Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

คู่มือการปฏิบัติธรรม (๑๖) แยกธาตุแยกขันธ์เป็นจึงจะเห็นไตรลักษณ์ได้

mp 3 (for download) : คู่มือการปฏิบัติธรรม (๑๖) แยกธาตุแยกขันธ์เป็นจึงจะเห็นไตรลักษณ์ได้

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : งั้นเรามาหัดรู้นะ หัดแยกธาตุแยกขันธ์ไปเรื่อย เพื่อจะได้เห็นสภาวะแต่ละอันๆนั้น ไม่ใช่อันเดียวกัน ร่างกายไม่ใช่จิตใจ ความสุขความทุกข์ ไม่ใช่กายไม่ใช่ใจ  กุศลอกุศลทั้งหลาย ไม่ใช่กายไม่ใช่ใจ ไม่ใช่ความสุขความทุกข์ด้วย ใจก็อยู่ต่างหาก ไม่ใช่กาย ไม่ใช่ความสุขความทุกข์ ไม่ใช่กุศลอกุศล แต่เป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์

ถ้าเราแยกได้อย่างนี้แล้ว เราจะเห็นไตรลักษณ์ จำไว้นะ ถ้าแยกได้ ถึงจะเห็นไตรลักษณ์ ถ้าแยกไม่ได้ ทำได้มากที่สุด ก็แค่คิดถึงไตรลักษณ์เท่านั้น

เช่นเราแยกธาตุแยกขันธ์ไม่เป็น ใจกับกายของเรา ยังรวมเป็นปึกแผ่นเดียวกัน เราจะดูกายให้เป็นไตรลักษณ์ ก็ได้แต่นั่งคิด ร่างกายนี้ไม่เที่ยงนะ อย่างเช่น ผมแต่ก่อนดำ เดี๋ยวนี้หงอกแล้ว ผมแต่ก่อนมีมาก เดี๋ยวนี้มีน้อย อันนี้คิดเอา ยังไม่ใช่วิปัสสนา เป็นแค่การคิดเอา

ถ้าจิตตั้งมั่นถึงฐานจริงๆแล้ว แล้วขันธ์มันแยกออก จะเห็นเลย กายนี้ไม่ใช่ตัวเราเลย ความสุขความทุกข์ ไม่ใช่ตัวเรา ความจำได้หมายรู้ ไม่ใช่ตัวเรา กุศลอกุศลทั้งหลาย ไม่ใช่ตัวเรา จิตที่เกิดทางตาหูจมูกลิ้น กายใจ เกิดแล้วดับทั้งสิ้น ไม่มีจิตที่เป็นอมตะเลย ถ้าใครเห็นจิตเป็นอมตะ เห็นจิตเป็นของเที่ยง จิตมีดวงเดียว นี่คือมิจฉาทิฏฐิขนานแท้และดั้งเดิม คือเห็นจิตเป็นอัตตา

พระพุทธเจ้าเนี่ยแหล่ะ ลุกขึ้นมาปฏิวัติลัทธิที่ว่าจิตเป็นอัตตา ท่านบอกเลยว่าเป็นอนัตตานะ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่บ้านจิตสบาย
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

CD: บ้านจิตสบาย วันที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕
File: 550805A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๓๐ วินาทีที่ ๒๕ ถึง นาทีที่ ๓๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

คู่มือการปฏิบัติธรรม (๔) มาฝึกเรียนรู้ความจริงของตัวเรา

mp 3 (for download) : คู่มือการปฏิบัติธรรม (๔) มาฝึกเรียนรู้ความจริงของตัวเรา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ :เนี่ยสิ่งที่เราต้องฝึกนะ ก็คือการมาหัดรู้ความจริง ของตัวเราเอง

ความจริงของร่างกาย มีแต่ของไม่เที่ยง มีแต่ของเป็นทุกข์ มีแต่ของบังคับไม่ได้ เป็นแค่วัตถุที่ไหลเข้าไหลออก จิตใจก็มีแต่ความไม่เที่ยง จิตใจมีแต่ความทุกข์บีบคั้น ถูกความอยากเกิดขึ้นทีไรนะ ก็บีบคั้นจิตใจทุกทีไปเลย อยากจะอยู่นานๆ มันไม่นาน อยากจะสาวนานๆ มันไม่นาน อยากให้แฟนรักเยอะๆ มันไม่รัก อะไรนี้นะ อยากให้ลูกไม่ดื้อ มันดื้อ ความอยากเกิดขึ้นทีไรนะ มันก็บีบคั้นใจเราทุกครั้งไป

เนี่ยมาเฝ้าดูนะ จิตใจมีแต่ของไม่เที่ยง ความสุขก็ไม่เที่ยง ความสุขอยู่ชั่วคราว แล้วก็หายไป แต่พอความทุกข์(มา)นะ เรารู้สึกว่าเที่ยง ความทุกข์ไม่รู้จักหายซักที ทีความสุขละก็ไม่เที่ยงเร็ว อันนั้นเพราะใจเราอยาก อยากให้ความสุขอยู่นานๆ มันก็เลยรู้สึกสั้น

นี้เรามาคอยดูนะ ในจิตใจมีแต่ของไม่เที่ยง สุขก็ไม่เที่ยง จริงๆแล้วทุกข์ก็ไม่เที่ยง กุศลก็ไม่เที่ยง อกุศลเช่น โลภโกรธหลงทั้งหลาย ไม่เที่ยง ความฟุ้งซ่านไม่เที่ยง ความหดหู่ไม่เที่ยง ความดีใจความเสียใจ ไม่เที่ยง ความอิจฉาพยาบาท ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เที่ยง

มาดูจิตใจต่อไป จิตใจนี้ ถูกความอยากบีบคั้นอยู่ตลอดเวลา อยากดูก็ทุกข์ อยากฟังก็ทุกข์ อยากได้กลิ่นก็ทุกข์ อยากได้รสก็ทุกข์นะ อยากสัมผัสอะไรที่ดีๆก็ทุกข์ อยากคิดอยากนึกเรื่องที่ดีนะ มันไม่ยอมคิด มันชอบไปคิดเรื่องไม่ดี เรื่องความทุกข์ เรื่องอะไรนี้นะ ใจชอบไปวนเวียน อย่างเวลาอกหักนะ เพื่อนๆชอบปลอบ ว่าอย่าไปคิดมันเลย ห้ามไม่ได้ ใจจะคิด ยิ่งเรื่องไม่ดียิ่งชอบคิด ยิ่งเรื่องทุกข์ยิ่งชอบคิด ห้ามไม่ได้ นี่คือคำว่า”อนัตตา”นะ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่บ้านจิตสบาย
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

CD: บ้านจิตสบาย วันที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕
File: 550805A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๒ ถึง นาทีที่ ๗ วินาทีที่ ๕๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การภาวนาต้องตั้งเป้าให้ถูก

Mp3 for download: การภาวนาต้องตั้งเป้าให้ถูก

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ตั้งเป้าการภาวนา ตั้งเป้าให้ดี ตั้งเป้าให้ถูกหลัก อย่าตั้งเป้าว่าเราจะเอาความสุข อย่าตั้งเป้าว่าเราจะเอาความดี อย่าตั้งเป้าแค่ความสงบ ถ้าตั้งเป้าแค่เอาความสุข ความดี ความสงบ นี่เรียกว่ามักน้อยเกินไป เราจะต้องตั้งเป้าในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ พุทธะแปลว่ารู้ เป้าหมายของการปฏิบัติของเราก็คือ การได้รู้ความเป็นจริงของกายของใจ ความจริงของเขาคือไตรลักษณ์ อย่าไปดูความจริงอย่างอื่น ต้องดูเป็นไตรลักษณ์

ยกตัวอย่างเราดูร่างกาย เราเห็นว่าร่างกายไม่เที่ยงนะ เราเห็นร่างกายมันถูกความทุกข์บีบคั้นอยู่ตลอดเวลา ร่างกายเป็นวัตถุธาตุ มีธาตุไหลเข้ามีธาตุไหลออก ไม่ใช่ตัวเรา นี่ต้องเห็นอย่างนี้ ลำพังเห็นร่างกายเป็นปฏิกูลเป็นอสุภะอะไรอย่างนี้ ไม่ได้เรียกว่าเห็นไตรลักษณ์ จะได้แค่สมถะ วิปัสสนาต้องเห็นความเป็นไตรลักษณ์ของกายของใจ

หรือดูจิตดูใจ ต้องดูให้เห็นเลย จิตมันไม่เที่ยง จิตมันเกิดดับอยู่ตลอดเวลา จิตมันบังคับไม่ได้มันเป็นอนัตตา ยกตัวอย่างเราจะสั่งจิตให้เป็นกุศลก็ไม่ได้ ห้ามจิตไม่ให้เกิดอกุศลก็ไม่ได้ สั่งให้มันสุขอย่างเดียวก็ไม่ได้ สั่งไม่ให้มันทุกข์ก็ไม่ได้

เราเรียนเพื่อให้เห็นความจริง เมื่อเห็นความจริงแล้วเราจะคลายความยึดถือมัน พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า “เมื่อรู้ตามความเป็นจริงจึงเบื่อหน่าย เมื่อเบื่อหน่ายจึงคลายกำหนัด” คลายกำหนัดคือคลายความรักใคร่ผูกพันคลายความยึดถือ “เมื่อคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น เพราะหลุดพ้นจึงรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว” เพราะฉะนั้นเราภาวนานะ ต้องรู้ลงที่กายที่ใจ รู้ไปจนเขาพอ รู้ลงไปจนเขาเห็นความจริงว่า “กายนี้ใจนี้เป็นทุกข์ล้วนๆ”


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ศาลากาญจนาภิเษก (ศาลาลุงชิน)
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๘ เดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

CD: ศาลากาญจนาภิเษก (ศาลาลุงชิน) ครั้งที่ ๒๐
File: 510518
ระหว่างนาทีที่ ๑๐ วินาทีที่ ๑๓ ถึง นาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๕๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตซึมๆทื่อๆ

mp 3 (for download) : จิตซึมๆทื่อๆ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม : เมื่อวานก็มีความรู้ว่ารู้สึกตัวอยู่ แต่มันไม่โปร่งเหมือนทุกครั้งเจ้าค่ะ ก็เอ๊…เป็นอะไร เราเผลอก็ไม่ใข่ ก็รู้แต่มันไม่โปร่งน่ะเจ้าค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ใจทื่อๆอยู่

โยม : เจ้าค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : คือบางครั้งโมหะมันแทรก มันมีหลายสภาวะ อันนึงก็คือ จงใจประคองไว้เล็กๆ จงใจไปดูอะไรอย่างนี้ ก็ไม่โปร่ง อีกอันนึงคือ โมหะมันแทรกเข้ามา หรืือบางครั้งเกิดจากร่างกายก็ได้ เช่น มันง่วงมันอิ่มอะไรนี้ ก็จะซึมๆอยู่นิดนึง แต่ว่าไม่ต้องไปเกลียดมัน เราปฏิบัติไม่ใช่เอาสุข ไม่ใช่เอาสงบ ไม่ใช่เอาดี แต่ปฏิบัติให้เห็นว่า สภาวะธรรมทั้งหลายทั้งปวง เป็นของไม่เที่ยง ของเป็นทุกข์ ของบังคับไม่ได้

งั้นกระทั่งกิเลสที่เกิดขึ้น มันก็สอนธรรมะเราได้ ถ้าเราดูเป็น ถ้าเราดูไม่เป็นนะ ก็ถูกกิเลสครอบงำบ้าง ไปต่อสู้กับกิเลสบ้าง คล้ายๆถ้าไม่คล้อยตามไปก็ต้องโดดเข้าไปสู้กัน อันนี้หลงแล้ว หลงกลแล้ว แท้จริงแล้วสภาวะต่างๆเกิดขึ้น กระทั่งกิเลสเกิดขึ้นนะ เกิดแล้วก็ดับทั้งสิ้น แล้วดูออกมั้ย มันเกิดก็เกิดเอง การที่กิเลสนะมันพยายามจะมาครอบงำเรา ครอบงำจิตใจดูเหมือนน่ากลัว ในขณะเดียวกันมันก็เปิดเผยจุดอ่อนของมันให้เราเห็นเหมือนกัน จุดอ่อนที่สำคัญก็คือ มันแสดงไตรลักษณ์ให้เราเห็น กิเลสจะผุดขึ้นมาห้ามไม่ได้นะ ไม่ได้เชิญเลย อยู่ๆก็เกิดขึ้นมาเอง มีเหตุมันก็มีนะ ไม่ใช่ตัวเรา มันไม่ใช่เรา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๓๐ กรกฏาคม พ.ศ.๒๕๔๙ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๒
File: 490730A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒ วินาทีที่ ๖ ถึง นาทีที่ ๔ วินาทีที่ ๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ความเป็นกลางเกิดขึ้นได้หลายแบบ

mp 3 (for download) : ความเป็นกลางเกิดขึ้นได้หลายแบบ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ตาหูจมูกลิ้นกายใจกระทบอารมณ์ ก็เกิดสุขเกิดทุกข์ เกิดกุศลอกุศลขึ้นได้

นี้พอมันมีสุขมีทุกข์ มีกุศลอกุศลแล้ว ถ้าจิตยินดีให้รู้ทัน ถ้าจิตยินร้ายให้รู้ทัน ความยินดียินร้ายจะดับไป เพราะอำนาจของสติ

ความยินดียินร้ายดับไปด้วยอำนาจของสมาธิก็ได้ เช่นเราเห็นผู้หญิงสวย ใจมันชอบ เราก็ไปพิจารณาให้เป็นปฏิกูลเป็นอสุภะ พิจารณามรณสติ อันนี้ใช้สมาธิเอา ใช้สมถะ ความยินดีในรูปของผู้หญิงนั้นก็หายไป

เพราะงั้นตัวเป็นกลางเนี่ยเกิดขึ้นได้หลายแบบนะ เกิดเพราะสติรู้ทันความยินดี ยินร้ายก็ได้ เกิดเพราะอาศัยสมาธิพิจารณา อย่างเวลาโกรธเกิดขึ้น ก็เจริญเมตตาไป ทำสิ่งตรงข้าม มันโกรธมันไม่เป็นมิตร ก็มาเจริญเมตตา คือความเป็นมิตร คำว่าเมตตากับคำว่ามิตรนะคำเดียวกันแหล่ะ คำว่าไมตรี เมตตา มิตร คำว่าเมตไตร พระศรีอาริยเมตไตร พอเราเจริญเมตตาไปแล้วนะ โทสะก็หาย ใจก็ค่อยเป็นกลาง ไม่ฟุ้งไปด้วยอำนาจโทสะ ไปแก้กันเป็นคราวๆไป อันนี้เป็นกลางเพราะสมาธิก็ยังไม่ใช่วิธีการ ไม่ใช่เป้าหมายที่เราต้องการ

สิ่งที่เราต้องการนั้นคือเป็นกลางด้วยปัญญา เราก็ฝึกจนเป็นกลางด้วยปัญญา ตอนแรกเลยถ้ามีสติรู้ทันความยินดียินร้าย ความยินดียินร้ายดับไป ก็โอเคแล้ว ใช้ได้ รู้สภาวะต่อไป ถ้าไปรู้สภาวะแล้วมันยังไม่หาย ยังยินดียินร้ายไม่หาย ทำความสงบทำสมถะ มันก็หายเหมือนกัน มีเครื่องมือหลายตัว

แต่การที่เราคอยเห็นความยินดียินร้ายเกิดขึ้นเนืองๆ เห็นความสุขความทุกข์เกิดขึ้นเนืองๆ เห็นกุศลอกุศลเกิดขึ้นเนืองๆนี้ ถึงจุดหนึ่งจิตจะเริ่มฉลาด จิตจะเริ่มเห็นความจริง ว่าความสุขก็เป็นของชั่วคราว ความทุกข์ก็เป็นของชั่วคราว กุศลก็เป็นของชั่วคราว อกุศลก็เป็นของชั่วคราว ความยินดีก็เป็นของชั่วคราว ความยินร้ายก็เป็นของชั่วคราว

การที่จิตได้เห็นสภาวะทั้งหลาย เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับเนืองๆ เช่นความสุขเกิดแล้วดับ ความทุกข์เกิดแล้วดับ กุศลอกุศลเกิดแล้วดับ ความยินดียินร้ายเกิดแล้วดับ เห็นเนืองๆ ในที่สุดจิตจะสรุปได้ จิตจะเกิดปัญญาปิ๊งขึ้นมา จิตมันรู้ขึ้นมา ว่าความสุขก็ชั่วคราว ความทุกข์ก็ชั่วคราว กุศลอกุศลนะ ความยินดียินร้ายทั้งหลายนี้ เป็นแค่ของชั่วคราวทั้งหมดเลย พอจิตมันรู้ความจริงอย่างนี้ มันจะเกิดความเป็นกลาง พ้นจากความยินดียินร้ายด้วยปัญญา

ปัญญานั้นน่ะไปเห็น ความเป็นไตรลักษณ์ของรูปนาม ถ้าเราดูจิตดูใจ เราก็จะเห็นเลย ความสุขความทุกข์ กุศลอกุศล ความยินดีความยินร้ายทั้งหลายเนี่ย เป็นของชั่วคราว เกิดแล้วดับทั้งสิ้น แล้วบังคับไม่ได้สั่งไม่ได้ เช่นสั่งให้มีความสุข สั่งไม่ได้ ความสุขจงเกิด นี่ ความสุขไม่เกิดหรอก ความสุขที่เกิดแล้วจงอยู่นิรันดร มันไม่อยู่หรอก ความทุกข์อยากเกิด มันก็จะเกิด ความทุกข์ที่เกิดแล้วจงหายไปเร็วๆ ก็ไม่หายหรอก ไม่เป็นในอำนาจ ไม่อยู่ในอำนาจ เป็นอนัตตา

การที่เราเห็นสภาวะเนืองๆนะว่ามันไม่เที่ยงบ้าง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาบ้าง จิตมันจะค่อยๆยอมรับความจริง (ว่า)เอ้อ มันเป็นของมันอย่างนี้แหล่ะ มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ บังคับไม่ได้ ไม่เป็นไปตามใจปรารถนา พอจิตมีปัญญาอย่างนี้ จิตจะเป็นกลางเพราะปัญญา


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๓
Track: ๒๒
File: 550204.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๘ วินาทีที่ ๓๒ ถึง นาทีที่ ๑๒ วินาทีที่ ๔๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

หลักการวางตัวของผู้ปฏิบัติธรรม (๖) เจริญปัญญา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : นี่เป็นทางที่เราต้องดำเนินต่อ เริ่มจากอะไร มักน้อยใช่มั้ย มักน้อยหมายถึงมีเยอะก็บริโภคน้อย สันโดษก็ยินดีพอใจในสิ่งที่ได้มา จากการที่เราทุ่มเททำงานเต็มที่แล้ว กระทั่งเราภาวนานะ เราทำเต็มที่แล้ว มันได้แค่นี้ก็พอใจแค่นี้ สันโดษ ไม่คลุกคลี ไม่เฮๆฮาๆ ปรารภความเพียร วันๆนึงก็คิดแต่จะสู้กับกิเลส จะล้างกิเลสออกจากใจ จะปลดความทุกข์ออกจากใจ ปรารภความเพียร ฝึกสติ ร่างกายเคลื่อนไหวคอยรู้สึก จิตใจเคลื่อนไหวคอยรู้สึก ฝึกสมาธิ พุทโธไปหายใจไป จิตไหลไปคิดก็รู้ จิตไหลไปเพ่งก็รู้

พอเราฝึกได้สติ เราฝึกได้สมาธิแล้ว คราวนี้เราต้องเจริญปัญญาต่อ การเจริญปัญญาก็คือการมีสติรู้กายรู้ใจตามที่เค้าเป็น แต่ต้องรู้ด้วยจิตที่ทรงสมาธิ  จิตที่ตั้งมั่นเป็นกลางอยู่ ถ้าจิตไม่ทรงสมาธิจิตก็ไหลไป ไปรู้ลมหายใจ จิตก็ไหลไปที่ลมหายใจ มันก็ไม่เกิดปัญญา ถ้าสติระลึกรู้ลมหายใจ จิตตั้งมั่นเป็นคนดู มันจะเห็นเลยร่างกายที่หายใจอยู่ไม่ใช่ตัวเรา เห็นเองเลย จะเห็นเลย เห็นแต่อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเลย

การเจริญปัญญานั้นต้องเห็นไตรลักษณ์ ในนักธรรมเอกเค้าสอนนะ บอกว่าถ้ามีปัญญานะเห็นความไม่เที่ยงของสังขาร จิตจะเบื่อหน่ายในความทุกข์ นี่คือทางแห่งความบริสุทธิ์หลุดพ้น ถ้าเรามีปัญญาเห็นความทุกข์ของสังขาร จิตจะเบื่อหน่ายในทุกข์ นี่คือทางแห่งความบริสุทธิ์หลุดพ้นเหมือนกัน ถ้าเราเห็นสภาวะทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา มีปัญญาเห็นสภาวะทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา จิตก็จะเบื่อหน่ายในทุกข์อีก นี่เป็นทางแห่งความบริสุทธิ์หลุดพ้น

เพราะงั้นทางแห่งความบริสุทธิ์ ทางแห่งวิสุทธิ คือการที่เรามีปัญญาเห็นไตรลักษณ์ของรูปของนาม ของกายของใจนั่นเอง งั้นหลักของวิปัสสนากรรมฐานอยู่ตรงนี้เอง

งั้นเรามีสตินะ รู้กายอย่างที่มันเป็น มันเป็นอะไร มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่เราจะเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้นะ เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นคนดู ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งกายทั้งใจของเรานั้น เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยู่แล้วแต่ไหนแต่ไร เราจะเห็นหรือเราจะไม่เห็น พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้หรือไม่ตรัสรู้นะ รูปนามกายใจนี้ก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยู่แล้ว แต่ไม่มีวิธีที่จะไปรู้ไปเห็น

เครื่องมือที่จะไปรู้ไปเห็นที่เราพัฒนาขึ้นมา ก็คือมีสตินั่นเอง ตัวนึง เครื่องมือที่ ๑ มีสติคอยรู้ความเปลี่ยนแปลงของกายของใจ เครื่องมือตัวที่ ๒ คือมีจิตตั้งมั่น คือมีสมาธิจิตตั้งมั่น เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นคนดู ตั้งมั่นแล้วก็ต้องเป็นกลางด้วยถึงจะดี ตั้งมั่นแล้วบางทีไม่เป็นกลาง งั้นต้องฝึกจนกระทั่งตั้งมั่นด้วย เป็นกลางด้วย

วิธีฝึกให้เป็นกลางก็คือรู้ทันว่ามันไม่เป็นกลาง วิธีฝึกให้ตั้งมั่นก็คือรู้ว่ามันไหลไป อาศัยสติรู้ทันจิตนี้แหล่ะ ถ้าจิตไหลไปเรารู้ทันนะ จิตจะตั้งมั่น ถ้าจิตไปรู้อารมณ์แล้วยินดียินร้ายขึ้นมา เรามีสติไปรู้ทันอีก จิตจะเป็นกลาง

งั้นอาศัยตัวนี้เองนะ เราจะเห็นไตรลักษณ์ จะเห็นเอง ไม่ต้องคิดเลย ไตรลักษณ์จะปรากฎต่อหน้าต่อตา ถ้าเรายังคิดเรื่องไตรลักษณ์นะ ยังไม่ใช่วิปัสสนาแท้ วิปัสสนาแปลว่าเห็น ปัสสนะคือการเห็น ไม่ใช่วิตก วิตกมันตรึกเอาคิดเอา

บางคนไปสอนกันนะ บอกว่าทำวิปัสสนาต้องคิดพิจารณา อันนั้นเป็นอุบายเบื้องต้น เพื่อให้จิตเดินปัญญาเท่านั้นเอง บางคนก็ต้องทำ บางคนไม่จำเป็น บางคนที่เคยเจริญปัญญามาแต่ชาติก่อนแล้วนะ พอจิตตั้งมั่นขึ้นมาปุ๊บ ขันธ์แตกตัวออกไปเลย เห็นขันธ์แสดงไตรลักษณ์เลย ไม่ต้องคิดเลยบางคนพอรู้ตัวขึ้นมาเฉย มีสมาธิแล้วนะ จิตก็เฉยอยู่อย่างนั้นเลย พวกนี้ต้องคิดพิจารณา เป็นการกระตุ้นให้จิตเดินปัญญา

แต่ตรงที่กระตุ้นให้จิตเดินปัญญาด้วยการคิดพิจารณา ยังไม่ใช่วิปัสสนากรรมฐาน ยังเป็นวิตก เป็นการตรึกอยู่ วิปัสสนานั้นต้องเห็นสภาวะแท้ๆ เห็นรูปธรรมแท้ๆ นามธรรมแท้ๆ เช่นเห็นความโกรธมันเกิดขึ้นมาผุดขึ้นมา เห็นความโกรธตั้งอยู่ชั่วขณะแล้วก็ดับไป เกิดแล้วก็ดับไปให้ดู เห็นอนิจจังของความโกรธ เห็นความทนอยู่ไม่ได้ของความโกรธ เห็นเลยความโกรธมีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ บังคับไม่ได้ นี่เห็นความเป็นอนัตตาของความโกรธ

ถ้าเห็นถึงจะเป็นวิปัสสนา เพราะปัสสนแปลว่าเห็น ไม่ใช่ปัสสนแปลว่าคิด อย่างนี้แหล่ะเรียกว่าเจริญปัญญา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๔
Track: ๑๘
File: 550325.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๓ ถึง นาทีที่ ๒๗ วินาทีที่ ๕๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ต้องเห็นสันตติขาดเท่านั้น จึงจะขึ้นวิปัสสนาใช่ไหม?

mp 3 (for download) : ต้องเห็นสันตติขาดเท่านั้น จึงจะขึ้นวิปัสสนาใช่ไหม?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม : หลวงพ่อคะ หนูเห็นว่าไม่มีเราค่ะ แต่ว่าถ้าเกิดว่า…

หลวงพ่อปราโมทย์ : มี ยังมีอยู่

โยม : มีค่ะ หมายถึงว่าตอนที่รู้ตัวค่ะ หลวงพ่อคะ แต่ว่าไม่เห็นสันตติขาด อันนี้แปลว่ายังไม่ขึ้นวิปัสสนาหรือเปล่าคะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : อย่าไปคิดมาก เอาแค่กลุ่มก้อนแห่งความเป็นตัวตนนี่แตกออกมาเป็นขันธ์ๆก็ยังดี แล้วก็ดูไปแต่ละอันนะ เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง บังคับไม่ได้ ดูเรื่อยไป บางคนก็ดูละเอียด ก็เห็นจิตเกิดดับเป็นขณะๆ ก็เห็นสันตติขาด เห็นจิตดวงนึงเกิดขึ้น ดับไป มีช่องว่างเล็กๆมาคั่น เราไม่เห็นก็ไม่เป็นไร ดูหยาบดูละเอียดมันก็เหมือนกัน ก็ไม่มีเรา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๕ หลังฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๔
Track: ๒
File: 550211B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๓๘ วินาทีที่ ๓๔ ถึง นาทีที่ ๓๙ วินาทีที่ ๑๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางวิปัสสนา (๑๗) เห็นไตรลักษณ์ของกายใจ นี้เป็นทางแห่งความบริสุทธิ์

mp3 for download : ทางวิปัสสนา (๑๗) เห็นไตรลักษณ์ของกายใจ นี้เป็นทางแห่งความบริสุทธิ์

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทางวิปัสสนา

ทางวิปัสสนา

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าเรามีความเห็นว่า นี่ไม่ใช่ตัวเราหรอก ความทุกข์จะหายไป ความทุกข์จะหายไปเยอะเลย เราทุกข์เพราะอะไร ทุกวันนี้เราทุกข์เพราะเรารักกาย เราทุกข์เพราะเรารักจิตใจของเรา อยากให้มันดี อยากให้มันสุข อยากให้มันสงบ อยากโน้นอยากนี่ ทุกคราวที่ความอยากเกิด ความทุกข์จะเกิดเสมอ ความอยากใดๆเกิดขึ้น ความทุกข์เกิดขึ้นทุกที อยากขึ้นมาได้เพราะไม่รู้ความจริงว่ามันไม่ใช่เราหรอก มันคิดว่าเป็นเราจริงๆ ไปคิดว่าร่างกายเป็นตัวเรา ก็ไม่อยากให้มันแก่ ไม่อยากให้มันเจ็บ ไม่อยากให้มันตาย คิดว่าจิตใจนี้เป็นตัวเราจริงๆ ก็ไม่อยากพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ไม่อยากประสบกับสิ่งที่ไม่รัก เราอยากโน้นอยากนี้ ก็อยากจะสมหวังอย่างเดียว ไม่สมหวังก็กลุ้มใจทุกข์ใจ หนักเข้าไปอีก

เพราะฉะนั้นเรามาฝึกนะ เส้นทางที่จะไปสู่ความพ้นทุกข์อย่างแท้จริงเนี่ย ก็คือเส้นทางที่จะพัฒนาสติปัญญาของเราให้แก่กล้า ให้เห็นความจริงของสิ่งที่เรียกว่า”ตัวเรา” ถ้าเห็นได้ก็จะหมดความยึดถือในสิ่งที่เรียกว่า”ตัวเรา”ได้

พระพุทธเจ้าท่านสอนนะ ถ้าเรามีปัญญา เราเห็นความไม่เที่ยงของสังขาร สังขารก็คือกายกับใจเรานี่เอง คือ ขันธ์ ๕ นี่เอง ถ้ามีปัญญาเห็นความไม่เที่ยงของสังขาร จิตจะเบื่อหน่าย นี้เป็นทางแห่งความบริสุทธิ์ ถ้าเห็นความเป็นทุกข์ของสังขาร คือของกายของใจ จิตจะเบื่อหน่าย พอเบื่อหน่ายมันก็จะไม่ยึดถือกายยึดถือใจ นี่คือเส้นทางของความบริสุทธิ์ ถ้าเราเห็นสังขารคือกายนี้ใจนี้นะ เป็นอนัตตา คือสิ่งที่ไม่ใช่คนไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เราไม่ใช่เขา เราจะเบื่อหน่าย พอเบื่อหน่ายแล้วพระพุทธเจ้าบอกว่า นี่คือเส้นทางแห่งความบริสุทธิ์

เพราะฉะนั้นเส้นทางแห่งความบริสุทธิ์ ก็คือการที่เราสามารถเห็นกายนี้ใจนี้ หรือเห็นขันธ์ ๕ นี้ รูปนามนี้ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา หาสาระแก่นสารไม่ได้ แล้วก็หมดความยึดถือ

550409.32m06-33m57

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ ห้องสุวรรณภูมิบอลรูม ชั้น ๒ อาคารบี
บจก. เตียวฮงสีลม บางพลี
วันจันทร์ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕
ระหว่างเวลา ๑๓:๐๐ – ๑๕:๐๐ น.

File: 550409.mp3 (ไทย)
File: 550409.mp3 (สหรัฐอเมริกาและยุโรป)
เสียงพระธรรมเทศนา ระหว่างนาที่ ๓๒ วินาทีที่ ๖ ถึง นาทีที่ ๓๓ วินาทีที่ ๕๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางวิปัสสนา (๑๔) เมื่อหมดความยึดถือในกายในใจได้ คือ พระอรหันต์

mp3 for download : ทางวิปัสสนา (๑๔) เมื่อหมดความยึดถือในกายในใจได้ คือ พระอรหันต์

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทางวิปัสสนา

ทางวิปัสสนา

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าภาวนาต่อไปอีกนะ เราก็ดูแต่ละส่วนนั้นต่อไปอีก (หากเพิ่งได้ฟังตอนนี้เป็นตอนแรก ขอให้ท่านฟังเรื่อง ทางวิปัสสนา ตั้งแต่ตอนแรกตามลำดับ ที่นี่) เห็นแต่ละส่วนนั้นมีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ บังคับไม่ได้ หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไป

ยกตัวอย่างร่างกายเราบังคับไม่ได้จริงนะ สั่งไม่ให้แก่มันก็แก่ใช่มั้ย สั่งไม่ให้เจ็บมันก็เจ็บ สั่งไม่ให้ตายมันก็ตาย จิตใจเราก็บังคับไม่ได้นะ สั่งมันให้สุขมันก็ไม่ยอมจะสุข ห้ามทุกข์มันก็จะทุกข์ อะไรอย่างนี้ สั่งให้ดีมันก็ไม่ค่อยจะดีนะ ห้ามชั่วมันก็ขยันชั่ว ไม่อยู่ในอำนาจจริง เฝ้ารู้เฝ้าดูลงในกายในใจนะ ไม่เห็นมีสาระแก่นสาร

พอเห็นความจริงว่ากายนี้ใจนี้ หาสาระแก่นสารที่แท้จริงไม่ได้ มันจะหมดความยึดถือในกายในใจ ถ้าหมดความยึดถือในกายในใจเมื่อไหร่นะ จิตจะสลัดคืนกายคืนใจให้โลก รู้เลยว่านี่คือสมบัติของโลก ขันธ์ ๕ นี้ กายใจนี้ เป็นสมบัติของโลก เรามาอาศัยอยู่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นเอง จิตหมดความยึดถือในรูปในนาม นั่นแหละคือสิ่งที่เขาสมมุติเรียกกันว่า “พระอรหันต์”

550409.29m56-30m-56

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ ห้องสุวรรณภูมิบอลรูม ชั้น ๒ อาคารบี
บจก. เตียวฮงสีลม บางพลี
วันจันทร์ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕
ระหว่างเวลา ๑๓:๐๐ – ๑๕:๐๐ น.

File: 550409.mp3 (ไทย)
File: 550409.mp3 (สหรัฐอเมริกาและยุโรป)
เสียงพระธรรมเทศนา ระหว่างนาที่ ๒๙ วินาทีที่ ๕๖ ถึง นาทีที่ ๓๐ วินาทีที่ ๕๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางวิปัสสนา (๑๓) เมื่อล้างความเห็นว่ามีตัวมีตนได้ จะเป็นพระโสดาบัน

mp3 for download : ทางวิปัสสนา (๑๓) เมื่อล้างความเห็นว่ามีตัวมีตนได้ จะเป็นพระโสดาบัน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทางวิปัสสนา

ทางวิปัสสนา

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าเราไม่มีตัวเรานะ ลองเห็นขันธ์ ๕ มัน.. สิ่งที่เรียกว่าเรา.. เคยรู้สึกว่าเป็นตัวเรานั้น เอาเข้าจริงเป็นแค่ “ขันธ์” ที่มารวมกลุ่มกันอยู่แค่นั้นเอง แล้วเราก็ไปรู้สึกผิดว่าเป็นตัวเรา แต่พอขันธ์กระจายออกไปนะ ก็พบว่าไม่มีตัวเราแล้ว เหมือนจับรถยนต์ถอดเป็นชิ้นๆแล้วก็พบว่ารถยนต์หายไปแล้ว นี่เป็นวิธีการที่พระพุทธเจ้าสอน เป็นวิธีที่แปลกมั้ย ไม่น่าเชื่อนะ คนตั้งสองสามพันปีก่อนสอนเรื่องอย่างนี้ ๒๖๐๐ ปีก่อน สอนเรื่องอย่างนี้ได้

เพราะฉะนั้นเรามาเรียนนะ มาเรียน ค่อยๆสังเกตลงไป ตัวเราเอง ถ้าหากเราเห็นความจริงถ่องแท้ ว่าร่างกายไม่ใช่เรา ความสุขความทุกข์ไม่ใช่เรา ความจำไม่ใช่เรา ความปรุงดีปรุงชั่ว เช่น โลภ โกรธ หลง อะไรอย่างนี้ ไม่ใช่เรา จิตใจที่เป็นคนรู้ก็ไม่ใช่เรา ถ้าเราเห็นได้อย่างนี้นะ ตัวเราจะหายไป เมื่อไรเห็นว่าตัวเราไม่มี จะได้พระโสดาบัน

เคยได้ยินคำว่า “โสดาบัน” มั้ย เราวาดภาพโสดาบันคืออะไรก็ไม่รู้ที่ abstract มากเลยนะ สัมผัสไม่ได้ แตะต้องไม่ได้ ฝันเลยว่าอีกแสนชาติก็ไม่ถึง ไม่ถึงแน่นอนเลยถ้าไม่รู้จักรูปไม่รู้จักนาม ไม่รู้จักแยกธาตุแยกขันธ์อย่างนี้ ถ้าแยกเป็นนะ ไม่ยากอะไร พระโสดาบันคือท่านผู้ล้างความเห็นผิดว่ามีตัวมีตน ท่านล้างความเห็นผิดได้ เพราะท่านแยกขันธ์ออกมาเป็นส่วนๆ และเห็นว่าแต่ละส่วนไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา

550409.28m24-29m56

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ ห้องสุวรรณภูมิบอลรูม ชั้น ๒ อาคารบี
บจก. เตียวฮงสีลม บางพลี
วันจันทร์ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕
ระหว่างเวลา ๑๓:๐๐ – ๑๕:๐๐ น.

File: 550409.mp3 (ไทย)
File: 550409.mp3 (สหรัฐอเมริกาและยุโรป)
เสียงพระธรรมเทศนา ระหว่างนาที่ ๒๘ วินาทีที่ ๒๔ ถึง นาทีที่ ๒๙ วินาทีที่ ๕๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางวิปัสสนา (๑๒) เมื่อแยกธาตุแยกขันธ์ได้ จะเห็นว่าไม่มีตัวเรา ไม่มีคน

mp3 for download : ทางวิปัสสนา (๑๒) เมื่อแยกธาตุแยกขันธ์ได้ จะเห็นว่าไม่มีตัวเรา ไม่มีคน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทางวิปัสสนา

ทางวิปัสสนา

หลวงพ่อปราโมทย์ : นี้เราฝึกมาสองเรื่องแล้วนะ (หากต้องการอ่านย้อนหลัง กรุณาอ่านเรื่องในหมวด ทางวิปัสสนา) เรื่องแรก ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง แล้วรู้ทันจิต พุทโธไปจิตหนีไปคิด-รู้ทัน หายใจจิตหนีไปคิด-รู้ทัน จิตไหลไปเพ่งลมหายใจ-รู้ทัน ฝึกรู้ทันจิตที่เคลื่อนไป จิตก็ตั้งมั่นเป็นคนดู

พอจิตตั้งมั่นเป็นคนดูแล้วค่อยๆดูไป ร่างกายนี้เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า ร่างกายที่นั่งอยู่ ร่างกายที่เดิน ร่างกายที่นอน เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า ดูร่างกายกับจิตเป็นคนละอันกัน จะเป็นคนละอันอย่างอัตโนมัติ ต่อไปก็ดูไป ความปวดความเมื่อย อะไรเกิดขึ้นในร่างกายนะ ก็เป็นคนละส่วนกับร่างกาย เป็นคนละส่วนกับจิต ความกังวลใจที่เกิดขึ้น ก็เป็นคนละอันกับร่างกาย คนละอันกับความปวดเมื่อยเป็นคนละอันกับจิต นี้เราหัดแยกออกเป็นส่วนๆอย่างนี้แหละ

พอเราแยกออกเป็นส่วนๆแล้ว เราจะเห็นความจริงขึ้นมาแล้ว ร่างกายนี้เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า เป็นแค่วัตถุ เป็นก้อนธาตุ ร่างกายนี้มีธาตุไหลเข้าร่างกายนี้มีธาตุไหลออกตลอดเวลา เช่นเรากินอาหารแล้วเราก็ขับถ่าย เราหายใจเข้าแล้วเราก็หายใจออก เพราะฉะนั้นร่างกายนี้มีธาตุหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา ร่างกายเป็นเพียงแค่วัตถุเท่านั้นเอง เป็นสมบัติของโลกที่เรายืมโลกมาใช้ เรายืมวัตถุของโลกมาใช้ ถึงจุดหนึ่งเราก็ต้องคืนวัตถุชิ้นนี้ให้โลกไป เราครอบครองตลอดไปไม่ได้

เพราะฉะนั้นเราค่อยๆมาดูความจริงของร่างกาย ร่างกายไม่ใช่ตัวเรา ร่างกายเป็นแค่วัตถุอันหนึ่งเท่านั้นเอง มีธาตุไหลเข้ามีธาตุไหลออก เนี่ยเราเริ่มล้างความเห็นผิดว่ามีตัวเราได้แล้ว ตัวเรานี้ประกอบไปด้วยกลุ่มก้อนของขันธ์ทั้งหลายที่มารวมตัวกันเข้า แต่พอเราแยกออกมาเป็นส่วนๆเราจะเริ่มเห็นความจริงว่ามันไม่ใช่เราหรอก ร่างกายเป็นวัตถุไม่ใช่ตัวเรา ความเจ็บปวดทั้งหลายความปวดเมื่อยทั้งหลาย กระทั่งความสุขทั้งหลาย เป็นสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามาชั่วคราว

มันจะเห็นชัดๆเลยว่า ความสุขก็ไม่ใช่ตัวเรา ความสุขไม่ใช่ร่างกาย ความสุขไม่ใช่จิต เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า ความสุขเป็นแค่สภาวธรรมอย่างหนึ่ง มิใช่คน ใครเห็นว่าคนคือความสุขบ้าง มีมั้ย คนคือความสุขไม่มี ไม่มีใครเห็นอย่างนั้นนะ เห็นอย่างนั้นก็เพี้ยนเลย

เพราะฉะนั้นถ้าเราแยกออกมาได้ เห็นตัวความสุขเห็นตัวความทุกข์ แล้วจะพบว่า ไม่มีคนนะ แต่ว่าคนเป็นสุขได้มั้ย อย่างพวกเราเป็นคน เรามีความสุขได้ ใช่มั้ย แต่พอแยกปั๊บออกไปนะ ความสุขไม่ใช่คน ร่างกายไม่ใช่คน จิตใจก็ไม่ใช่คนนะจิตใจก็ไม่ใช่คน ความปรุงดีปรุงชั่วความโกรธก็ไม่ใช่คน เราจะเห็นแยกออกไป ความกังวลใจก็ไม่ใช่คน พวกนี้เรียกว่าสังขารขันธ์ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นสังขารขันธ์ เป็นความปรุงของจิต ดูไปเรื่อย ความโกรธไม่ใช่คน ใครเห็นความโกรธเป็นคนได้ ต้องเพี้ยนนะ ความโกรธไม่ใช่คน ความโลภ ความรัก ไม่ใช่คนนะ ความใจลอย ความฟุ้งซ่าน ความหดหู่ ไม่ใช่คน

เราหัดรู้หัดดูไปเรื่อยอย่างนี้ ในที่สุดจะเห็นว่า ทุกส่วนที่เราแยกออกมาเป็นส่วนๆแล้วเนี่ย มันสอนให้เราเห็นความจริงว่า ไม่มีคนหรอก ไม่มีตัวเราหรอก

550409.25m04-28m24

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ ห้องสุวรรณภูมิบอลรูม ชั้น ๒ อาคารบี
บจก. เตียวฮงสีลม บางพลี
วันจันทร์ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕
ระหว่างเวลา ๑๓:๐๐ – ๑๕:๐๐ น.

File: 550409.mp3 (ไทย)
File: 550409.mp3 (สหรัฐอเมริกาและยุโรป)
เสียงพระธรรมเทศนา ระหว่างนาที่ ๒๕ วินาทีที่ ๔ ถึง นาทีที่ ๒๗ วินาทีที่ ๒๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางวิปัสสนา (๕) ความจริงตัวเราไม่มี มีแต่ความเห็นผิดว่ามีตัวเรา

mp3 for download : ทางวิปัสสนา (๕) ความจริงตัวเราไม่มี มีแต่ความเห็นผิดว่ามีตัวเรา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทางวิปัสสนา

ทางวิปัสสนา

หลวงพ่อปราโมทย์ : วิธีปฏิบัติที่จะมาทำลายความรู้สึกว่ามีตัวเราความโง่ว่ามีตัวเรา จริงๆตัวเราไม่มี แต่ว่าหลงผิดว่ามี เพราะฉะนั้นถ้าใครบอกว่าการปฏิบัติเพื่อละความมีตัวมีตน อันนี้เข้าใจผิด การปฏิบัติธรรม การเจริญวิปัสสนากรรมฐานนั้น ไม่ใช่การปฏิบัติไปเพื่อละความมีตัวมีตน เพราะตัวตนไม่มีมาตั้งแต่แรกแล้ว มีแต่ละความเห็นผิดว่ามีตัวมีตน พวกเราไม่มีตัวมีตนที่แท้จริง มีแต่ความเห็นผิดว่ามีตัวตน

ยกตัวอย่าง สมมุติว่าเราเห็นรถยนต์ ๑ คัน รู้สึกมั้ยว่ารถยนต์มีจริงๆนะ วิธีการที่จะทำให้เห็นว่ารถยนต์ไม่มีนะ จับมันมาถอดเป็นชิ้นๆ รถยนต์ประกอบด้วยอะหลั่ยจำนวนมาก ใช่มั้ย ลูกล้อเป็นรถยนต์มั้ย ลูกล้อไม่ใช่รถยนต์ใช่มั้ย แต่รถยนต์ต้องมีลูกล้อ พวงมาลัยไม่ใช่รถยนต์ ตัวถังไม่ใช่รถยนต์ ใช่มั้ย แต่รถยนต์มีตัวถังมีพวงมาลัย เครื่องยนต์ก็ไม้ใช่รถยนต์นะ แต่รถยนต์มีเครื่องยนต์ เนี่ยมันประกอบกันขึ้นมานะ ในที่สุดเราก็มีความสำคัญมั่นหมายว่ามีรถยนต์จริงๆ ที่จริงมันคืออะหลั่ยจำนวนมากมารวมกัน

สิ่งที่มาสำคัญมั่นหมายว่าตัวเรามีอยู่นะ ก็แยกออกเป็น ๕ กอง ๕ ส่วน ที่เรียกว่า “ขันธ์ ๕” นั่นเอง ไม่มากเท่าอะหลั่ยรถยนต์นะ อะหลั่ยรถยนต์มีเยอะแยะ นับไม่ถ้วน มีน็อตมีอะไร สายฟงสายไฟ เยอะแยะไปหมดเลย มีถังน้ำมัน มีเบรค มีคลัช์ มีอะไร เยอะแยะ

แต่สิ่งที่เรียกว่าตัวเรานั้น แยกออกเป็น ๕ กลุ่ม เท่านั้นเอง เรียนไม่มากหรอก แต่ว่าวิธีการเรียนรู้นั้น แบบเดียวกับการถอดรถยนต์เป็นชิ้นๆ เรามาถอดสิ่งที่เรียกว่าเป็นตัวเรา เป็นชิ้นๆนะ

550409.11m21-13m06

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ ห้องสุวรรณภูมิบอลรูม ชั้น ๒ อาคารบี
บจก. เตียวฮงสีลม บางพลี
วันจันทร์ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕
ระหว่างเวลา ๑๓:๐๐ – ๑๕:๐๐ น.

File: 550409.mp3 (ไทย)
File: 550409.mp3 (สหรัฐอเมริกาและยุโรป)
เสียงพระธรรมเทศนา ระหว่างนาที่ ๑๐ วินาทีที่ ๒๗ ถึง นาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๒๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางวิปัสสนา (๑) มิจฉาทิฎฐิที่ปลอมปนในพุทธบริษัทฯ

mp3 for download : ทางวิปัสสนา (๑)

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทางวิปัสสนา (๑)

ทางวิปัสสนา (๑)

หลวงพ่อปราโมทย์ : เจริญพรทุกท่าน บางทีการฟังธรรมเข้าใจยาก นิดหน่อย แต่ไม่เหนือความพยายามที่พวกเราจะเข้าใจหรอก ธรรมะแท้ๆนั้นถ่ายทอดสืบทอดกันมาจนถึงยุคของเราเนี่ย มันมีธรรมะที่ไม่แท้เนี่ยเข้ามาปลอมปนอยู่เป็นอันมาก โดยเฉพาะอย่างพวกการปฏิบัติ ที่ออกนอกแนวทางที่พระพุทธเจ้าสอนไว้เนี่ย มันปลอมปนเข้ามาอยู่ในแวดวงพระพุทธศาสนาเนี่ย เยอะมาก

อย่างบางคนก็เชื่อว่าตายแล้วเกิด ส่วนใหญ่เชื่ออย่างนี้ ตายแล้วเกิด นี่ก็เป็นมิจฉาทิฎฐิอย่างหนึ่ง บางพวกเชื่อว่าตายแล้วสูญ นี่ก็เป็นมิจฉาทิฎฐิอีกอย่างหนึ่ง บางคนก็เชื่อบอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีเหตุมีผลอะไร คล้ายๆฟลุ๊ค คล้ายๆทฤษฎีที่ว่า พระเจ้าทอดลูกเต๋าน่ะ แล้วแต่ฟลุ๊ค (แนวคิดของทฤษฎีควอนตั้มในปัจจุบัน – ผู้ถอด) หรือบางคนก็เชื่อว่าหลังจากนิพพานแล้ว ยังมีตัวมีตนอยู่ พระพุทธเจ้าก็ยังดำรงชีวิตอยู่ ความเชื่อแปลกพวกนี้ ปลอมปนมาอยู่ในพระพุทธศาสนานานมากแล้ว จนบางทีเรา คนรุ่นหลังเนี่ย เราแยกไม่ออกว่า อะไรคือคำสอนของพระพุทธเจ้า อะไรไม่ใช่

ในสมัยพุทธกาลเนี่ย การแยกแยะคำสอน ว่าอันนี้ของพระพุทธเจ้า อันนี้ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าเนี่ย ทำง่าย เพราะพระพุทธเจ้ายังดำรงชีวิตอยู่ แต่ถึงขนาดนั้นบางครั้ง พระแท้ๆนี่แหละ พระทีใฝ่ดีแท้ๆนี่แหละ ปฎิบัติไปแล้วก็เกิดความเห็นผิดขึ้นได้ ก็ยังดี มีพระผู้ใหญ่ มีพระพุทธเจ้าอะไรอย่างนี้ แก้ให้

อย่างมีพระองค์หนึ่ง ท่านภาวนาไปแล้วท่านก็เกิดความเห็นผิดว่า พระอรหันต์ตายแล้วสูญ คิดว่าตายแล้วสูญ ประกาศสัจจะ ประกาศความเห็นอันนี้ออกมา พระทั้งหลายก็กลุ้มใจว่า โอ้..เข้าใจผิดนะ ก็พยายามจะแก้ไขให้ท่านเข้าใจถูก ท่านก็ไม่เข้าใจ ในที่สุดก็ต้องไปเชิญพระสารีบุตรมาช่วยแก้ให้ พระสารีบุตรท่านก็แสดงธรรมเรื่องขันธ์ ๕ ใครเคยได้ยินคำว่าขันธ์ ๕ มั้ย ขันธ์ ๕ ใครไม่เคยได้ยิน ที่นี่เป็นอนัตตาจริงๆ ได้ยินก็เงียบๆนะ (หัวเราะ)ไม่ได้ยินก็เงียบๆ

พระสารีบุตรสอนว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา สอนอย่างนี้ พระองค์นี้ปิ๊งขึ้นมา ท่านบรรลุพระอรหันต์ พระสารีบุตรถามว่า ต่อไปถ้ามีคนมาถามท่านว่า พระอรหันต์ตายแล้วไปไหน ท่านจะตอบว่าอะไร ที่จะไม่เป็นมิจฉาทิฎฐิ ท่านตอบบอกว่า ถ้าใครมาถามท่านนะ ท่านจะตอบว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ปรากฎว่าสอบผ่าน เราฟังไม่รู้เรื่อง ใช่มั้ย ไม่แปลก เราไม่ใช่พระอรหันต์ ทำข้อสอบนี้ไม่ผ่าน

ตรงนี้ หลวงพ่อพูดให้ฟังน่ะ หมายถึงว่า กระทั่งในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังดำรงพระชนม์อยู่นะ มิจฉาทิฎฐิก็มีอยู่แล้ว แล้วมันปลอมปนมันเจือปนเข้ามา ทั้งที่ตั้งใจและโดยไม่ตั้งใจ บางทีก็ไม่ได้ตั้งใจ หวังภาวนาให้ดี แต่ก็ยังหลงผิดไปได้ หลงผิดตรงที่คิดว่าพระอรหันต์มีจริงๆ มีตัวมีตนอยู่ พอตายแล้ว ตายแล้วสูญก็มี ตายแล้วยังอยู่ก็มี มันไม่ได้ผิดตรงที่ตายแล้วสูญหรือตายแล้วยังอยู่นะ มันเริ่มตั้งแต่ว่ามีตัวมีตน มีคนจริงๆมีพระอรหันต์จริงๆ ท่านจึงตอบว่า คำตอบที่ถูกนั้นคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่มีพระอรหันตหรอก ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าคน ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสัตว์ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเราว่าเขา

เนี่ย ตัวเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนาเข้าใจยาก ถ้าเราเข้าใจแล้วเราจะรู้ว่า ตัวเราไม่มี นี่เป็นเรื่องที่คนทั้งหลายทนไม่ไหว คนทั้งหลายนั้นรักในสิ่งที่เรียกว่าตัวเราๆนี้ รักที่สุดเลย หวงแหนที่สุด ถ้ามาหัดภาวนาแล้วมาเห็นว่าตัวเราไม่มีนะ แรกๆนะ จะทนไม่ได้สักรายหนึ่ง กลัวบ้างนะ บางทีก็สยดสยอง บางคนก็ขวัญหนีดีฝ่อ บางคนก็เซ็งไปเลยนะ เหี่ยวเฉาไปเลย เพราะตัวเรานี้เป็นสิ่งที่รักที่หวงแหนที่สุด แล้วพบว่า มันไม่มีจริง

550409.00m00-04m46

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ ห้องสุวรรณภูมิบอลรูม ชั้น ๒ อาคารบี
บจก. เตียวฮงสีลม บางพลี
วันจันทร์ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕
ระหว่างเวลา ๑๓:๐๐ – ๑๕:๐๐ น.

File: 550409.mp3 (ไทย)
File: 550409.mp3 (สหรัฐอเมริกาและยุโรป)

เสียงพระธรรมเทศนา ระหว่างนาที่ ๐ วินาทีที่ ๐ ถึง นาทีที่ ๔ วินาทีที่ ๔๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางบรรลุธรรม (๓) ขั้นแรกของการฝึก การเจริญวิปัสสนา

mp3 for download : ทางบรรลุธรรม (๓) ขั้นแรกของการฝึก การเจริญวิปัสสนา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทางบรรลุธรรม (๓) ขั้นแรกของการฝึก การเจริญวิปัสสนา

ทางบรรลุธรรม (๓) ขั้นแรกของการฝึก การเจริญวิปัสสนา

หลวงพ่อปราโมทย์ : คือการเจริญปัญญา การทำวิปัสสนา ไม่ใช่อะไรที่ลึกลับอะไรหรอก มันคือการฝึกจิตให้มองต่างมุม เดิมจิตเคยมองแต่ว่า “มีตัวเรา มีตัวเรา” มองอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา เรามาฝึกจิตให้หัดมองต่างมุม ให้เห็นความจริง ว่าขันธ์ไม่ใช่ตัวเรา ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตัวเรา หัดดูไปเรื่อยๆ

เบื้องต้นก็ช่วยมันคิดหน่อยนึงก็ได้ สำหรับบางคนซึ่งชาติก่อนๆไม่เคยเดินปัญญามา คนที่ถ้าไม่เคยเจริญปัญญามาแต่ปางก่อนนะ เคยแต่ทำสมาธินะ พอจิตมีกำลัง จิตตั้งมั่นขึ้นมา ขนาดจิตตั้งมั่นแล้วนะ เป็นผู้รู้ผู้ตื่นแล้วนะ มันยังไม่ยอมดูธาตุดูขันธ์ทำงานเลย มันก็ตื่นอยู่เฉยๆ ว่างอยู่เฉยๆ จิตอย่างนั้นใช้ไม่ได้ จิตไม่เดินปัญญา

ถ้ามันไม่เดินปัญญา ก็ต้องช่วยมันพิจารณา ช่วยมันคิด คิดนำให้มันหัดมองต่างมุม ดูบ้างว่าร่างกายนี้ไม่เที่ยงนะ ร่างกายเป็นทุกข์ ร่างกายไม่ใช่ตัวเรา สอนมัน พอมันหัดมองต่างมุม พอมันชำนาญในการมอง ต่อไปมันมองเอง ตรงที่พามันมองเนี่ย ยังไม่ขึ้นวิปัสสนา ตรงที่มันมองได้เองถึงจะเป็นวิปัสสนานะ

เพราะฉะนั้นบางคน ถ้าอินทรีย์ไม่แก่กล้านะ ต้องช่วยมันพิจารณา ถ้าอินทรีย์แก่กล้าจริงนะ ขันธ์มันแตกออกไปเลย พอจับตัวผู้รู้ได้แล้วขันธ์จะแตกออกไปนะ

เคยมีโยมคนหนึ่ง ไปเรียนกับครูบาอาจารย์ เรียนตอนเช้า ตอนเย็นนะ ขันธ์แตกออกมาแล้ว มีตัวผู้รู้ เพราะตัวผู้รู้ทำมาได้ตั้งแต่เด็ก ทำสมถะ ทำลมหายใจ หายใจเข้าพุทธ หายใจออกโธ นับหนึ่ง อะไรอย่างนี้ มีจิตตั้งมั่นขึ้นมาเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แล้ว แต่ต่อไม่เป็น ไม่รู้จะเดินปัญญายังไง ก็ไปอยู่แค่นั้นเอง

ไปเจอครูบาอาจารย์ท่านสอนมา ให้ไปดูจิตต่อ พอจะมาดูจิตก็มาดู จิตต้องอยู่ในร่างกาย เห็นร่างกาย ดูซิจิตอยู่ตรงไหน อยู่ในผมมั้ย อยู่ในขนเล็บฟันหนังเนื้อเอ็นกระดูกมั้ย ไล่ๆ ไล่ไปเรื่อยๆ สุดท้ายร่างกายก็แยกไปอยู่ส่วนหนึ่ง เพราะจิตเป็นผู้รู้อยู่แล้ว

พอไปดูกายเข้า จงใจมาดูกายนี้ ก็เห็นกายแยกออกไปอยู่ต่างหาก มาดูเวทนาก็เห็นเวทนาแยกออกไปอยู่ต่างหาก มาดูสังขาร ความปรุงต่างๆของจิต ก็แยกออกไปอยู่ต่างหาก กระทั่งเรื่องราวที่คิดนะ คิด อย่างคิดบทสวดมนต์ พุทโธ สุสุทโธ กรุณา มหรรณโว คิดบทสวดมนต์นี้ จิตเป็นคนรู้ขึ้นมานะ ความคิดกับจิตก็แยกออกจากกัน พอจิตกับความคิดแยกออกจากกันได้นะ ตัวรู้มันก็ผุดขึ้นมาอีก เป็นตัวรู้ที่มีคุณภาพมาก ไม่ใช่รู้อยู่เฉยๆด้วย คราวนี้ รู้แล้วเห็นขันธ์ทำงานได้

540805.03m41-06m37


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
วันศุกร์ที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๔ ก่อนฉันเช้า

CD: 41
File (ประเทศไทย): 540805.mp3
File (สหรัฐอเมริกาและยุโรป): 540805.mp3

นาทีที่ ๓ วินาทีที่ ๔๑ ถึง นาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๓๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางบรรลุธรรม (๒) ดูรูป(ร่างกาย)ให้เป็นวิปัสสนา

mp3 for download : ทางบรรลุธรรม (๒) ดูรูป(ร่างกาย)ให้เป็นวิปัสสนา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทางบรรลุธรรม (๒) ดูรูป(ร่างกาย)ให้เป็นวิปัสสนา

ทางบรรลุธรรม (๒) ดูรูป(ร่างกาย)ให้เป็นวิปัสสนา

หลวงพ่อปราโมทย์ : บางคนน่ะแยกละเอียดยิบเลย อย่างร่างกายก็แยกเป็นธาตุต่อไปอีก ตัวรูปขันธ์ก็แยกออกเป็นธาตุอีก ธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุน้ำ ธาตุน้ำดูยากที่สุด ธาตุน้ำรู้ด้วยใจ ธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุลม รู้ด้วยร่างกาย

อย่างเราคิดพิจารณาผมเป็นดิน นี้รู้ธาตุดินมั้ย คิดพิจารณาผมว่าเป็นดินน่ะ ถือว่าเป็นการรู้ธาตุดินมั้ย เป็นมั้ยเอ่ย ไม่เป็น เพราะธาตุดินรู้ด้วยร่างกาย คิดพิจารณารู้ด้วยใจ คิดพิจารณาธาตุดิน ผมเป็นธาตุดินอย่างนี้เป็นสมถกรรมฐาน รู้ไม่ได้ด้วยสภาวะแท้ๆ อายตนะแท้ๆที่จะใช้รู้ธาตุดินคือกายนะ

นี่บางคนละเอียด แต่บางคนก็ไม่ต้องละเอียดขนาดนี้ก็ได้ ส่วนใหญ่ไม่ได้ละเอียดถึงขนาดนี้หรอก ที่ภาวนากันจริงๆ พ้นทุกข์พ้นร้อนกันจริงๆ แค่เห็นเส้นผมไม่ใช่ตัวเรา ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ไม่ใช่ตัวเรา ดูลงเป็นอนัตตาไป เห็นมันไม่มีไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ตัวเรา แค่นั้นก็ยังได้เลย

ดูความไม่เที่ยง ดูยากหน่อย ตัวรูปมันอายุยืน จะดูว่าเส้นผมไม่เที่ยง จะไม่ให้เจือด้วยการคิดน่ะยาก ถ้าเจือด้วยการคิดนะ ผมแต่ก่อนดำเดี๋ยวขาวอะไรอย่างนี้ ผมแต่ก่อนสั้นเดี๋ยวนี้ยาว เจือด้วยการคิด ยังไม่ขึ้นวิปัสสนา ไม่ใช่วิปัสสนา

เพราะฉะนั้นดูรูปให้เห็นอนิจจังดูยาก รูปมันอายุยืนกว่าจิต ส่วนมาก็จะเบี่ยงไปดูรูปข้างเคียง อย่างรูปยืนรูปเดินรูปนั่งรูปนอน รูปยืนเดินนั่งนอน รูปหายใจออกหายใจเข้า อันนี้ไม่จัดว่าเป็นรูปแท้ รูปแท้เป็นธาตุดินน้ำไฟลม มีสี มีกลิ่น อะไรพวกนี้เป็นรูปแท้ รูปข้างเคียง เช่นรูปยืนเดินนั่งนอน ไม่จัดเป็นรูปแท้ ในตำราบอกว่า เอาไปทำวิปัสสนาไม่ได้ จะไปดูรูปไม่ได้ ไม่ได้จริง

แต่พลิกอีกมุมหนึ่งนะ ดูเป็นอนัตตาได้มั้ย ได้ ดูเป็นอนัตตาได้ จะเห็นเลย ตัวที่เคลื่อนไหวอยู่ ไม่ใช่ตัวเรา ตัวที่นั่งอยู่ไม่ใช่ตัวเรา

540805.00m56-03m40


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
วันศุกร์ที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๔ ก่อนฉันเช้า

CD: 41
File: 540805.mp3
นาทีที่ ๐ วินาทีที่ ๕๖ ถึง นาทีที่ ๓ วินาทีที่ ๔๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๘) สรุปอานาปานสติ สำหรับฆราวาสคนเมือง (จบ)

mp3 for download : อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๘) สรุปอานาปานสติ สำหรับฆราวาสคนเมือง (จบ)

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๘) สรุปอานาปานสติ สำหรับฆราวาสคนเมือง (จบ)

อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๘) สรุปอานาปานสติ สำหรับฆราวาสคนเมือง (จบ)

หลวงพ่อปราโมทย์ : หลวงพ่อไม่เห็นกรรมฐานใดอัศจรรย์เหมือนอานาปานสติ ลึกล้ำ จนถึงขนาดยอมรับเต็มปากเต็มคำ เต็มหัวใจเลย มันเป็นกรรมฐานของพระมหาบุรุษ ไม่ใช่กรรมฐานของคนทั่วๆไปจะเล่นได้ชำนิชำนาญหรอก

ทีนี้ พวกเราเล่นไม่ได้ทั้งหมด เราก็เลือกเอาส่วนที่เล่นได้ หายใจแล้วรู้สึกตัวไป หายใจไปแล้วจิตหนีไปคิด คอยรู้ทัน ทำตรงนี้ให้ได้ หายใจไป จิตหนีไปคิดแล้วรู้ทัน จิตหนีไปคิดแล้วรู้ทัน จิตจะเป็นผู้รู้ขึ้นมา พอจิตเป็นผู้รู้แล้วจะดูกายดูใจก็ดูไปเลย ไม่ต้องไปเข้าฌานก็ได้ เอาแค่ว่าหายใจไป เห็นกายมันหายใจ ไม่ใช่ตัวเราหายใจ หายใจไปจิตใจมีความสุขความทุกข์ เห็นมันสุขมันทุกข์ของมันได้เอง หายใจไปแล้วก็เกิดกุศลบ้าง เกิดอกุศลบ้าง เช่น เกิดฟุ้งซ่าน หายใจแล้วมีฟุ้งซ่านมีไหม ส่วนใหญ่นั่นแหละหายใจแล้วฟุ้งซ่าน ใช่ไหม ก็ดูไป จิตมันฟุ้งซ่าน เราเป็นแค่คนดู ดูไปๆมันก็เลิกฟุ้งของมันไปเอง ฟุ้งซ่านมันก็ไม่เที่ยง เห็นแต่ของไม่เที่ยง มีความสงบเกิดขึ้น หายใจสบายๆ มันสงบขึ้นมา มันก็อยู่ชั่วคราว เดี๋ยวมันก็หายไปอีก นี้เราฝึกแค่นี้ก็พอแล้ว

หายใจไป จิตหนีไปแล้วรู้ทัน มันจะได้จิตผู้รู้ขึ้นมา ถัดจากนั้นเห็นร่างกายหายใจ ไม่ใช่ตัวเรา อันนี้เดินปัญญาด้วยการดูกาย ถ้าจะเดินปัญญาด้วยการดูจิตก็หายใจไป มีความสุขก็รู้ มีความทุกข์ก็รู้ เฉยๆก็รู้ หายใจไปแล้วจิตเป็นกุศลก็รู้ จิตเป็นอกุศลก็รู้ บางทีเห็น ทุกอย่างชั่วคราวไปหมด

ฝึกไปอย่างนี้ เรียกว่า ปัญญานำสมาธิ มันนำสมาธิอย่างไร ความจริงมันมีสมาธิอยู่แล้ว แต่มันมีในขั้นขณิกสมาธิ สมาธิชั่วขณะ

เมื่อเดินปัญญาแก่รอบเต็มที่แล้ว จิตจะรวมเข้าอัปปนาเอง ในนาทีที่จะตัดสินความรู้บรรลุ อริยมรรค อริยผล อริยมรรค อริยผล ไม่เกิดในจิตของคนธรรมดา อริยมรรค อริยผล เกิดในฌานจิตเท่านั้น เกิดในรูปฌานก็ได้ เกิดในอรูปฌานก็ได้ แต่จะไม่เกิดในวิถีจิตปกติของมนุษย์นี้

ทีนี้ ถ้าเราเข้าฌานไม่เป็น ไม่ต้องตกใจ เจริญปัญญาให้มาก มีแค่ขณิกสมาธินะ ทุกวันพยายามไหว้พระสวดมนต์ไว้ ทำในรูปแบบ จิตหนีไปคิดแล้วรู้ทัน ฝึกให้มันมีขณิกสมาธิ แล้วมาเดินปัญญา รู้กาย รู้ใจ ในชีวิตประจำวัน ถึงเวลาก็ทำความสงบ ไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม รู้ทันจิตที่หนีไป หมดเวลาก็มารู้กาย รู้ใจ ในชีวิตประจำวันต่อไป ถึงวันที่ สติ สมาธิ ปัญญา แก่รอบพอ จิตจะรวมเข้าอัปปนาสมาธิ รวมเอง แล้วเกิด อริยมรรค อริยผล ขึ้น อันนี้เรียกว่า ใช้ปัญญานำสมาธิ

ลึกซึ้งมาก เรื่องอานาปานสติ แต่ว่าเราฝึกง่ายๆอย่างที่หลวงพ่อบอก ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องสนใจถึงขนาด ทำอย่างไรจะเกิดฌานจิต ทำอย่างไรจะไปเดินวิปัสสนาในอุปจาระ เห็นมันไหวๆขึ้นมา แต่ส่วนมากพวกเราก็ทำได้อันนี้ คนจำนวนมากก็ทำได้ นั่งสมาธิแล้วก็เห็น ใจสงบไปเห็นมันปรุงขึ้นมา เกิดดับไป บางทีไม่รู้ว่าอะไรเกิดอะไรดับ ไม่มีชื่อ ถ้ายังมีชื่ออยู่จิตยังฟุ้งซ่านมาก บางทีเห็นแค่สิ่งบางสิ่งเกิด แล้วสิ่งนั้นดับไป อย่างนี้ก็ใช้ได้ ถ้าถึงขนาดเห็นองค์ฌานเกิดดับอย่างนี้มีน้อยเต็มที ประเภทหนึ่งในแสน หายาก ส่วนถ้าฝึกในชีวิตประจำวัน เดินปัญญาอยู่นี้ ง่าย พอทำได้สำหรับฆราวาส ที่วันๆเต็มไปด้วยความวุ่นวายนะ หายใจไป อย่าหยุดหายใจ หายใจไว้ก่อน เอ้า ต่อไปส่งการบ้าน

541106B.17m57-22m17

ขอขอบคุณพี่ maibok @wimutti.net สำหรับเนื้อหาของ clip ช่วงนี้

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
วันอาทิตย์ที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ หลังฉันเช้า

CD: 42
File: 541106B.mp3
นาทีที่ ๑๗ วินาทีที่ ๕๗ ถึง นาทีที่ ๒๒ วินาทีที่ ๑๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

รู้สภาวะแล้ว จิตยินดียินร้ายให้รู้ทันอีก

mp 3 (for download) : รู้สภาวะแล้ว จิตยินดียินร้ายให้รู้ทันอีก

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : คอยดูใจของเรานะเวลามันรู้สภาวะขึ้นมา เช่นมันเห็นความสุขเกิดขึ้นมา มันหลงยินดีให้รู้ทัน มันเกิดความทุกข์ขึ้นมา มันหลงยินร้ายให้รู้ทัน หรือภาวนาเจริญสตินะ สติเกิดถี่ยิบเลย พอใจรู้ทัน ช่วงนี้สติไม่เกิดเลยสติแตก เสื่อมไปกรรมฐานเสื่อม เสียใจกลุ่มใจทุรนทุราย รู้ทันลงไปว่าไม่พอใจอยู่ เนี่ย ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นนะรู้ลงไปที่ใจของเรา

เบื้องต้นแค่เห็นสภาวะก่อน เช่นร่างกายเคลื่อนไหวรู้สึก จิตใจเคลื่อนไหวรู้สึก โลภโกรธหลงเกิดขึ้นก็รู้อะไรรู้ ถ้ารู้แล้วนะต่อไปก็ลึกซึ้งขึ้นมาอีก สังเกตเข้ามาถึงจิตถึงใจ มันจะเข้ามาสังเกตได้เองแหล่ะ อย่าจงใจสังเกตนะ มันจะเห็นความยินดียินร้ายที่เกิดขึ้น

งั้นเบื้องต้นรู้สภาวะนะ ถัดมาก็รู้ความยินดียินร้ายต่อสภาวะนั้น เมื่อเรารู้ความยินดียินร้ายต่อสภาวะนั้น ความยินดียินร้ายจะดับไป ใจก็เป็นกลางขึ้นชั่วขณะ ก็ไปรู้สภาวะอีก ก็หลงยินดียินร้ายอีก รู้ทันความยินดียินร้ายอีกนะ ความยินดียินร้ายดับอีกชั่วขณะ เดี๋ยวกระทบอารมณ์ก็เกิดอีก เกิดไปจนวันนึงปัญญามันแจ้งขึ้นมาว่า ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เป็นไตรลักษณ์ เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์เป็นอนัตตา คราวนี้มันจะไม่ยินดียินร้ายของมันเองแล้ว

เบื้องต้นไม่ยินดียินร้ายเข้าไปรู้ทันความยินดียินร้ายเข้าเราจะได้ไม่ปรุงนาน พอฝึกมากเข้ามากเข้าเนี่ย มันเข้าใจความเป็นจริงของสังขารคือความปรุงแต่งทั้งปวง ทั้งรูปธรรมทั้งนามธรรม ทั้งกายทั้งใจ เข้าใจแล้วว่ามันไม่เที่ยงมันเป็นทุกข์เป็นอนัตตา มันจะหมดความยินดียินร้ายไปเอง นี่เป็นการที่มันเข้าถึงความยินดียินร้ายด้วยปัญญา ไม่ใช่ด้วยสติ

เบื้องต้นรู้ด้วยสตินะ เห็นจิตมันยินดีก็รู้ อย่างไปเห็นสาวสวยใจมันชอบนะ เราเห็นลงไปรู้ทันความชอบนี้ ใจไม่ชอบอีกแล้วอยากให้หายราคะ อยากให้หาย รู้ทันลงไปที่ความอยากให้ราคะดับอีกมันยินร้ายอีกแล้ว ถ้ารู้อย่างนี้นะอย่างนี้เรียกว่ารู้ด้วยสติ รู้ไปเรื่อยๆ ทันทีที่รู้ด้วยสตินะ ความยินดียินร้ายก็ดับ แต่ดับชั่วคราว ต่อไปพอซ้ำแล้วซ้ำอีก เห็นสภาวะเกิดดับไปเรื่อยๆ เห็นเป็นไตรลักษณ์ไปเรื่อย ต่อไปก็รู้ด้วยปัญญา เห็นว่าทุกอย่างเป็นของชั่วคราว ไม่รู้จะยินดีไปทำไม ไม่รู้จะยินร้ายไปทำไม อย่างนี้รู้ด้วยปัญญา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๗
Track: ๑๐
File: 511108A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๘ วินาทีที่ ๒๙ ถึง นาทีที่ ๑๐ วินาทีที่ ๕๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๑) การเจริญปัญญาสำหรับสุกขวิปัสสโก

mp3 for download : อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๑) การเจริญปัญญาสำหรับสุกขวิปัสสโก

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๑) การเจริญปัญญาสำหรับสุกขวิปัสสโก

อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๑) การเจริญปัญญาสำหรับสุกขวิปัสสโก

หลวงพ่อปราโมทย์ : พอเรามีจิตเป็นผู้รู้ผู้ดูแล้วนะ เราก็เห็นร่างกายหายใจไปเรื่อย ทำอานาปานสตินี่แหละ ไม่ต้องเข้าฌาน เข้าไม่เป็นก็ไม่ต้องกลุ้มใจ อุปจาระก็ยังไม่ได้ก็ไม่ต้องกลุ้มใจ เห็นร่างกายหายใจไปเรื่อยๆใจเป็นคนดู มันจะเห็นทันทีเลยว่า ร่างกายที่หายใจอยู่ไม่ใช่ตัวเรา ร่างกายที่หายใจเข้าก็ไม่เที่ยง ร่างกายที่หายใจออกก็ไม่เที่ยง เห็นมั้ย เป็นอนิจจัง การหายใจเข้าก็ทนอยู่ได้ไม่นาน หายใจออกทนอยู่ได้ไม่นาน เป็นทุกขัง ร่างกายที่หายใจอยู่เป็นวัตถุธาตุ เป็นก้อนธาตุ เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า เป็นแค่วัตถุธาตุเท่านั้น ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เป็นแค่ก้อนธาตุ นี่ เห็นอย่างนี้เขาเรียกว่าเห็น “อนัตตา”

เห็นมั้ย ทำอานาปานสตินะ แล้วก็เห็นร่างกายแสดงไตรลักษณ์ นี่เดินปัญญาเลย พวกนี้ได้สุกขวิปัสสกะ เป็นพระอรหันต์ก็ไม่มีฤทธิ์มีเดชอะไรกับใครเขาหรอก ไม่มีของเล่น ต่างจากพวกที่ไปทางฌานโน้น แต่พวกที่ไปทางฌานบางคนก็ไม่มีของเล่น อภิญญาจิตไม่เกิด ต้องสร้างบารมีพิเศษนะ ตั้งใจอธิษฐานไว้ ทำบุญกับพระพุทธเจ้า ยิ่งหลายๆองค์ยิ่งดี ยิ่งขลัง เพราะฉะนั้นอย่างพวกเรา ถ้าบารมีน้อย อยากเล่นอภิญญา จิตหลอนเสียเป็นส่วนใหญ่ กิเลสหลอกเอาไป ไม่ใช่อภิญญาจริงหรอก

541106A.18m21-19m49

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
วันอาทิตย์ที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ก่อนฉันเช้า

CD: 42
File: 541106A.mp3
นาทีที่ ๑๘ วินาทีที่ ๒๑ ถึง นาทีที่ ๑๙ วินาทีที่ ๔๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ดูรูปนามแสดงละคร

mp 3 (for download) : ดูรูปนามแสดงละคร

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ดูรูปนามแสดงละคร

ดูรูปนามแสดงละคร

หลวงพ่อปราโมทย์ : การเจริญปัญญานั้นจะรู้รูปธรรมนามธรรมว่าเป็น“ไตรลักษณ์” ต้องการเห็นตรงนี้

เราจะเจริญปัญญาได้นะ ถ้าหากเรามีสติรู้รูปรู้นาม รู้ตามความเป็นจริง คือไม่เข้าไปแทรกแซงนะ มันเป็นยังไงรู้ว่าเป็นอย่างนั้น มีสติรู้กายรู้ใจรู้รูปรู้นามตามความเป็นจริง รู้ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง ถ้าทำได้อย่างนี้นะปัญญาจะเกิด มันจะเห็นความจริงของรูปของนามได้

จิตมันเป็นแค่คนดู รูปนามนั้นแสดงละครให้จิตดู จิตเหมือนคนดูละคร รูปนามเป็นตัวละครผลัดกันมาแสดง เดี๋ยวตัวดีมาเดี๋ยวตัวร้ายมา เดี๋ยวตัวสุขมาเดี๋ยวตัวทุกข์มา เดี๋ยวรูปธรรมมาเดี๋ยวนามธรรมมา มันแสดงให้เราดู เราเป็นคนดูเฉยๆ ถ้าเราดูได้อย่างนี้ เราก็จะรู้เลยตัวละครทุกตัวเมื่อออกมาแสดงแล้ว ไม่นานก็ต้องไป

มีมั้ยตัวละครที่ไม่ยอมเข้าไปในโรงเลยมีมั้ย เราคงไม่ดูหรอก มันต้องไหลไปเรื่อย เปลี่ยน ตัวนี้มาตัวนี้ไปตัวนี้มาตัวนี้ไป หมุนเวียนไปเรื่อย ดูไปดูไปถึงรู้เลยโลกนี้เป็นโรงละครเท่านั้น ไม่ได้มีจริงหรอก ขันธ์ทั้งหลายที่แสดงละครให้เราดูเป็นแค่ตัวละครหลอกๆ เหมือนเราดูละครเรารู้แล้วละครไม่ใช่เรื่องจริง เราเห็นขันธ์ห้าแสดงละคร เรารู้เลยนี่มันแค่สมมติขึ้นมา แค่ตัวหลอกๆขึ้นมา

ใจไม่ไปหลงยินดียินร้ายในขันธ์ห้าเนี่ย ใจจะคลายความยึดถือในขันธ์ห้าออก ถ้าใจไม่ยึดในขันธ์ห้านะก็ที่สุดแห่งทุกข์อยู่ตรงนั้นเอง ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น ไม่ยึดตรงนั้น ไม่ยึดเพราะปัญญา ไม่ใช่ไม่ยึดเพราะน้อมใจให้ไม่ยึด ไม่ใช่ไม่ยึดเพราะเจตนาไม่ยึด แต่จิตมันไม่ยึดของมันเองเพราะมันเห็นความจริงแล้วว่า รูปธรรมนามธรรมทั้งหลาย ล้วนแต่เป็นของไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา หาสาระแก่นสารไม่ได้ เค้าถึงไม่ยึด เค้าไม่ยึดของเค้าเอง

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๔ หลังฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๒
Track: ๖
File: 541008B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๓๕ ถึง นาทีที่ ๒๕ วินาทีที่ ๓๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การภาวนามุ่งเอาความจริง ไม่ใช่เอาดี เอาสุข เอาสงบ

mp 3 (for download) : การภาวนามุ่งเอาความจริง ไม่ใช่เอาดี เอาสุข เอาสงบ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

การภาวนามุ่งเอาความจริง ไม่ใช่เอาดี เอาสุข เอาสงบ

การภาวนามุ่งเอาความจริง ไม่ใช่เอาดี เอาสุข เอาสงบ

หลวงพ่อปราโมทย์ : นี้เรามาดูสิ่งที่เรียกว่าตัวเราเองมันน่ารักแค่ไหน สิ่งที่ประกอบเป็นตัวเราก็คือขันธ์​ 5 พูดย่อๆคือกายกับใจ น่ารักจริงมั้ยร่างกายนี้ มีความสุขจริงมั้ย ตื่นเช้าขึ้นมาใช่มั้ยต้องรีบไปล้างหน้าก่อน หน้าตาดูไม่ได้เลยหน้าเหมือนข้าวมันไก่ ต้องไปขับถ่ายใช่มั้ย มีภาระเยอะแยะเลย ต้องทำอย่างนู้นต้องทำอย่างนี้ ต้องหาข้าวกิน เดี๋ยวก็นั่งอยู่ก็เมื่อยต้องขยับไปขยับมา ลมพัดมาหนาวต้องไปหาเสื้อมาใส่ ใส่มากไปร้อนอีกแล้วก็ถอดอีกอะไรเงี้ย เนี้ยภาระทั้งนั้นเลย มีสติตามดูไปเห็นแต่ทุกข์นะทั้งวันทั้งวันนะ ดูไปแล้วต่อไปมันไม่รัก พอมันเลิกรักตัวเองนะความกลัวมันจะหายไป

โยม : แล้วมีอีกข้อนึงน่ะค่ะคือเวลาลูกทำสมถะนั่งสมาธิแล้วมันถึงจุดที่ว่ามันเหมือนกับมันเริ่มรวมๆ มันเริ่มที่จะเหมือนกับรวมเข้ามาคือมันมีสมาธิมาก แล้วเสร็จแล้วมันก็ไม่รู้จะเดินปัญญาต่อยังไง

หลวงพ่อปราโมทย์ : เฮ้ย เวลาทำสมาธิไม่ใช่เวลาเดินปัญญา ให้มันรวมไปให้มันพักไปให้เต็มที่ พอมันถอยออกจากสมาธิดูกายดูใจมันทำงานเข้าไป เจริญปัญญาตอนนี้ เวลาทำสมาธิเป็นเวลาพักผ่อนไม่ใช่เวลาทำงาน (โยม: แต่ตอนที่เค้าถอนก็คือปล่อยให้เค้าถอนของเค้าทำเอง) ให้เค้าถอนตามธรรมชาติอย่าไปดึงขึ้นมา ถ้าดึงขึ้นมาจะปวดหัว (โยม: เจ้าค่ะ) เอ้าอุทัยวันนี้กับเมื่อวานต่างกันยังไง (โยม: สติเกิดได้เองบ้างแล้วครับ) วันนี้ดีกว่าเมื่อวาน(โยม: ดีกว่าเมื่อวานครับ)เอ้าคุณหมอ (โยม: ก็รู้สึกดูแล้วบางทีเมื่อวานมันยัง เมื่อวานดูแล้วสภาวะมันก็ดับได้ วันนี้มันเหมือนมันเกาะอารมณ์อ่ะครับ มันไม่ค่อยตั้งมั่น) ห้ามไม่ได้นะ หมอดูไปเลยจิตนี้เป็นอนัตตา มันจะเกาะอารมณ์สั่งมันไม่ได้หรอก เห็นมั้ยมันสอนไตรลักษณ์นะ แต่เราไ่ม่ค่อยยอม เราจะเอาดี เราจะเอาดีเราจะเอาสุขนึกออกมั้ย (โยม: ครับ)

โยม: ฟุ้งมากเลยค่ะ ฝันอะไรก็ไม่รู้เสียงดังหนวกหูมากไม่เคยฝัน (หลวงพ่อ: ฝันเสียงดังเลยเหรอ) ฝันเหมือนกับมันยุ่งไปหมดเลยค่ะ รู้สึกว่ามันหนวกหูเลยค่ะ (หลวงพ่อ: อยู่วัดมันเงียบมาก) ก็เลยคิดว่าสงสัยเราพยายามจะไปกดข่มมันหรือเปล่า มันเลยเสียงดัง

หลวงพ่อปราโมทย์: รู้ไปอย่างที่มันเป็นสินะ(โยม: ค่ะ) จิตฟุ้งซ่านรู้ว่าฟุ้งซ่าน เอาอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนน่ะง่าย ดูกรภิกษุทั้งหลายจิตฟุ้งซ่านให้รู้ว่าฟุ้งซ่าน ไม่ใช่ให้ทำอะไร รู้อย่างที่เค้าเป็นไป เค้าก็สอนธรรมะเรานะ จิตฟุ้งเค้าก็ฟุ้งได้เองรู้สึกมั้ย สั่งให้สงบก็ไม่สงบ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับ งั้นการภาวนาที่เราเจริญปัญญาเนี่ยดูความเป็นไตรลักษณ์ของกายของใจไป ไตรลักษณ์ของกายของใจนั้นแสดงอยู่ตลอดเวลาแล้ว แต่เราไม่ชอบเอาไตรลักษณ์ของกายของใจนะ เราอยากเอาดีเอาสุขเอาสงบต่างหาก ดีมีมั้ยในโลก มีชั่วคราว สุขมีมั้ย มีชั่วคราวใช่มั้ย สงบมีมั้ย มีชั่วคราว หมอรีบบอกไม่มีก่อนทุกอย่างว่างเปล่า ไม่ใช่ สิ่งทั้งหลายถ้ามีเหตุมันก็มีขึ้นมา คำว่าอนัตตาไม่ได้แปลว่าไม่มีอะไรเลย อนัตตาหมายถึงว่าไม่อยู่ในอำนาจบังคับ สิ่งทั้งหลายถ้ามีเหตุมันก็มีหมดเหตุมันก็ดับบังคับไม่ได้ นี่คืออนัตตา ดีมี แต่ไม่เที่ยง สุขมี แต่ไม่เที่ยง สงบมี แต่ไม่เที่ยง

ถ้าเรามุ่งภาวนาจะเอาดีเอาสุขเอาสงบก็คือมุ่งภาวนาเอาของไม่เที่ยง ได้มาแล้วก็เสียไป ได้มาแล้วก็เสียไป วันนี้สงบพรุ่งนี้ก็ฟุ้งได้อีก วันนี้ดีพรุ่งนี้ก็ชั่วได้อีกใช่มั้ย วันนี้สุขพรุ่งนี้ก็ไม่สุขได้อีก มันหมุนอย่างนี้ งั้นเราไปภาวนาเราไม่ได้มุ่งเอาของไม่เที่ยงมาเป็นที่พึ่งที่อาศัย เรามุ่งเอาความจริง ดูให้เห็นความจริงของชีวิตเลย ขันธ์นี้มีแต่ของไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา ความจริงคือไตรลักษณ์ ไม่ใช่ความจริงเป็นปฏิกูลอสุภะนะ อันนั้นยังไม่ใช่สภาวะที่แท้จริง ดูลงเป็นไตรลักษณ์ให้ได้ เค้าแสดงตัวอยู่แล้วตลอดเวลาในกายในใจนี้ ดูจนใจยอมรับความเป็นไตรลักษณ์ของธาตุขันธ์ของกายของใจ ยอมรับความจริงได้ใจก็อยู่กับโลกที่แปรปรวน แปรปรวนยังไงก็ได้เพราะว่าใจยอมรับความจริงแล้วว่าโลกนี้แปรปรวน ทุกสิ่งทุกอย่างชั่วคราวหมดเลย นี่ภาวนาจนกระทั่งเราอยู่กับโลกได้อย่างมีความสุขนะ เค้าเรียกคนพ้นโลก พ้นจากโลกนะแต่อยู่กับโลก แต่พ้นโลก ครูบาอาจารย์ท่านเทียบบอกเหมือนดอกบัวอยู่ในน้ำแต่ไม่เปียก ผุดขึ้นมาจากโคลนตมแต่ไม่เปื้อน จิตที่ฝึกดีแล้วนี่อยู่กับโลกนี่แหล่ะแต่ไม่คลุกกับโลกหรอก อยู่แล้วมีความสุขสว่างไสวอยู่ โลกก็มืดๆของมันไปตามเรื่องของมันนะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๒๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๓ หลังฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๘
Track: ๕
File: 531225B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๖ วินาทีที่ ๓๗ ถึง นาทีที่ ๒๘ วินาทีที่ ๔๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 2 of 41234