดับวับ ดับไป ไม่รู้ว่าคืออะไร

แต่ไม่จำเป็นต้องละเอียด เพราะฉะนั้นไม่ต้องพยายามทำให้ละเอียด รู้ได้หยาบๆก็รู้หยาบๆไป หลวงพ่อตอนหัดแรกๆก็ไม่ได้ดูละเอียด แค่เห็นว่าจิตนั้นมันไหลเข้าไปแช่ไปรวมกับอารมณ์บ้าง จิตมันแยกออกจากอารมณ์บ้าง เห็นขันธ์กระจายตัวออกไปบ้าง ขันธ์รวมกันมาเป็นตัวเราบ้าง เห็นกิเลสหยาบๆ โลภ โกรธ หลง ฟุ้งซ่าน หดหู่ สงสัย เห็นแต่ของหยาบๆก็ดูของหยาบๆไป ไม่จำเป็นต้องพยายามทำให้ละเอียด ของหยาบหรือของละเอียดแสดงไตรลักษณ์เท่าๆกัน แล้วแต่จริตนิสัย

แต่บางคนดูของหยาบแล้วไม่สะใจ สติปัญญามันมากไป ดูของหยาบแล้วมันไม่พอ ก็ดูของที่ละเอียดขึ้น แต่ว่าไม่ว่าสภาวะที่หยาบหรือละเอียด สภาวะภายในหรือภายนอกนะ สภาวะที่ใกล้ที่ไกล สภาวะทั้งหลายทั้งปวง เกิดแล้วดับ เห็นแค่ว่าสิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดับ นี่ภาวนาเอาตรงนี้เอง เอาแค่นี้ล่ะ เห็นว่าสิ่งใดเกิดสิ่งนั้นก็ดับไป สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นก็ดับไป ซ้ำแล้วซ้ำอีก ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี บางคน ๓ เดือนก็มีนะ แต่ ๓ เดือนหมายถึงดูเป็นแล้ว ดูเป็นแล้วดูลูกเดียวเลย

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนฉันเช้า

CD: ๒๔
File: 510414A
ระหว่างนาทีที่ ๗ วินาทีที่ ๕๕ ถึงนาทีที่ ๑๐ วินาทีที่ ๑๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : แรงบันดาลใจในการภาวนา

แรงบันดาลใจในการภาวนา

มีสิ่งหนึ่งที่เป็นแรงบันดาลใจเรื่องแนวทางนี้คือ
เมื่อปฏิบัติภาวนาไปแล้ว ไม่นานก็เห็นผลว่า เกิดสติได้จริง
เห็นรูปนาม (เห็นกายเห็นจิต) อย่างมีสติมีความตั้งมั่นได้
ความทุกข์ในเรื่องต่าง ๆ เริ่มสั้นลงน้อยลง
เริ่มรู้ทันกิเลสที่เกิดขึ้นได้เร็วขึ้น
เริ่มเห็นความเกิดดับของสภาวธรรมได้อย่างเป็นกลางขึ้น
สิ่งเหล่านี้ เป็นสัญญาณที่ดีว่า การปฏิบัติภาวนามาถูกทางแล้ว
เชื่อมั่นได้ว่า เส้นทางนี้นำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้แน่ครับ :D

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Dhammada News : ด่วน งด งานแสดงธรรมโดยหลวงพ่อปราโมทย์ ที่ห้างแฟรี่แลนด์ จ.นครสวรรค์ ในวันที่ 25 ก.ย. 54 เนื่องจากน้ำท่วม

แจ้งข่าว “งด” งานแสดงธรรม โดยหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ที่ห้างแฟรี่แลนด์ จ.นครสวรรค์
วันอาทิตย์ 25 กันยายน 2554
ด้วยสถานะการณ์น้ำท่วม ทำให้การเดินทางไม่สะดวก
เจ้าภาพขอเลื่อนวันแสดงธรรมไปจนกว่าเหตุการณ์จะเรียบร้อยครับ

เพราะในตอนนี้ ระดับน้ำในแม่น้ำสูงกว่ากำแพงแล้ว แต่ก็ใช้กระสอบทรายต่อขึ้นจากกำแพงกั้นน้ำเอาไว้ และรอบๆ เมืองก็น้ำท่วมกันหลายพื้นที่ การเดินทางมาฟังธรรมและการเดินทางของหลวงพ่อจึงไม่สะดวก ด้วยเหตุนี้ทางเจ้าภาพแฟรี่แลนด์ก็เลยขอเลื่อนการแสดงธรรมออกไปครับ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เจริญหรือเสื่อมไม่เป็นไร อยู่ที่เป็นกลางไหม

mp3 for download : เจริญหรือเสื่อมไม่เป็นไร อยู่ที่เป็นกลางไหม

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

เจริญหรือเสื่อมไม่เป็นไร อยู่ที่เป็นกลางไหม

เจริญหรือเสื่อมไม่เป็นไร อยู่ที่เป็นกลางไหม

โยม : กราบนมัสการหลวงพ่อครับ ผมขอโอกาสรายงานการปฏิบัติครับ ผมฟังซีดีหลวงพ่อมาปีกว่าครับ แล้วก็ปฏิบัติตาม ครั้งแรกก็ปฏิบัติได้ คิดว่าดีครับ เพราะว่าเห็นจิตเคลื่อนไหวเร็วมากครับ แต่พอตอนหลังมันกลับไม่ค่อยดีครับ มันหายไปได้เอง

หลวงพ่อปราโมทย์ : ไม่แปลกนะ เป็นเรื่องธรรมดา เวลาที่เราภาวนา เราปฏิบัติไปเนี่ย บางช่วงก็เจริญ บางช่วงก็เสื่อม ปัญหาอยู่ที่ว่าเราเป็นกลางมั้ย กับความเจริญและความเสื่อม เวลาที่มันเจริญแล้วเราหลงดีใจ ก็เรียกว่าเสียท่าไปแล้ว เวลามันเสื่อมเราหลงเสียใจนะ ก็เสียท่าไปแล้ว แต่ถ้ามันเสื่อมไปแล้วเราก็รู้ เออ..เสื่อม แกเสื่อมไป เราเป็นกลางนะ ไม่ดีใจไม่เสียใจ ใช้ได้ละ ใจเราจะเข้าไปสู่ความเป็นกลางกับทุกๆสภาวะ เราภาวนาจนเราเป็นกลางกับทุกๆสภาวะเลย กลางอันนี้โดยที่ไม่ได้บังคับให้เป็นกลาง มันเป็นกลางของมันเองนะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๑ หลังฉันเช้า

CD: ๒๔
File: 510324B
ระหว่างนาทีที่ ๖๕ วินาทีที่ ๔๑ ถึงนาทีที่ ๖๖ วินาทีที่ ๔๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ

มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ

ถาม : “มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ” นี่หมายความว่าอย่างไรคะ?

ตอบ : สภาวธรรมต่างๆ ไม่สามารถเกิดขึ้นเองด้วยตัวของมันเองได้ครับ ต้องอาศัยเหตุต้องกาศัยปัจจัยส่วนประกอบต่างๆ มาทำให้สภาวธรรมเกิดขึ้น ใจจะกระเพื่อมหวั่นไหวก็ต้องมีเหตุมีปัจจัยมาทำให้กระเพื่อมหวั่นไหว พอหมดเหตุหมดปัจจัย จิตกระเพื่อมก็ย่อมต้องดับไป เกิดเป็นจิตเฉยๆ จิตเฉยๆเองก็ต้องมีเหตุปัจจัยมาทำให้เกิดเช่นกัน เกิดแล้วไม่นานก็ย่อมดับไปเพราะเหตุปัจจัยหมดไปครับ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เบื้องต้นยังดูไม่ถึงจิต ให้ดูอารมณ์ไปก่อน

mp3 for download : เบื้องต้นยังดูไม่ถึงจิต ให้ดูอารมณ์ไปก่อน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : คำว่าดูจิตๆนั้นส่วนใหญ่เราพูดโดยอนุโลม ส่วนมากดูไม่ถึงจิตหรอก ส่วนมากเราจะไปดูอารมณ์มากกว่า เช่นเราเห็นความโลภ ความโกรธ ความหลง ความสุขความทุกข์ใดๆเกิดขึ้น เราก็คอยรู้ไปเรื่อยๆ

เราไม่สามารถเห็นตัวจิตตรงๆได้ ก็อาศัยการรู้จิตตสังขาร คือสิ่งที่ปรุงแต่งจิต แล้วก็เห็นเลย จิตที่มีความโลภเกิดมาแล้วก็หายไป เกิดจิตไม่โลภ เดี๋ยวก็เป็นจิตที่มีความหลงเกิดมาแล้วก็หายไปเป็นจิตไม่หลง จิตมีความโกรธ เกิดมีโลภโกรธหลงอะไรอย่างนี้ เกิดแล้วก็หาย แต่ละอย่างๆ เห็นอย่างนี้ยังไม่เรียกว่าเห็นจิตหรอก แต่เห็นจิตตสังขาร เพราะตัวจิตไม่มีรูปร่างแสงสีเสียง ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส ไม่มีอะไรที่จะให้สัมผัสร่องรอยของมันได้ จิตเป็นแต่ธรรมชาติรู้

แต่ถ้าเราฝึกจนชำนิชำนาญนะ เบื้องต้นก็หัดดูความรู้สึกไปก่อน ต่อไปเราก็จะค่อยๆสังเกตเห็นพฤติกรรมของจิต ตัวพฤติกรรมของจิตนี้บางทีเราก็รู้สึก จิตมันเหมือนวิ่งไปที่ตา วิ่งไปที่หู วิ่งไปที่จมูก ที่ลิ้น ที่กาย ที่ใจ วิ่งไปวิ่งมา เหมือนจิตมีดวงเดียววิ่งไปวิ่งมาได้ อันนี้จริงๆก็ยังไม่ใช่จิตอีก เป็นวิญญาณ ที่หลวงปู่ดูลย์บอกว่าให้ดูจิตน่ะ ไม่ใช่ดูแค่นั้นหรอกนะ นั่นเป็นวิญญาณทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดดับไปเรื่อยๆ ยังไม่ใช่ตัวธาตุรู้นะ ดูยากนะจิตแท้ๆ

ทีนี้ถ้าหากละเอียดปราณีตขึ้นมาอีกนะ เราดูความไหว ความไหวของจิต เราจะรู้สึกนะ เวลาตัณหาเกิด อยากดูรูป จิตเหมือนจะขยับไป เหมือนจะขยับไปดูนะ เวลาได้ยินเสียงเมือนจะขยับไปฟัง เวลาได้กลิ่นได้รสได้สัมผัส เหมือนมันขยับไป จะไปรู้อารมณ์ แค่มันขยับตัวขึ้นมาก็เห็นแล้ว ก็ไม่ต้องไปดูนาน คล้ายๆดูที่ต้นตอมัน พอมันไหวตัวขึ้นมา ที่หลวงปู่ดูลย์เรียกจิตส่งออกนอก รู้ทันตรงที่จิตส่งออกนอกนี่ ไม่ใช่ไปรู้อารมณ์ที่จิตไปรู้เข้า

แต่ว่าบางคนก็ทำตรงนี้ไม่ได้ ทำตรงนี้ไม่ได้ก็ดูความรู้สึกดูอารมณ์ไปก่อน เห็นมันโลภมันโกรธมันหลงไป มันสงสัย มันหดหู่ มันว้าเหว่ มันดีใจ มันเสียใจ มันสุขมันทุกข์ หมุนเวียน ดูอย่างนั้นไปก่อน เก่งขึ้นมาก็เห็นเลย เดี๋ยวจิตวิ่งไปที่ตา วิ่งไปที่หู ถ้าเห็นอย่างนี้ใช้ได้เลย เก่งขึ้นมาเยอะแล้ว ต่อไปนะมันจะรู้อยู่ที่จิต พอจิตจะส่งออกนอกก็เห็นแล้ว

เหมือนคำของหลวงปู่ดูลย์ ลึกซึ้งนะ จิตส่งออกนอก มันมีตัณหาขึ้นมาเมื่อไหร่ จิตก็จะออกนอกเมื่อนั้นน่ะ มันมีแรงผลัก หรือกิเลสเกิดขึ้นนะ มันเย้ายวน เห็นอารมณ์บางอย่างเย้ายวนใจ เหมือนดึงดูดให้จิตขยับตัว จะวิ่งเข้าไปหา…

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนฉันเช้า

CD: ๒๔
File: 510414A
ระหว่างนาทีที่ ๑ วินาทีที่ ๑๕ ถึงนาทีที่ ๔ วินาทีที่ ๒๓

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : คนเจ้าโทสะ

คนเจ้าโทสะ

ถาม : เป็นคนขี้หงุดหงิดค่ะ มักจะหงุดหงิดอยู่วันละหลายๆครั้ง และบางครั้งก็หงุดหงิดมากจนกลายเป็นโทสะ พยายามดูใจที่หงุดหงิดที่เกิดขึ้น และบ่อยครั้งที่เป็นมากจนรู้สึกถลำไปจนลืมตัว ไม่ชอบและ รู้สึกไม่สบายใจที่ตัวเองเป็นอย่างนี้ ไม่ทราบว่าควรทำอย่างไรดี ดูต่อไปเรื่อยๆ แล้วมันจะเป็นยังไงต่อไปคะ รบกวนช่วยแก้ปัญหาด้วยค่ะ

ตอบ : ก็ต้องพากเพียรปฏิบัติภาวนา
รักษาศีล ฝึกจิตให้มีสติมีความตั้งมั่น เจริญปัญญาไปจนกว่า
จะได้ชื่อว่าพระอนาคามีแหละครับ จึงจะพ้นจากโทสะได้
ตอนนี้ก็หัดรู้จิตที่หงุดหงิด ที่โกรธ ไปเรื่อยๆ นะครับ
ดูแล้วจะดับไม่ไดับก็อย่าไปคาดหวัง
ถ้าโทสะรุนแรงเกินกว่าจะหัดดูได้ ก็ให้ใช้อุบายทำจิตให้สงบลงก่อนครับ
ที่สำคัญอย่ามุทะลุที่จะเอาชนะโทสะด้วยการหักหาญเอานะครับ
ให้ภาวนาไปตามกำลังของสติปัญญาเท่าที่ที
ภาวนาให้ต่อเนื่องสม่ำเสมอ แลัววันหนึ่งที่ปัญญาพร้อมก็จะพ้นจากโทสะได้ครับ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เพราะมีตัวกู จึงมีกิเลสอีกนานาชนิด

mp3 for download : เพราะมีตัวกู จึงมีกิเลสอีกนานาชนิด

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

เพราะมีตัวกู จึงมีกิเลสอีกนานาชนิด

เพราะมีตัวกู จึงมีกิเลสอีกนานาชนิด

หลวงพ่อปราโมทย์ : หลวงปู่เทสก์บางทีท่านก็เล่านิทานก็มีเหมือนกันนะ เคยฟังท่านเล่าเรื่องลิงติดตัง บอกว่าคนโบราณเวลาจะจับลิง เขาจะเอามะพร้าวมาลูกหนึ่งแล้วเฉาะให้มันมีรู เฉาะแล้วก็ตั้งไว้โคนต้นไม้ เจาะรู แล้วลิงนี่นะ พอมาเจอมะพร้าวมันจะเอามือแหย่เข้าไปในลูกมะพร้าว แล้วก็ไปควักเนื้อมะพร้าว จะเอามากิน มันควักเนื้อมะพร้าวปุ๊บ มือมันก็จะกำใช่มั้ย มือมันโต ตอนมันเอามือใส่เข้าไปในรู มือมันอย่างนี้ไง เสร็จแล้วมือมันโตอย่างนี้ ท่านบอกว่ามันจะสะบัด มันไปไหนไม่ได้แล้ว มันจะต้องถูกเขาจับไปฆ่ากิน ท่านบอกว่าเนี่ยเรียกว่าลิงติดตัง ที่จริงง่ายนิดเดียวนะ แค่ปล่อยมือซะ ก็หลุดแล้ว

การภาวนาก็เหมือนกันนะ ที่เราดิ้นขล่อกแขล่กๆ ดิ้นไม่หลุดเนี่ยเพราะเราไม่ปล่อยต่างหาก รู้สึกมั้ยว่ารากเหง้าของมันจริงๆคือตัวกู ตัวกู ตัวกูนี่แหละ มีตัวกูอันเดียวนี่นะ จิตจะพลิกแพลงออกไปสารพัดเลย เป็นกิเลสนานาชนิดเลย ยกตัวอย่างบางคนมีตัวกูแล้วก็มีมานะอัตตา กูเก่งๆ มีตัวกูแล้วก็กูเก่ง บางคนมีตัวกูแล้วก็มีตัวมึงด้วย กูดีมึงมันเลว กูถูกมึงมันผิด อีกพวกหนึ่งดูเหมือนดีนะ มีตัวกูเหมือนกันนะแต่ทำยังไงกูจะดี ไม่ชอบเลยนะถ้าตัวเองคิดไม่ดีซักนิดเดียวก็ไม่ได้นะ รู้สึกทนไม่ได้เลยที่ตัวเองชั่ว นี่ก็ตัวกูอีกนั่นแหละ รักดีเพราะว่ากูจะได้ดี เพราะฉะนั้นรากเหง้าของกิเลสนานาชนิดนะ เจาะลึกลงไปถึงที่สุดก็คือ มันรู้สึกว่ามีตัวกูอยู่ มีตัวเราอยู่ อาจารย์พุทธทาสเก่งนะ เจาะลงมาตรงนี้เลย

อยู่ที่เราต้องรู้สึกขึ้นมา รู้ลงมาๆ รู้ลงมาในกายในใจ วันหนึ่งเห็นเลยกายใจไม่ใช่ตัวเราหรอก กายนี้เป็นวัตถุเป็นก้อนธาตุ เป็นเครื่องอาศัยอยู่ในโลกเท่านั้นเอง เป็นการยืมของโลกมาใช้ จิตใจก็เป็นธาตุอย่างหนึ่งนะ เรียกว่าธาตุรู้ เกิดดับเปลี่ยนแปลงหมุนเวียนไปเรื่อยๆ ของยืมเขามาใช้ทั้งหมดเลย ตัวเราไม่มีหรอกในกายในใจนี้

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๐๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๐

CD: ๑๗
File: 500115
ระหว่างนาทีที่ ๑๙ วินาทีที่ ๕๖ ถึงนาทีที่ ๒๒ วินาทีที่ ๑๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : จิตพูดมาก

จิตพูดมาก

ถาม : จากการปฏิบัติ  เห็นจิดพูดมาก และรู้สึกเบือจิตที่พูดมาก ถ้าเราดูตรงที่จิตเบือ
จิตไม่ชอบตรงนี้เรียกว่าดูความเป็นกลางใช่ใหมค่ะ
และตรงที่เห็นจิตพูดมากและเปลี่ยนเป็นรู้สึกไม่ชอบ ตรงที่เปลี่ยนนี้เรียกว่าเกิดดับหรือเปล่าค่ะ


ตอบ : จิตที่เบื่อ จิตที่ไม่ชอบ ไม่ใช่จิตเป็นกลางนะครับ
การดูจิตที่เบื่อที่ไม่ชอบ จึงไม่ใช่ดูจิตที่เป็นกลาง
แต่เป็นการดูจิตที่ไม่เป็นกลางครับ

ถ้าเห็นจิตที่พูดมากแล้วเห็นว่าจิตที่พูดมากดับไป
จะเป็นการเห็นจิตดับ
ถ้าไม่เห็นจิตพูดมากดับ แต่ไปเห็นอีกทีตอนที่มีจิตไม่ชอบ
ยังไม่เรียกว่าเห็นจิตเกิดดับ แต่เป็นการเห็นสภาวะที่กำลังปรากฏอยู่
ซึ่งเมื่อหัดดูสภาวะที่กำลังปรากฏอยู่ได้อย่างถูกต้อง
ถ้าสภาวะที่กำลังปรากฏเป็นจิตอกุศล
ก็จะสามารถเห็นอกุศลดับได้
และถ้าสติเกิดต่อเนื่องก็จะเห็นต่อไปอีกว่า
มีจิตอีกสภาวะหนึ่งเกิดขึ้นทันทีหลังจิตอกุศลดับไปครับ

ตอนนี้ถ้ายังไม่เห็นไม่ทันตอนเกิดกับตอนดับ
ก็ไม่ต้องไปจดจ้องที่ดูให้เห็นนะครับ
แต่ให้หัดดูจิตที่กำลังปรากฏอยู่ไปสบายๆ
แล้วต่อไปก็จะเห้นจิตเกิดดับได้เองครับ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

หัดให้จิตมีปัญญา ไม่ใช่เรามีปัญญา

mp3 for download : หัดให้จิตมีปัญญา ไม่ใช่เรามีปัญญา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หัดให้จิตมีปัญญา ไม่ใช่เรามีปัญญา

หัดให้จิตมีปัญญา ไม่ใช่เรามีปัญญา

โยม : เห็นสภาวธรรมเป็นอนัตตา แล้วทำไมจิตจึงยังไปหลงยึดอยู่

หลวงพ่อปราโมทย์ : เราเห็นแต่จิตไม่เห็น อย่างเราไปดูนะ เอ้อ..กายนี้เป็นทุกข์นะ เอ้อ..ทุกข์จริงๆแหละ จิตไม่รู้สึก จิตยังไม่รู้สึกว่ามันทุกข์จริง อะไรอย่างนี้ คือเราเห็นโน้นเห็นนี้เราบอกว่าเราเห็นแล้วนะ พอแล้วนะ ฉันบรรลุได้แล้วนะ จิตไม่ยอม

โยม : เอ๋อ… มันเป็นสภาวธรรมที่.. อธิบายยังไงดี คือมันเกิดขึ้นกับ คือวันหนึ่งผมคัน เสร็จแล้วเกิดขึ้นในชั่ววินาทีเดียว ตรงนั้น มันอยู่เหนือความควบคุมของเรา มันเกิดความรู้สึกตรงนั้นขึ้นมา

หลวงพ่อปราโมทย์ : นั่นแหละ ปัญญามันเกิด

โยม : ช่วงอาทิตย์หนึ่ง ช่วงตรงนั้นน่ะ มันทิ้งทุกอย่าง คือสภาวธรรมอะไรที่ปรากฎขึ้นมา ก็ไม่ไปแทรกแซงมันได้ แต่พอพ้นช่วงหลังสัปดาห์นั้นไปแล้วเนี่ย มันก็ค่อยๆยึดกลับมาเหมือนเดิม

หลวงพ่อปราโมทย์ : นั่นแหละ ไม่ว่าอะไรนะ เจริญไม่เกินอาทิตย์หนึ่งหรอก เดี๋ยวก็เสื่อม เพราะมันไม่ใช่ของจริง ยังไม่ใช่ของจริงของเรานะ

โยม : ทีนี้ผมไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงกลับเข้าไปช่วยกันปรุงอยู่เหมือนเดิมล่ะครับ ทำไมไม่รู้เหมือนเดิมตอนที่ช่วงสัปดาห์นั้น

หลวงพ่อปราโมทย์ : เพราะมันอยากไง พอมันเคยเห็นสภาวะนี้แล้วมันก็อยากเห็นอีกแล้ว ก็ดิ้นรนหาทางจะดูให้เกิดสภาวะอย่างนี้อีก เลยไม่เกิดเลย ตราบใดที่ยังดิ้นรนอยู่ก็จะไม่เห็นหรอก

โยม : แล้วผมต้องเพิ่มเติมหรือแก้ไขอะไรอีกมั้ยครับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ต้องลดลงสิ อย่าไปเพิ่มเติม ใจมันแอบไปปรุงแต่งอะไร รู้ทันมันเรื่อยๆ อย่าไปช่วยมันปรุง ไม่้ใช่ไปช่วยมันปรุงว่าทำอย่างไรถึงจะเห็นอย่างนั้นอีก

โยม : ครับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : มันอยู่ที่เลิกไปนะ เลิกปรุงแต่ง ไม่ใช่ไปปรุงแต่งให้ดีๆ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๑ หลังฉันเช้า

CD: ๒๔
File: 510324B
ระหว่างนาทีที่ ๔๒ วินาทีที่ ๔๔ ถึงนาทีที่ ๔๔ วินาทีที่ ๓๓

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เมื่อต้องพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รัก

mp3 (for download): เมื่อต้องพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รัก

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.


พ่อปราโมทย์ : วันนี้เรามาพบกันในงานศพ ก็เป็นโอกาสของการฟังธรรม ชาวพุทธเราจะไม่ปล่อยชีวิตให้ล่วงเลยไปเปล่าๆ หน้าที่ของชาวพุทธก็ต้องศึกษาธรรมะ มาพบกันในโอกาสงานศพก็ต้องพูดธรรมะกัน

ธรรมะนี้เป็นเครื่องถอดถอนความเศร้าโศกออกจากจิตใจ คนที่เรารักตาย จิตใจของเราเศร้าโศกเป็นเรื่องธรรมดา ห้ามไม่ได้ ใครๆก็กลัวตายเพราะเราไม่มั่นใจว่าตายแล้วชีวิตจะเป็นอย่างไร ชีวิตหลังความตายมีหรือไม่มีก็ไม่รู้นะ แต่กลัวไว้ก่อน กลัวไม่มีนั่นแหละ ถ้ามีก็กลัวไม่ดี

ถ้าเราเตรียมความพร้อม หัดพัฒนาจิตใจของเราให้ดี มีศีลมีสมาธิมีปัญญา สะสมไป เราไม่กลัวความตาย ความตายไม่ได้น่ากลัวอะไร มันน่ากลัวสำหรับคนซึ่งไม่มั่นใจในคุณงามความดีของตัวเอง ถ้ามั่นใจในคุณงามความดีของตัวเองแล้ว ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย เราจะเผชิญความตายด้วยความองอาจกล้าหาญ

ในส่วนของคนแต่ละคนนะ ที่จะตายก็ต้องเตรียมความพร้อม พวกเราญาติมิตรลูกหลานก็ต้องเตรียมความพร้อม บางคนก็ร้องห่มร้องไห้เสียอกเสียใจ ทำไมต้องเสียใจ เพราะไม่อยากให้ตาย ก็เลยคิดว่าความตายของคนที่เรารักเนี่ยทำให้เราเศร้าโศก ความจริงแล้วความตายของใครก็ไม่ได้ทำให้เราต้องเป็นทุกข์นะ เราเป็นทุกข์เพราะใจเราไม่ยอมรับความจริงว่าเขาต้องตาย เราอยากให้เขาอยู่นานๆ เราทุกข์เพราะความอยากของเราเอง ไม่ใช่ทุกข์เพราะผู้ตาย

เพราะฉะนั้นถ้าเราเข้าใจตรงนี้นะ คนที่เรารักตายนั่นก็คือสภาวะธรรมดา ยังไงวันหนึ่งก็ต้องพลัดพราก เราไม่พลัดพรากจากเขา ก็เขาพลัดพรากจากเรา ก็ต้องมีข้างหนึ่งล่ะ ยังไงก็ต้องพลัดพรากจากกันนะ ตายพร้อมๆกันก็ยังต้องพลัดพรากจากกันอีก ถ้าเข้าใจความจริงของชีวิต เกิดมาแล้วยังไงเราก็หนีความตายไม่พ้นนะ หนีความพลัดพรากจากคนที่เรารักไม่ได้ เราก็ต้องยอมรับความจริง ถ้าเรายอมรับความจริงไม่ได้เราก็มีความทุกข์ ยังยอมรับความตายไม่ได้ พอมีความตายเกิดขึ้นเราก็ทุกข์ ใจเราอยาก อยากให้เขาไม่ตาย พอเขาตายแล้วเราก็ทุกข์ อยากให้ฟื้นเขาไม่ยอมฟื้นก็ทุกข์อีก

เพราะฉะนั้นจริงๆเราทุกข์เพราะความอยากของตนเอง ไม่ใช่ทุกข์เพราะว่าเขาตายหรอกนะ เพราะฉะนั้นเรามาฝึกจิตฝึกใจของเรา ให้ข้ามพ้นความอยากไป ไม่ใช่เฉพาะอยากเรื่องให้คนตายแล้วฟื้นหรืออยากให้คนไม่ตาย อยากอะไรก็ตามเถอะ ความอยากอะไรเกิดขึ้นทีไรความทุกข์ก็เกิดขึ้นทุกที มีความอยากทีไรก็มีความทุกข์ทุกทีแหละ

ทีนี้ห้ามใจไม่ให้อยากมันห้ามไม่ได้ เราต้องมาพัฒนาใจของเราให้มันฉลาด ทำไมใจเรามีความอยาก มันหวังว่ามันจะได้สิ่งที่ดีๆ หวังว่าจะไม่พลัดพรากจากสิ่งที่ดีๆ มันมีความอยากมีความหวังอยู่อย่างนี้ ห้ามมันไม่ได้

แต่ถ้ามาเรียนรู้ความจริงของชีวิต ชีวิตของเราไม่ใช่ของดีของวิเศษอะไรนักหรอก ร่างกายจิตใจที่ประกอบกันเป็นตัวเรานะ คนตายเขาก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ถึงวันหนึ่งก็ต้องทิ้งไป เราเองวันหนึ่งก็ต้องทิ้งไป ร่างกายนี้ที่เรารักเราหวงแหนนี้ ยังหนุ่มยังสาวเราก็ว่ามันดี พออยู่ไปนานๆแล้วรู้เลยมันมีแต่ทุกข์ทั้งนั้นเลย ในร่างกายของเราถูกความทุกข์บีบคั้นอยู่ทั้งวันทั้งคืน แต่คนที่ไม่มีปัญญาก็มองไม่เห็น มันทุกข์ยังไง เดี๋ยวก็หิวเดี๋ยวก็หนาวเดี๋ยวก็ร้อนนะ เดี๋ยวก็อย่างโน้นเดี๋ยวก็อย่างนี้ นานๆเข้าก็ป่วยหนักๆสักทีหนึ่ง อะไรอย่างนี้

ถ้าเรามีสติ มีปัญญา เรารู้ลงในร่างกายเราบ่อยๆ เราเห็นร่างกายนี้มีแต่ความทุกข์ ยกตัวอย่างคนไม่สบายก็มีความทุกข์เยอะ เราอยากให้ญาติของเราไม่ตายเนี่ย เขาไม่สบายมาตั้งนานแล้ว เราอยากให้เขาทุกข์นานๆหรือเปล่า? เราอยากให้เขาอยู่อย่างเดียวนะไม่ได้อยากให้เขาทุกข์นะ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ เป็นความอยากที่ขัดกับความจริงน่ะ ก็เขาไม่สบายเขาอยู่นานเขายิ่งทุกข์มากเลยนะ ถ้าเราเข้าใจตรงนี้เราก็ไม่กังวลหรอก เขาตายก็สมควรตายแล้่ว

หลวงพ่อตอนนั้นยังไม่บวชนะ ตอนเตี่ยของหลวงพ่อตาย มีทำกงเต๊กด้วยหลวงพ่อชอบที่สุดเลยเรื่องทำกงเต๊กเนี่ย มันส์มากเลย เสียดายเขาไม่นิมนต์มาดูกงเต๊ก เตี่ยตายแทนที่เราจะเศร้าโศกนะ จิตมันร่าเริงนะ จิตใจมันร่าเริงมันยอมรับความจริงน่ะว่า วันหนึ่งเขาต้องตาย เขาอยู่แล้วเขาทรมานมากกว่าเขาตายอีก ทีนี้บางทีก็เป็นความเห็นแก่ตัวของเรานะ เราพยายามยื้อคนที่ป่วยหนักๆไม่ให้ตายเนี่ย เรากลัวความพลัดพราก ถ้าเราเมตตาสงสารเขาบางทีก็ต้องปล่อยให้เขาตายนะ ตามธรรมชาตินี้ดีที่สุดเลย ไปปั๊มพ์มากๆทรมานมาก เหนื่อย เหนื่อยทุกฝ่าย เราก็ลุ้นไม่ให้เขาตาย สุดท้ายก็ตาย

อยู่ที่ใจเรานะ ใจเราค่อยเรียนรู้ความจริงลงไป ชีวิตนี้ไม่ใช่ของวิเศษวิโสอะไรที่จะต้องหวงแหนมากมาย ชีวิตนี้เต็มไปด้วยความทุกข์น่ะ ถ้าเรารู้สึกนะ คอยรู้สึกอยู่ในร่างกาย เห็นร่างกายมีแต่ความทุกข์ มาคอยดูจิตดูใจของเรา ใจเราไม่เคยเต็มอิ่มเลย ใจเราก็มีแต่ความทุกข์เต็มไปหมดเลย เพราะวันหนึ่งความอยากเกิดขึ้นตั้งมากมาย ความอยากเกิดขึ้นทีไรความทุกข์เกิดขึ้นทุกที ไปสังเกตดูนะ สังเกตดูว่าจริงหรือไม่จริงว่าความอยากเกิดขึ้นแล้วความทุกข์จะตามมา

ถ้าคนที่สติปัญญาไม่มากพอก็คิดว่าถ้าอยากนะยังไม่ทุกข์ ต้องไม่สมอยากก่อนถึงจะทุกข์ แต่ถ้าคนมีสติมีปัญญามากขึ้นหัดภาวนา ดูของจริง ในจิตในใจของตนเอง จะรู้เลยว่าในทันทีที่ความอยากเกิดขึ้น จิตมีความเครียดเกิดขึ้นแล้ว มันจะทุกข์น่ะ อยากแล้วมันก็ลุ้นใช่มั้ยว่าจะได้อย่างที่อยากมั้ย

เพราะฉะนั้นเรามาเฝ้ารู้อยู่ที่ใจเรานะ จะเห็นเลยว่าในใจนี้เต็มไปด้วยความอยาก เพราะฉะนั้นใจนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ เพราะฉะนั้นทั้งกายทั้งใจที่ประกอบขึ้นมาเป็นคนนะ ประกอบเป็นสัตว์ทั้งหลายนี้ เป็นตัวทุกข์ทั้งหมดเลยนะ เรามาคอยรู้คอยดูอยู่ นี่เป็นวิธีปฏิบัติธรรม

การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องอะไรที่ลึกลับ ไม่ใช่เรื่องการไปนั่งหลับหูหลับตาอะไรมากมายนะ ทำสมาธิทำไปเหมือนกันไม่ใช่ไม่ทำ ทำพอให้จิตใจมีเรี่ยวมีแรง พอจิตใจมีเรี่ยวมีแรงแล้วต้องมาดูความจริงของร่างกาย มาดูความจริงของจิตใจ ความจริงของร่างกาย ร่างกายมีแต่ความทุกข์เยอะแยะไปหมดเลยนะ ความจริงของจิตใจก็คือมีความทุกข์เยอะแยะไปหมดเลย เนี่ยเฝ้ารู้ลงไปๆแล้วเราจะรู้เลยว่า สิ่งที่ดำรงชีวิตอยู่นี้ไม่มีอะไรนอกจากตัวทุกข์ทั้งนั้น ถ้าเราเห็นได้อย่างนี้เราจะไม่กลัวตาย

สิ่งที่มีชีวิตอยู่ตอนนี้ก็คือตัวทุกข์นะ เวลาจะตายก็คือตัวทุกข์มันจะตาย มันไม่ใช่ของดีของวิเศษมันกำลังจะตาย เราจะเห็นเลยว่าตัวทุกข์มันจะตาย ถ้าตัวทุกข์มันจะตายเราจะไปกลุ้มใจทำไม

พระอรหันต์นะ ถึงเวลาวันที่จะตายเนี่ย จะผ่องใสมากเลยนะ จะผ่องใสเป็นพิเศษเลย เพราะตัวทุกข์มันกำลังจะตายละ สมน้ำหน้ามันนะ นี่จิตใจจะห้าวหาญเหมือนนักรบที่กล้าหาญมากๆ ได้ยินเสียงกลองศึกแล้วคึกคัก ไม่ใช่เข่าอ่อนใจฝ่อนะ ไม่เหมือนอย่างพวกเราหลายคนเลยใจฝ่อ เคยเห็นมั้ยคนจะตายร้องไห้ ไม่อยากตายๆ

หลวงพ่อเคยเจอคนหนึ่งนะ ไม่อยากตายๆ สุดท้ายมันตายนะ คนที่เขามีหูมีตาก็บอกว่า มันไม่ยอมไปไหนเลยมันเฝ้าศพอยู่อย่างนั้นน่ะ หวังว่าจะมีหมอมารักษาให้มันฟื้นได้อีก พยายามลองไปนอนทับศพนะ พยายาม กะว่าถ้าลงไปนอนพอดีแล้วจะลุกขึ้นมาได้ ขืนมันลุกขึ้นมานะ คนที่กำลังร้องไห้รักมันอยู่นะจะวิ่งหนีหมดศาลาเลย มันไม่รักจริงหรอก เนี่ย ถ้าลุกขึ้นมาเอามั้ย รักนักหนา.. ลุกขึ้นมาไม่เอาแล้ว ไปฮวงซุ้ยเหอะ ไป

เพราะฉะนั้นมาเรียนรู้นะ มาเรียนรู้ความจริงของชีวิตนะ มาเรียนรู้ความจริงของชีวิตแล้วเราจะไม่กลัวตาย เราจะไม่เศร้าโศกเพราะความตาย เรารู้เลยว่า ที่เราเศร้าโศกที่เห็นคนตายที่เห็นคนที่รักตายนั้น จริงแล้วเราเศร้าโศกเพราะว่าใจเราอยากนั้นเอง อยากให้เขาอยู่ อยากให้เขามีชีวิตอยู่นานๆ อยากให้เขาไม่ตายอะไรอย่างนั้น เป็นความอยากที่ไร้เดียงสา ใครๆมันก็ตายกันทั้งนั้นแหละ ถ้าเข้าใจอันนี้ก็ไม่กล้วแล้ว คนที่เรารักจะตายมันก็เป็นเรื่องธรรมดา ตัวเราจะตายก็เป็นเรื่องธรรมดา โดยเฉพาะตัวเรานะมีแต่ตัวทุกข์นะ ตัวทุกข์จะตายจะไปเสียดายทำไม

เพราะฉะนั้นอยู่ที่สติปัญญานะ จะทำให้เราพ้นทุกข์ได้หรือไม่ได้ ไม่ใช่อยู่ที่ใครอื่นหรอก จะหวังว่าคนที่เรารักจะอยู่กับเราตลอดไป เราถึงจะไม่ทุกข์ อย่างนี้หวังไม่ได้ ไม่จากตายก็จากเป็น ยังไงก็จาก เพราะฉะนั้นเราฝึกฝนใจของเราไปเรื่อย ต่อไปใจเรามีความสุขนะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร

แสดงธรรมเมื่อ วันพุธที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๔

CD: แสดงธรรมเทศนานอกสถานที่ วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร
File: 540810B
ระหว่างนาทีที่ ๐ วินาทีที่ ๒๓ ถึง นาทีที่ ๑๐ วินาทีที่ ๑๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Dhammada News : บอกบุญสำหรับผู้ที่จะไปวัดประชาคมวนาราม (วัดป่ากุง) ของหลวงปู่ศรีมหาวีโร

ช่วงนี้ญาติธรรมท่านใดจะไปวัดป่ากุง(วัดประชาคมวนาราม) ของหลวงปู่ศรีมหาวีโร อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด และอยากนำของไปทำบุญ

เราขอแนะนำนะคะ ….ส้ม (สายน้ำผึ้ง)หรือผลไม้ที่ทำน้ำปานะได้ค่ะ ขาดแคลนมากๆ หาซื้อก็ยากค่ะ เพราะทางแม่ครัว จะเอาไปทำน้ำปานะ ค่ะ ผู้ที่จะได้ฉัน จะเป็นพระผู้ใหญ่ และพระคุณเจ้าที่มาร่วมงาน ของก็หายากนะคะ หากหาไม่ได้จริงๆ เอาแอ๊ปเบิ้ลที่เนื้อเยอะๆก็ได้จ้า เขาบอกว่าจะไม่เอาน้ำผลไม้กล่องถวายท่าน แม่ชีแขก(ที่ดูแลครัว)จะทำสดๆถวายท่าน แล้วกระบวนการทำก็สะอาด ปลอดภัยสุดๆจ้า สาธุๆๆๆจ้า (ต้องการถึงวัน ประมาณ100วันหลังจากวันมรณภาพค่ะ)

***จุดถวายหลายที่นะคะ อาจทำให้ไม่ถึงแม่ครัวกลาง ที่ทำน้ำปานะ ให้พระผู้ใหญ่โดยเฉพาะ ขอเพิ่มเติมนิด ให้ไปถวายที่ครัวกลางแม่ชีแขก หรือง่ายๆ ถ้าไปถึงไม่แน่ใจให้ติดต่อพี่เหน่ง โทร 086-8589488(พี่เหน่งมาจากกลุ่มวัดป่าบ้านตาดที่มาช่วยงานค่ะ)

****และขออนุโมทนา บุญกับผู้ที่เคยร่วมบุญ ส้ม ผลไม้ และน้ำตาล เมื่อครั้ง งานหลวงตา มหาบัว ที่เราเคยบอกบุญไปซึ่งทำให้ได้ผลไม้ โดยเฉพาะส้ม จากตลาดไท จากญาติธรรมทั้งหลาย เป็นลำรถเลยนะคะ***

ขอบพระคุณ คุณ Waw ชมรมสารธรรมล้านนา สำหรับข้อมูลครับ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง >>> Dhammada News : หลวงปู่ศรีมหาวีโร (พระเทพวิสุทธิมงคล) วัดประชาคมวนาราม (ป่ากุง) ละสังขารแล้ว

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : ตัวรู้

ตัวรู้

ถาม  : เราจะรู้ได้ยังไงคะ ว่าเรามีตัวรู้ และ ถ้าเรารู้สึกได้ว่าเรามีตัวรู้ ตัวรู้นั้น จะป็นตัวรู้ที่ใช่จริงๆ คะ

ตอบ : เมื่อมีสติเกิดขึ้นนั่นแหละมีตัวรู้แล้ว
แล้วจะสังเกตอย่างไรว่ามีสติ
ก็สามารถสังเกตจาก ถ้าเห็นจิตที่กิเลสแล้วกิเลสดับไปเอง
โดยที่เราไม่ได้ไปจัดการอะไรเลย แค่รู้เท่านั้นกิเลสก็ดับไปแบบรู้สึกได้ในขณะนั้น
ก็แสดงว่าเกิดสติขึ้นได้จากการเห็นกิเลสครับ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เจริญปัญญาอย่าเพ่งอารมณ์ ให้เขาแสดงไตรลักษณ์

mp3 for download : เจริญปัญญาอย่าเพ่งอารมณ์ ให้เขาแสดงไตรลักษณ์

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

เจริญปัญญาอย่าเพ่งอารมณ์ ให้เขาแสดงไตรลักษณ์

เจริญปัญญาอย่าเพ่งอารมณ์ ให้เขาแสดงไตรลักษณ์

หลวงพ่อปราโมทย์ : การเพ่งตัวอารมณ์ ภาษาปริยัติเรียกว่า “อารัมณูปนิชฌาน” อารัมณู อารัมณะนะ แล้วก็ ปนิชฌาน คือการเพ่งตัวอารมณ์ นี่คือการทำสมถกรรมฐาน เกือบทั้งหมดนะ ตัววิปัสสนากรรมฐานมีชื่อว่า “ลักขณูปนิชฌาน” การที่เราไปเห็นลักษณะ เห็นไตรลักษณ์ เพราะฉะนั้นจะเห็นไตรลักษณ์ก็อย่าไปเพ่งเอา ถ้าเพ่งตัวอารมณ์แล้วมันจะนิ่งๆ อารมณ์ไม่เคลื่อนไหว

เหมือนสมมุตินี้เป็นกระต่ายสักตัวหนึ่งนะ หรือแมวสักตัวหนึ่งนะ มันวิ่งไปวิ่งมานะ เราไปเพ่งมันก็คล้ายๆเราไปกดไว้อย่างนี้ มันกระดุกกระดิกไม่ได้ มันแสดงไตรลักษณ์ไม่ได้ ทีนี้พอเราไม่เพ่ง อะไรจะเกิดขึ้น ไอ้ตัวนี้เคยถูกกดมานาน พอเลิกกดนี่นะจะหนีๆหนีๆหนีๆไป เพราะฉะนั้นพวกที่เพ่งเก่งๆน่ะ พอเลิกเพ่งนะจะฟุ้งซ่านสุดๆเลย จะรู้สึกตัวยาก มันคิดดอกเบี้ยนะเพราะไปบังคับมันไว้นานแล้ว หน้าที่เราก็คือพยายามรู้สึกตัวไป

อาจจะมีเครื่องอยู่อะไรสักอันหนึ่งถ้าเราไม่ได้ติดเพ่งรุนแรงมาก่อนนะ จะรู้อะไรสักอย่างหนึ่งขึ้นมาเป็นตัวตั้ง สมมุติว่าบางคนท่องพุทโธ เอาพุทโธเป็นตัวตั้ง พุทโธแล้วไม่ใช่บังคับจิตให้ไปอยู่ที่พุทโธ พุทโธแล้วจิตไปอยู่กับพุทโธนี่ก็รู้ จิตหนีไปที่อื่นก็รู้ พุทโธแล้วก็รู้ทันนะ เห็นจิตหนีไปหนีมา เห็นจิตสุขจิตทุกข์ จิตดีจิตร้าย พุทโธไว้เป็นตัวตั้งเพื่อที่จะดูจิต

บางคนถนัดรู้ลมหายใจ ถ้าไม่ไปเพ่งใส่ลมหายใจนะ เรารู้จิต เอาลมหายใจเป็นตัวตั้งแล้วมารู้จิต เช่น จิตไหลไปอยู่ที่ลมหายใจเราก็รู้ จิตหนีไปอยู่ที่อื่นเราก็รู้ จิตไปคิดเราก็รู้ จิตไปทำอะไรเราก็รู้ จิตสุขจิตทุกข์ จิตดีจิตร้าย เราก็รู้ไปเรื่อย รู้จิต เอาลมหายใจเป็นแบ็คกราวด์ไว้

เอาพุทโธเป็นแบ็คกราวด์ เอาลมเป็นแบ็คกราวด์ คนไหนถนัดพองยุบโดยที่ไม่ได้เข้าไปเพ่งท้องนะ ก็เอาพองยุบเป็นแบ็คกราวด์ แล้วก็คอยรู้ทันจิตไป เนี่ยไม่ว่ากรรมฐานอะไรนะ ถ้ามันเนืองด้วยกายด้วยใจของเราล่ะก็ เอามาใช้เป็นเครื่องมือในการปฎิบัติได้ทั้งหมด ถ้าเรามีเครื่องมือเครื่องสังเกตไว้อันหนึ่ง คล้ายๆเป็นที่สังเกต เป็นที่หมาย ถ้าจิตไหลมาที่นี่ก็รู้ จิตไหลไปก็รู้เนี่ยนะ ในที่สุดเราจะเห็นจิตได้ชัดเจน ต้องฝึกอย่างนี้นะมันจะไม่เผลอนาน แต่ถ้าอยู่ๆก็ปล่อยทิ้งทั้งหมดเลยนะ อย่างนี้ เรากดไว้นานนะ คราวนี้เตลิดเปิดเปิงไป หลงไปตั้งวัน ค่อยฝึกเอา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๑ หลังฉันเช้า

CD: ๒๔
File: 510324B
ระหว่างนาทีที่ ๗ วินาทีที่ ๔๖ ถึงนาทีที่ ๑๐ วินาทีที่ ๑๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : จิตไหลไปแช่ในความทุกข์

จิตไหลไปแช่ในความทุกข์

ถาม : เวลารู้สึกตัวในขณะที่ทุกข์มันยากมากค่ะ เพราะว่าใจมันชอบไหลไปกับความทุกข์ รู้สึกแล้วรู้สึกตัวได้น้อยมาก มีวิธีไหนพอที่จะช่วยได้บ้างมั้ยคะ

ตอบ : เป็นเรื่องปกติเลยครับที่ จิตจะไหลไปแช่ในความทุกข์
ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดคือ ยอมรับสภาวะที่กำลังเป็น
แล้วก็หัดดูจิตที่ไหลไปแช่ทุกข์นั่นเอง
แต่ถ้าไม่มีกำลังจะตามดูได้ ก็ให้ทำสมถะ (ถ้าทำได้) เพื่อให้จิตได้พัก
ถ้าทำสมถะไม่ได้ ก็ให้ทำบุญให้ทานหรืือทำอะไรก็ได้ที่ทำแล้ว
จิตเป็นกุศล พอจิตมีกำลังมากขึ้นหรือสงบลงบ้างตามสมควรครับ
แต่ต้องไม่ลืมที่จะหัดตามรู้ตามดูด้วยนะครับ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตนิ่งคือจิตตั้งมั่นหรือไม่

mp3 (for download): จิตนิ่งคือจิตตั้งมั่นหรือไม่

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

จิตนิ่งคือจิตตั้งมั่นหรือไม่

จิตนิ่งคือจิตตั้งมั่นหรือไม่

โยม : แล้วอย่างเราภาวนาไปนะคะ แล้วจิตมันนิ่งๆอย่างนี้ค่ะ ถือว่าเป็นจิตตั้งมั่นใช่มั้ยเจ้าคะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : จิตนิ่งๆไม่ใช่จิตตั้งมั่นนะ ต้องไม่นิ่งที่อๆนะ ถ้ามันตั้งมั่นเนี่ย จิตจะไม่ว่อกแว่กหลงไปอยู่ในโลกของความคิดเท่านั้นแหละ เราไม่ได้ไปบังคับให้มันนิ่งนะ แต่ว่ามันก็นิ่งเหมือนกัน แต่มันนิ่งแบบรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ สบาย ไม่นิ่งทือๆแข็งๆนะ ไม่นิ่งแบบว่างๆไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่นิ่งแบบจิตเข้าไปรวมกับความว่างข้างนอก มันนิ่งอยู่ด้วยความรู้สึกตัวอยู่

จิตที่ตั้งมั่นรู้เนื้อรู้ตัวเนี่ย ต้องสังเกตเอาตอนที่จิตหนีไปคิด ถ้าเรารู้ทันจิตที่หนีไปคิด จิตรู้จะเกิดขึ้น จิตรู้นั้นแหละเป็นจิตที่ตั้งมั่น เพราะฉะนั้นเราคอยรู้ทันจิตที่หลงไปคิดนะ ตัวรู้(จิตผู้รู้ – ผู้ถอด)จะเกิดมันจะตั้ง จะตั้งได้พอดีไม่แข็งเกินไปไม่อ่อนเกินไป อ่อนเกินไปก็ขาดสติไหลหลงๆไป แข็งเกินไปก็ทื่อๆอยู่ ไม่เดินปัญญา ก็ตั้งพอดีๆ แค่ไหนพอดี ถ้าหนีไปคิดแล้วรู้ว่าหนีไปคิดนั้นพอดีเลย ถ้าจงใจจะให้ตั้งอยู่ อันนี้จะตึงเกินไป


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
แสดงธรรมเมื่อ วันพุธที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๔

CD: แสดงธรรมเทศนานอกสถานที่ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
File: 540810A
ระหว่างนาทีที่ ๕๔ วินาทีที่ ๔๐ ถึง นาทีที่ ๕๕ วินาทีที่ ๕๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : การรู้สภาวะ

การรู้สภาวะ

ถาม : ปกติผมจะรู้นะครับเวลาสติระลึกรู้ว่าเมื่อกี้มีสภาวะเกิดขึ้นมาถึงจะรู้หรือไม่รู้ก็ตามว่ามันคือสภาวะอะไร แต่มีอยู่ 2-3 ครั้งน่ะครับที่แปลกๆ คือ ตอนสติเขาระลึกรู้ขึ้นมาแต่เรารู้สึกว่ามันไม่ได้มีสภาวะอะไรเลยครับ เขาระลึกขึ้นมาของเขาเอง แต่แน่ใจมากๆ ว่าเมื่อกี้น่ะไม่มีสภาวะครับ

ตอบ : เวลารู้สภาวะจะมีอยู่สองแบบ

แบบแรก เกิดสภาวะที่เป็นกุศลอกุศลก่อน(จิตหลงไปกับสภาวะนั้นก่อน)
แล้วจิตจึงระลึกรู้ได้ว่ามีสภาวะนั้น

แบบที่สอง จิตหลงไปแต่ไม่ได้มีสภาวะอะไรที่หยาบๆแรงๆจนเห็นได้ชัด
พอเกิดสติรู้สึกตัว ก็เลยเหมือนไม่มีสภาวะอะไรให้รู้
ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จิตจะรู้แบบไม่มีสภาวะอะไรเลย
จริงๆแล้ว มีสภาวะอยู่แต่ดูไม่ออก เช่นพวกความว่างๆเฉยๆ ครับ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ภาวนากิเลสหนังไม่ถลอก เพราะภาวนาสนองกิเลส

mp3 for download : ภาวนากิเลสหนังไม่ถลอก เพราะภาวนาสนองกิเลส

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ภาวนากิเลสหนังไม่ถลอก เพราะภาวนาสนองกิเลส

ภาวนากิเลสหนังไม่ถลอก เพราะภาวนาสนองกิเลส

หลวงพ่อปราโมทย์ : เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราภาวนาหรือทำอะไรก็ตามนะ มันเป็นการประกาศว่า “ฉันยังอยู่” อยู่ที่รู้ทันนะจึงจะหมด “ฉัน” ลงไปได้ แม้กระทั่งตั้งอกตั้งใจเดินจงกรมหามรุ่งหามค่ำ บางทีก็ทำไปเพื่อประกาศ “อัตตา” นะ ไปดูให้ดีเถอะ ทำอะไรก็มีอัตตาแทรกอยู่ทั้งหมดเลย

ยกตัวอย่างครูบาอ๊า มีอยู่คราวหนึ่ง ตามหลวงพ่อไป ตอนนั้นจะไปศาลาลุงชินมั้ง ไปแวะฉันที่มอเตอร์เวย์ พอฉันเสร็จแล้วมีทิชชูนะ ทิชชู ทำทิชชูปั้นกลมๆอย่างนี้ โยนหลงถุงขยะปุ๊บ โยนปุ๊บไปเห็นเลย ตรงที่ปั้นทิชชูนะ นี่ก็กูเก่งนะ โยนนี่ก็กูเก่งนะ นี่แค่ทิ้งทิชชูนะ ทิ้งขยะนะ อัตตาตัวตนยังแทรกเข้ามาเลยนะ

เพราะฉะนั้นพวกเราเนี่ยไม่ต้องกลัวหรอก ทำอะไรก็จะมีอัตตาตัวตนแทรกทั้งนั้น ความสำคัญอยู่ที่รู้ทันหรือรู้ไม่ทัน ถ้ารู้ไม่ทันนะ ทุกสิ่งที่ทำแม้กระทั่งการปฏิบัติธรรมก็ทำเพื่อสนองกิเลสทั้งสิ้น จะเป็นอย่างที่อาจารย์มหาบัวบอกว่า “ภาวนาแล้วกิเลสหนังไม่ถลอกเลย” เพราะว่าจริงๆทำเพื่อ Serve มัน (หมายถึง ทำเพื่อสนองกิเลส สนองการมีอัตตาตัวตน – ผู้ถอด)

แต่ถ้ารู้ทันใจตัวเองนะ แจ่มแจ้งไปเรื่อย เห็นมั้ยจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งนะ ไม่ได้สนองกิเลส กิเลสแทรกเข้ามารู้ทัน แทรกเข้ามารู้ทัน ความเป็นตัวตนไม่ได้มีอยู่ตลอดเวลา ดูออกกันแล้วใช่มั้ย ความเป็นตัวตนเกิดขึ้นเป็นคราวๆ เกิดเมื่อไร เกิดเมื่อหลงคิด ต้องหลงคิดนะ หลงดูอยู่ยังไม่คิดเนี่ย ตัวตนยังไม่เกิดนะ

เพราะฉะนั้นมันจะผูดขึ้นมาๆแล้วเราไม่รู้ พอมันผุดขึ้นมาก็ภูมิอกภูมิใจนะ บางคนเคยเห็นม้้ยขี้โมโห แล้วมาเล่าด้วยความภูมิใจว่า ดิฉันเวลาโมโห เห็นช้างเท่าหมู ฮ่า ฮ่า ฮ่า อย่างนี้ มัน serve อัตตาตัวตนทั้งสิ้นเลย กระทั่งมีกิเลสใช่มั้ย ก็กูเก่งอีกล่ะเนี่ย

หรือบางคน พวกเด็กสาวๆชอบเป็นมากเลยนะ สวมวิญญาณนางเอก สวมวิญญาณนางเอกชอบคิดจิตนาการอะไรให้มันเศร้าๆ แล้วแสบๆเจ็บๆอยู่ในใจนี่ ชอบมากเลย มันเพื่ออะไร เพื่อประกาศว่าฉันยังอยู่นะ ฉันยังอยู่นะ ฉันยังอยู่นะ ทำแล้วน่าทุเรศนะ ทำสนองกิเลสน่ะ อย่าทำนะ ทำอย่างนั้นเป็นการฝึกตกนรกนะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๑ หลังฉันเช้า

CD: ๒๔
File: 510324B
ระหว่างนาทีที่ ๑๓ วินาทีที่ ๑๑ ถึงนาทีที่ ๑๕ วินาทีที่ ๒๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์: นิทานดูจิต

นิทานดูจิต

ผมเล่านิทานให้ฟังดีกว่า

เมื่อสองวันก่อนผมเข้าประชุม ในระหว่างประชุม
ผมก็เกิดมีโทสะอย่างแรง จนสติก็ตามรู้ไม่ได้
พูกจาเสียงดังท่าทางดุเดือดไปตามความเคยชินเดิม ๆ
แล้วก็รู้สึกว่า ไม่ไหวแล้วขืนอยู่ต่อมีหวังด่ากระจาย
แล้วก็ลุกเดินออกจากห้องประชุมไปกินข้าวดีกว่า… >:(

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
อย่าคิดว่าภาวนาแล้วจิตจะต้องดี ไม่ฟุ้ง ไม่หลง ไม่โกรธ
จะภาวนามานานแค่ไหน ถ้ายังไม่ถึงที่สุด กิเลสก็สามารถครอบงำจิตได้
เพราะฉะนั้น ให้เพียรภาวนาไปทุกวัน ทุกวันให้หัดรู้สภาวะไปในชีวิตประจำวัน
ถึงเวลาก็ให้หัดทำตามรูปแบบไป ฟังธรรมไปตามกาลตามโอกาส นะครับ :D

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Dhammada News : ขอเชิญชาว จ. นครสวรรค์ และจังหวัดใกล้เคียง ฟังธรรมเทศนา โดยหลวงพ่อปราโมทย์ ในวันที่ 25 ก.ย. 54

ขอเชิญ ฟัง ธรรมเทศนา “เรียนรู้กายใจ เพื่อชีวิตที่มีความสุข”  โดยหลวงพ่อปราโมทย์ ปราโมชฺโช ณ ห้างแฟรี่แลนด์สรรพสินค้า จ.นครสวรรค์

ในวันที่ 25 กันยายน 2554 ครับ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 2 of 41234