Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

ภาวนาเป็นใหม่ๆจะมีความสุขเรื่อยๆ พอชำนาญมากเข้าจะเห็นแต่ทุกข์

mp 3 (for download) : ภาวนาเป็นใหม่ๆจะมีความสุขเรื่อยๆ พอชำนาญมากเข้าจะเห็นแต่ทุกข์

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ขอขอบคุณ ภาพจากชมรมกัลยาณธรรม

หลวงพ่อปราโมทย์ : เฝ้ารู้ลงไปนะ ดูลงไป ถ้าเราไม่หลงโลก ธรรมะมันแสดงตัวอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว เราหลงโลกก็เฮๆฮาๆ เพลินๆนะ หมดเวลาไปวันนึงๆ เวลาภาวนาก็อย่าไปเครียด เครียดมากก็ภาวนายาก ภาวนาให้มันสบาย แต่ไม่ใช่กระดี๊กระด๊า ภาวนาให้มันมีความสุข ไม่ใช่เพลินไป กระดี๊กระด๊าเฮๆฮาๆ สนุกนะ เอาพอดีๆ มีสติ มีใจตั้งมั่นก็มีความสุขผุดขึ้นมาเป็นระยะๆ ใครเคยภาวนาแล้วมีความสุขผุดเป็นระยะบ้าง มีมั้ยยกมือซิ ใหม่ๆจะเป็นอย่างนั้นแหล่ะ ต่อไปจะเห็นแต่ทุกข์นะ

งั้นหัดใหม่ๆจะมีความสุขเยอะเลย ทำไมมีความสุข เพราะมันมีสมาธิ มีจิตที่ตั่งมั่นขึ้นมา แต่เดิมมันไม่มีสมาธิ มีแต่จิตที่หลง หัดทีแรกนะ เราจะเห็นเลย จิตมันจะมีความสุขผุดขึ้นมาเป็นระยะๆ มันเป็นความสุขของสมาธิ แต่เดิมจิตของเราไม่มีสมาธิ จิตเราฟุ้งอย่างเดียว พอมาหัดรู้สึกตัว รู้สึกตัวนะ พอรู้สึกตัวได้ความสุขจะโชยขึ้นมา เพราะงั้นหัดใหม่ๆ จะมีความสุขมากเลย เมื่อเทียบกับคนในโลก ซึ่งมันมีแต่ความทุกข์ มีความเครียดผุดขึ้นมาเป็นระยะๆ แต่เราพอรู้สึกตัวปุ๊บ ความสุขก็ผุดขึ้นเป็นระยะ

แต่พอเราหัดภาวนามากเข้าๆนะ มันจะเปลี่ยน มันจะเห็นว่ามีแต่ทุกข์นะ ตอนนี้ใครเห็นทุกข์เยอะขึ้นแล้ว ยกมือซิ ไหนทางนี้มีมั้ย ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะแก่เพราะเจ็บเพราะตาย หรือทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะอยากได้มรรคผลเร็วๆ แล้วไม่ได้ ทุกข์เพราะมีปัญญา หรือทุกข์เพราะมีตัณหา ถ้าทุกข์เพราะมีปัญญา แล้วเราเห็นกายนี้ใจนี้มีแต่ทุกข์ล้วนๆ นี่ไง มีปัญญานะ เห็นทุกข์ นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป

แต่ถ้าทุกข์เพราะตัณหานะ จะอีกแบบนึง กิ๊กก๊อกหน่อย อยากแล้วไม่ได้ อยากแล้วไม่ได้อย่างอยาก ก็ทุกข์ ถ้าอยากแล้วไม่ได้อย่างอยากแล้วทุกข์ ทุกข์ธรรมดา ทุกข์เพลนๆใครก็เป็น แมวจะไปจับนกจับไม่ได้ แมวมันก็ทุกข์แล้ว

เราภาวนานะ เราก็จะเห็นทุกข์เต็มไปหมดเลย มองไปทางไหนก็จะเห็นแต่ความทุกข์ ใจก็จะคลายออกจากโลก ถ้าเราไม่เห็นทุกข์ เราจะหลงกับโลก เพลิน มีชีวิตหมดไปปีนึงๆนะ แป๊บเดียว ว่างเปล่าไม่ได้อะไรมาเลย ถ้าเรามีสติ มีใจที่ตั้งมั่น ดูกายดูใจทำงาน เราจะเห็นทุกข์มากขึ้นๆ เพราะเห็นทุกข์นะ จะเบื่อ แล้วคลายความยึดถือ แล้วก็หลุดพ้นไป


CD: บ้านเนินแสนสุข จ.ชลบุรี วันพุธที่ ๘ เดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๕
File: 550808.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๘ วินาทีที่ ๓๔ ถึง นาทีที่ ๓๑ วินาทีที่ ๕๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ดูกิเลสเหมือนคนเดินผ่านหน้าบ้าน

mp 3 (for download) : ดูกิเลสเหมือนคนเดินผ่านหน้าบ้าน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าใจตั้งมั่นขึ้นมาแล้วสติระลึกรู้กาย จะเห็นทันทีว่ากายนี้มันไม่ใช่ตัวเรา จะเห็นทันทีว่าเวทนา คือความรู้สึกสุขทุกข์ทั้งหลาย ไม่ใช่ตัวเรา จะเห็นทันทีนะ ว่าสังขารทั้งหลายที่เป็นกุศลหรืออกุศลทั้งหลาย ก็ไม่ใช่ตัวเรา

ความโลภ ความโกรธ ความหลงเนี่ย มันเดินมาเหมือนคนเดินผ่านหน้าบ้าน ไม่เข้าบ้านนะเดินผ่านหน้าบ้าน ส่วนพวกเราเนี่ยพอเห็นมันเดินผ่านหน้าบ้าน เราจะกระโดดเข้าไป ไปไล่มัน มันเดินผ่านหน้าบ้าน เค้าไม่ยอม เนี่ยพวกคนรักดี ส่วนพวกคนรักชั่วรีบเปิดประตูเชิญเข้าบ้าน นี่พวกรักชั่ว ส่วนพวกที่ภาวนาเป็นนะ ดูเฉยๆ ไม่เปิดประตูให้เค้าเข้ามา แล้วก็ไม่วิ่งตามเค้าไป เห็นกิเลสมาแล้วก็ผ่านไปเฉยๆ มาแล้วก็ไป มาแล้วก็ไป พวกรักชั่วนะจะเปิดประตูให้กิเลสเข้าบ้าน ให้มันครอบครองหัวใจเรา พวกรักดีเห็นกิเลสนะวิ่งออกไปไล่ตีมัน เสร็จแล้วก็จะซมซานกลับมา ไม่มีใครสู้มันไหวหรอก

เพราะกิเลสน่ะเป็นเจ้าโลกที่แท้จริง ไม่ใช่ประธานาธิบดีอเมริกันหรอก ตัวเจ้าโลกที่แท้จริงก็คือกิเลสนั่นแหล่ะ มันสั่งประธานาธิบดีก็ได้นะ

เนี่ยเราคอยรู้สึกนะ รู้ไปๆนะ ด้วยใจที่เป็นกลาง ใจที่ไม่ไปต่อต้าน ใจที่ไม่ได้คล้อยตามกิเลส ไม่ต่อต้านด้วยและก็ไม่คล้อยตาม รู้เฉยๆ หรือรู้กายก็รู้เฉยๆนะ อย่าถลำไปเพ่งกาย อะไรเกิดขึ้นในกายคอยรู้สึก อะไรเกิดขึ้นในจิตใจคอยรู้สึก รู้สึกด้วยจิตที่ตั้งมั่น สบายๆ จิตที่ไม่คล้อยตาม จิตที่ไม่ต่อต้าน

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
เมื่อ วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๗
Track: ๔
File: 511023
ระหว่างนาทีที่ ๒๕ วินาทีที่ ๓๓ ถึง นาทีที่ ๒๗ วินาทีที่ ๑๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางสายกลางของจิต

mp 3 (for download) : ทางสายกลางของจิต

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : สมาธิที่จิตตั้งมั่นเด่นดวงอยู่ที่จิตนั้นแหละ เป็นสมาธิที่สำคัญ แต่เราต้องไม่บังคับมัน ไม่บังคับให้มันตั้งอยู่ที่จิตนะ เอาแค่ว่ารู้ทันว่ามันไหล แล้วมันจะกลับมาพอดีๆ ถ้าเราจงใจให้มันไปตั้งอยู่ที่จิต มันจะตึงเครียดเกินไป

พระโพธิสัตว์ได้ยินพระอินทร์ดีดพิณ ๓ สายนะ ในตำราว่าอย่างนั้น สายที่ ๑ ตึงเกินไป สายพิณก็ขาด สายที่ ๒ นั้นหย่อนไป หย่อนเกินไป ไม่ไพเราะ สายที่ ๓ นี่พอดี ดีดแล้วไพเราะ มันก็คือการดำเนินของจิตนั่นแหละ

จิตที่หย่อนเกินไป ก็คือจิตที่ไหลไปหาอารมณ์ ไปเพลินอยู่กับอารมณ์ ยกตัวอย่างกระทั่งเรานั่งสมาธินะ แล้วจิตเคลิ้มเพลินกับอารมณ์ อันนั้นย่อหย่อนเกินไป ตามใจกิเลสแล้ว เวลาจิตไหลไปเพลินอยู่กับอารมณ์อันเดียวนะ มันมีความสุข มีความเพลินดเพลิน มีความพอใจ มีราคะเกิดขึ้น ถ้าเราไม่เห็นอะไรจะติดอยู่กับสมาธิอย่างนั้นน่ะ เมื่อไรที่สมาธิเสื่อมนะจะอารมณ์ร้ายกว่าคนปกติ เพราะว่ามันสงบมันสบายมานาน พอมันเคลื่อนออกมากระทบโลกข้างนอก มันทนไม่ไหวเลย มันร้อนแทบจะระเบิดเลย นี่อย่างนี้เรียกว่าหย่อนไปนะ มันไหลออกนอกไป เพลิดเพลินไป ตามใจกิเลสไป

ส่วนสายพิณที่ว่าตึงเกินไป ก็คือบังคับกายบังคับใจตัวเอง ยกตัวอย่างพวกเราจะนั่งสมาธิเนี่ย ส่วนมากชอบนั่งบังคับตัวเอง บังคับไม่ให้จิตคิด ไม่ให้จิตนึก ไม่ให้จิตปรุง ไม่ให้จิตแต่ง ไม่ให้จิตเคลื่อน จะรักษาจิตให้นิ่งให้ว่างอยู่ตลอดเวลา อันนั้นตึงเกินไปนะ

เราต้องพอดีๆเอาแค่ว่าจิตเคลื่อนแล้วรู้ทัน จิตเคลื่อนแล้วรู้ทัน มันจะเกิดสมาธิที่พอดีๆ สมาธิที่พอดีเนี่ยนะ สภาวะของจิตเนี่ยมันจะตั้งมั่น รู้เนื้อรู้ตัว จิตจะเบา จิตจะอ่อนโยน นุ่มนวล จิตจะคล่องแคล่วว่องไวในการเจริญปัญญา ไม่หนัก ไม่แน่น ไม่แข็ง ไม่ซึม ไม่ทื่อ จิตจะรู้สภาวธรรมทั้งหลาย ทั้งรูปธรรมนามธรรมอย่างที่มันเป็นโดยไม่เข้าไปแทรกแซง นั่นแหละคือสภาวะที่มันเป็นทางสายกลางจริงๆของจิต

คำว่าทางสายกลาง ทางสายกลาง ไม่ใช่ทางข้างนอกที่ร่างกายดำเนินไป แต่มันคือทางที่จิตดำเนินไป
จิตต้องไม่หย่อนเกินไป ถ้าจิตหย่อนเกินไป จิตก็ไหลตามกิเลส หลงไปหาอารมณ์ทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายทางใจ จิตต้องไม่ตึงเกินไป ถ้าจิตตึงเกินไปก็บังคับกายบังคับใจ เช่นบังคับจะต้องนั่งไม่กระดุกกระดิกเลยนะ บังคับมากๆอะไรอย่างนี้นะ หวังว่าไม่กระดุกกระดิกได้แล้วจะดี ไม่กินได้แล้วจะดี ไม่นอนได้แล้วจะดี อันนี้บังคับกายมากไป บังคับจิตมากไปก็จะบังคับไม่ให้จิตคิด ไม่ให้จิตนึก ไม่ให้จิตปรุง ไม่ให้จิตแต่ง ไม่ให้จิตเคลื่อน ถ้าคิดจะห้ามไม่ให้จิตเคลื่อนไปเลย ตึงเกินไป เพราะฉะนั้นเราไม่ห้ามนะ จิตจะเคลื่อนก็ได้ แต่เคลื่อนแล้วเรามีสติรู้ทัน

ห็นมั้ยว่าถ้าเราไม่รู้ทันก็หย่อนไป ถ้าเราบังคับไม่ให้เคลื่อนก็ตึงไป แต่ถ้ามันเคลื่อนแล้วเรามีสติรู้ทัน ตรงนี้แหละกลางๆ พอดีๆ จิตจะตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมานะ รู้เนื้อรู้ตัว เมื่อจิตตั้งมั่นเด่นดวงรู้เนื้อรู้ตัวได้แล้วเนี่ย มันจะตั้งอยู่กับจิต จิตเคลื่อนนิดเดียวก็เห็น จิตเคลื่อนนิดเดียวก็เห็น สภาวะมันจะคล้ายๆอย่างนี้นะ สมมุตินิ้วนี้ นิ้วชี้อันนี้ เหมือนเป็นจิตนะ เนี่ยจิตมันจ่อนะ พอมันเคลื่อนนะ เคลื่อนนิดเดียว สติมันเห็น มันเหมือนตั้งบนปลายเข็มนิดเดียว จิตขยับตัวกริ๊กเดียวนะ หลุดออกจากความรู้สึกตัว หลุดออกจากฐานนะ จะเห็นละ มันจะกลับมาตั้งของมันเอง แต่ถ้าบังคับนะ ไม่ให้ไปไหนเลย จับไว้ให้แน่นนะ ตึงเกินไป ถ้าหนีไปแล้วไม่รู้ หย่อนเกินไป


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ศาลากาญจนาภิเษก (ศาลาลุงชิน)
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๕

CD: ศาลาลุงชิน ครั้งที่ ๕๓
File: 550916
ระหว่างนาทีที่ ๒๐ วินาทีที่ ๕ ถึง นาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๕๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สมาธิเพื่อการเจริญปัญญา (๒/๖) : สมาธิชนิดที่ ๒: สมาธิเพื่อความตั้งมั่นของจิต

mp 3 (for download) : สมาธิเพื่อการเจริญปัญญา (๒/๖) : สมาธิชนิดที่ ๒: สมาธิเพื่อความตั้งมั่นของจิต

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : สมาธิชนิดที่ ๒ คือความตั้งมั่นของจิต อันนี้แหล่ะเอาไว้เดินปัญญา เคล็ดลับมีนิดเดียว ถ้าเรารู้ทันจิตที่ไม่ตั้งมั่น จิตจะตั้งมั่นขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ง่ายๆแค่นี้เอง

เห็นมั้ยหลักปฏิบัติแต่ละข้อๆนะ หลวงพ่อสรุปออกมาให้เหลือนิดเดียวแหล่ะ ง่ายๆ ถ้าเรารู้จิตที่เคลื่อนไป จิตที่ไหลไป จิตที่ส่งออก หลวงปู่ดูลย์เรียกจิตส่งออกนอก ถ้าเรารู้ทันจิตที่ส่งออกไป จิตที่เคลื่อนไป จิตที่ไหลไป จิตจะตั้งมั่นขึ้นโดยอัตโนมัติ โดยไม่ได้บังคับ

งั้นความตั้งมั่นของจิต ไม่ใช่ตั้งอยู่โดยการบังคับเอาไว้ ถ้าเราบังคับจิตไม่ให้ไหล จิตจะเครียด จิตไม่มีความสุข จิตก็ไม่สงบหรอก (ถ้า)ตั้งไว้แข็งๆ สมถะก็ไม่ได้ เดินปัญญาก็ไม่ได้ ไม่ได้ทั้งสมถะ ไม่ได้ทั้งวิปัสสนา

ให้เรารู้ทันจิตที่ไหลไป อย่าบังคับว่าห้ามไหล ถ้าห้ามมันไปบังคับมัน สมถะก็ไม่ได้เพราะไม่มีความสุข วิปัสสนาก็ไม่ได้(เพราะ)จิตมันเครียด จิตไม่ใช่ผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ง่ายมากนะ แค่รู้ทันว่าจิตเคลื่อนไป


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๑๒ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๔
File: 550212A
ระหว่างนาทีที่ ๒ วินาทีที่  ๔๑ ถึง นาทีที่ ๔ วินาทีที่ ๐๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตตั้งมั่น: รู้ทันจิตคิด จะได้จิตรู้

mp 3 (for download) : รู้ทันจิตคิด จะได้จิตรู้

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: หลวงพ่อเทียนท่านก็สอนดีนะ ท่านบอกว่า ถ้ารู้ว่าจิตคิด จะได้ต้นทางของการปฏิบัติ รู้ว่าจิตคิดนะ ไม่ใช่รู้เรื่องที่คิด ต้องแยกให้ออก พวกเรามาวันแรกๆ บางคนแยกตรงนี้ไม่ออก ระหว่างการรู้เรื่องที่คิดกับการรู้ว่าจิตคิด ไม่เหมือนกัน

การรู้เรื่องที่คิด หมาคิด หมาก็รู้นะ ไม่ใช่อัศจรรย์อะไร หมามันจะคิดอะไร หมามันก็รู้ว่ายังคิดเรื่องอะไรอยู่ เป็นเรื่องสมมุติบัญญัติ แต่การที่รู้ว่าจิตกำลังอยู่ในอาการคิดน่ะ เป็นการรู้อารมณ์ปรมัตถ์ละ ให้เรารู้ว่าจิตคิด

ทีนี้คนไหนไม่ถนัดรู้ลมหายใจจนกระทั่งจิตมาหยุดแล้วก็จิตเคลื่อนไป รู้ทัน จิตเคลื่อนไป รู้ทัน เอาอย่างอื่นก็ได้ ขยับมือไป จิตหนีไปคิด รู้ทัน ดูท้องพองยุบไป จิตหนีไปคิด รู้ทัน พุทโธไป จิตหนีไปคิด รู้ทัน ใช้หลักอันเดียวกัน คือ รู้ทันจิตที่หนีไปคิด

ถ้าเรารู้ทันจิตที่หนีไปคิด จิตคิดจะดับ จะเกิดจิตรู้ขึ้นมาแทน จิตตัวนี้แหละจะเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน คนที่ภาวนาได้นะ มีลักษณะร่วมกัน มีจิตที่ตั้งมั่น

หลังเนี่ย คำว่า “พุทโธ” คำว่า “จิตผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน” อะไรเหล่านี้ เริ่มหายไปจากวงกรรมฐาน มีแต่เรื่องทำสมาธิ ทำจิตให้สงบ เคลิบเคลิ้ม เห็นโน่นเห็นนี่ นึกว่าดี ดีอะไร เรื่องของกิเลสนะ ต้องฝึกให้จิตตั้งมั่น เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๑๒ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๔
File: 550212A
ระหว่างนาทีที่ ๔ วินาทีที่  ๔๘ ถึง นาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๒๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การเจริญสติปัฏฐาน ทำให้ละมิจฉาทิฎฐิ ทำให้เกิดสัมมาทิฎฐิ

mp 3 (for download) : การเจริญสติปัฏฐาน ทำให้ละมิจฉาทิฎฐิ ทำให้เกิดสัมมาทิฎฐิ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : พวกที่ไม่เห็นปฏิจจสมุปบาทเนี่ย จะมีมิจฉาทิฎฐิชนิดหนึ่ง ชื่อ “อัตตทิฎฐิ” อัตตทิฏฐิก็คือ ตัวเรามีอยู่จริงๆ ตัวเรามีจริงๆ พวกเราทั้งหลายที่ไม่ใช่พระโสดาบันนะ ยังมีอัตตทิฎฐิอยู่ เห็นว่าตัวเรามีจริงๆ

เรารู้สึกมั้ย ในนี้ ในกายในใจเนี้ย ในเนื้ยมีเราอยู่คนหนึ่ง เราคนนี้กับเราตอนเด็กๆ ก็ยังเราคนเดิม เราคนนี้กับเราเย็นนี้ หรือเย็นพรุ่งนี้ อีกปีหน้า ก็ยังเป็นเราคนเดิม เรารู้สึกมีเราอยู่ตัวหนึ่ง

แต่ถ้าเราเห็นปฏิจจสมุปบาทนะ เราเห็นกระบวนการทำงานของจิตใจที่เขาปรุงแต่งสืบเนื่องกันไปทั้งรูปธรรมนามธรรมที่เขาปรุงต่อกันไป เราจะรู้ว่าตัวตนถาวรไม่มีหรอก ความรู้สึกเป็นตัวเป็นตนนั้นเกิดจากหลงไปก่อน แล้วก็ไปปรุงแต่งขึ้นมา ตัวตนจริงๆไม่มี

ตอนนี้คนที่ภาวนากับหลวงพ่อแล้วเห็นว่า ตัวตนจริงๆไม่มี มีเป็นพันแล้วนะ พวกนี้คือพวก Candidate ที่จะได้ธรรมะ แต่ไม่บอกนะว่าชั่วโมงของการ Candidate นานแค่ไหน ไม่ใช่ว่า เอาละว้า ชั้นเห็นแล้วว่าความเป็นตัวตนเกิดแล้วดับไปเป็นคราวๆ เอาละสบายแล้ว หลวงพ่อบอกว่า Candidate แล้ว ชาตินี้นอนเล่นๆไปก่อน ชาติหน้าก็ลืม

เพราะฉะนั้นเราต้องภาวนา เห็นมั้ย เรารู้สึกกายรู้สึกใจ มีสติรู้กายรู้ใจ เราเห็นเลย ตัวตนจริงๆไม่มีหรอก มีแต่กระบวนการทำงานปรุงแต่งความเป็นตัวตนขึ้นมาเป็นคราวๆ

ทีนี้การที่เราเจริญสติปัฏฐาน หรือมีสติรู้กายรู้ใจ มันจึงละมิจฉาทิฎฐิทั้งหมดไป แล้วก็ทำให้เกิดสัมมาทิฎฐิทั้งหมด


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๗
File: 511019.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๖ วินาทีที่ ๒๔ ถึง นาทีที่ ๒๘ วินาทีที่ ๑๓

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เวลาเจริญปัญญา ดูกายเป็นปัจจุบันขณะ ดูจิตเป็นปัจจุบันสันตติ

mp 3 (for download) : เวลาเจริญปัญญา ดูกายเป็นปัจจุบันขณะ ดูจิตเป็นปัจจุบันสันตติ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : สิ่งแรกนะ ที่ฝากให้พวกเราไปก็คือ ไปฝึกจิตให้เป็นผู้รู้ให้ได้ ผู้รู้นะไม่เผลอไปตามกิเลส ไม่เพ่งบังคับไว้ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มีเบิกบานด้วยนะ เบิกบานอยู่ในตัวเอง

ถัดจากนั้นเจริญปัญญา อย่าเป็นผู้รู้แล้วก็จบอยู่ที่เป็นผู้รู้ ยังไม่ได้เริ่มเจริญปัญญาเลย เป็นผู้รู้เพื่อจะเป็นจุดตั้งต้นในการเจริญปัญญา เวลาเจริญปัญญานั้นดูกายลงปัจจุบัน ถ้าดูจิต ดูจิตที่เพิ่งดับไปสดๆร้อนๆ ดูไม่เหมือนกันนะ

ดูจิตลงปัจจุบันไม่ได้ เช่นจิตมันกำลังไปดูรูป ในขณะที่จิตไปดูรูปนั้น เราจะรู้ว่าจิตไปดูรูปไม่ได้ เพราะขณะนั้นอารมณ์ของจิตคือรูป ไม่ใช่อารมณ์ของจิตคือจิตดวงก่อน การดูจิตนี้จะดูตามหลังตลอดเลย แต่ตามกระชั้นชิด เช่นจิตดวงนั้นโกรธ เกิดจิตอีกดวงนึงรู้ว่าดวงตะกี๊โกรธ คนละดวงกัน งั้นดูจิตเนี่ยเป็นปัจจุบันสันตติ คือสืบเนื่องกับปัจจุบัน ถ้าดูกายนะเป็นปัจจุบันขณะ ขณะนี้เลย คนละแบบกันนะ สิ่งเหล่านี้ต้องศึกษานะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๕
Track: ๑๒
File: 550512.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๓๐ วินาทีที่ ๒๑ ถึง นาทีที่ ๓๑ วินาทีที่ ๓๔

ตติ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ธรรมะที่ไม่เนิ่นช้า (๔) เจริญสติ

mp 3 (for download) : ธรรมะที่ไม่เนิ่นช้า (๔) เจริญสติ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ชีวิตอย่าปล่อยให้ล่วงเปล่าๆ ต้องปฏิบัติ วิธีปฏิบัติ ปฎิบัติอะไร ก่อนจะลงมือปฏิบัติ ฝึกสติเสียก่อน ถ้ามีสติก็จะมีศีล มีสติก็จะมีสมาธิ มีสติก็มีโอกาสที่จะเกิดปัญญา มีสติ ต้องฝึกสติ ถ้าขาดสติซะตัวเดียวเนี่ย ศีลสมาธิปัญญาหายหมดเลย งั้นต้องมาให้มีสติ

นี้ท่านสอนมาเป็นลำดับเลยนะ ที่จะไม่เนิ่นช้า มักน้อย สันโดษ ไม่คลุกคลี ปรารภความเพียร เจริญสติ วิธีเจริญสติ สติเป็นเครื่องระลึกรู้ ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในกาย เป็นเครื่องระลึกรู้ ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในจิตใจ สติเกิดจากถิรสัญญา “ถิร” คนไทยใช้คำว่า เสถียร คือมันมั่นคง มันหนักแน่น แน่วแน่นะ คือรู้อย่างถิรสัญญาหมายถึงว่า มันรู้อยู่ถี่ๆ รู้อยู่บ่อยๆนะ รู้จนรู้อัตโนมัติ รู้จนจิตจำสภาวะได้แม่น เรียกว่ามีถิรสัญญา

สัญญาเป็นตัวความจำ ถิรสัญญาคือจำได้แม่นยำ จำได้แม่นยำในสภาวะของกาย จำได้แม่นยำในสภาวะของใจ พอสภาวะทางกายเกิดขึ้น สติจะเกิดขึ้น พอจำสภาวะทางจิตได้แม่น เช่นจำได้ว่าโลภเป็นยังไง โกรธเป็นไง หลงเป็นไง พอความโลภเกิดขึ้น สติจะเกิดเอง จะระลึกขึ้นได้แล้วว่า ความโลภเกิดแล้ว ถ้าจิตจำความโกรธได้แม่น พอความโกรธเกิด สติก็จะเกิดเอง อ้อ ความโกรธเกิดขึ้นแล้ว

พวกเราหัดรู้สภาวะให้มาก ร่างกายเคลื่อนไหว คอยรู้สึก จิตใจเคลื่อนไหวคอยรู้สึก คอยรู้สึกไป ร่างกายหายใจออก รู้สึก ร่างกายหายใจเข้า รู้สึก ร่างกายคู้ ร่างกายเหยียด รู้สึก ร่างกายยืนเดินนั่งนอน คอยรู้สึก มีความสุขความทุกข์เกิดขึ้นในกาย คอยรู้สึก ความสุขความทุกข์ในกายหายไป ก็คอยรู้สึก มีความสุขความทุกข์ความเฉยๆเกิดขึ้นในใจ ก็รู้สึก ความสุขความทุกข์ความเฉยๆดับไปจากจิตใจของเรา ก็รู้สึก มีกุศลเกิดในใจ ก็คอยรู้สึกนะ มีอกุศลเกิด โลภโกรธหลงเกิดขึ้นในจิตใจของเรา ก็คอยรู้สึก แล้วจิตวิ่งไปที่ตา คอยรู้สึก จิตวิ่งไปที่หู คอยรู้สึก จิตวิ่งไปคิด คอยรู้สึก จิตวิ่งไปเพ่ง คอยรู้สึก

เนี่ยเราคอยรู้สึกอยู่ในกาย คอยรู้สึกอยู่ในใจอย่างนี้บ่อยๆ ต่อไปพอร่างกายขยับ อย่างเรากำลังเผลออยู่ ขยับตัวปั๊บ ไม่ได้เจตนาขยับ เพราะร่างกายเราขยับอยู่ทั้งวันอยู่แล้ว กำลังเผลอๆอยู่ เกิดขยับตัวกริ๊กเดียวเท่านั้นเอง สติมาแล้ว รู้สึกตัวขึ้นมาแล้ว รู้เลยเห็นร่างกายมันเคลื่อนไหวอยู่ จิตมันเป็นคนดูขึ้นมา ตรงที่เห็นร่างกายมันเคลื่อนไหว จิตเป็นคนดู ได้สมาธิมาแล้ว การมีสติฝึกให้มาก จำสภาวะให้แม่น แล้วสติจะเกิดเอง สตินั้นเป็นอนัตตา เช่นเดียวกับสภาวะธรรมทั้งหลายทั้งปวง จิตก็เป็นอนัตตา สั่งให้มีสติไม่ได้ สติมีเหตุ สติถึงจะเกิด สติไม่มีเหตุ สติไม่เกิด

เพราะงั้นเราต้องทำเหตุของสติ คือการหัดรู้สภาวะเนืองๆ จะจำสภาวะได้แม่น เช่นความสุขเกิดขึ้นในใจ คอยรู้ ความทุกข์เกิดขึ้นในใจ คอยรู้ ความโลภความโกรธความหลง เกิดขึ้นในใจ คอยรู้ ความสุขความทุกข์ เกิดขึ้นในกาย คอยรู้ ร่างกายเคลื่อนไหว ร่างกายหายใจ คอยรู้ คอยรู้สึกอยู่เรื่อยๆ แล้วสติจะเกิดเอง

ทันทีที่สติเกิดจิตจะเป็นกุศล เมื่อจิตเป็นกุศล อย่างเรารู้ว่าความโกรธมา พอสติระลึกได้ปุ๊บนะ ความโกรธจะดับทันทีเลย ความโกรธหรือกิเลสทั้งหลายเนี่ย จะเกิดร่วมกับสติไม่ได้ กุศลกับอกุศลไม่เกิดขึ้นพร้อมกัน เหมือนแสงสว่างกับความมืดนั้น ไม่เกิดด้วยกัน แสงสว่างดับไป ความมืดก็ปรากฎขึ้น แสงสว่างปรากฎขึ้น ความมืดก็ดับไป อันนี้ก็เหมือนกุศลอกุศลทั้งหลาย กิเลสเหมือนความมืดนะ สติเหมือนแสงสว่าง ทันทีที่แสงสว่างเกิด ความมืดก็ดับไป มันจะไม่เกิดร่วมกัน

งั้นพอเราฝึกสติบ่อยๆเนี่ย กิเลสเกิดอะไรขึ้นที่จิต สติจะรู้ทันอัตโนมัติเลย โกรธแล้วนะ รู้ทันเลย โกรธ ความโกรธจะดับ เมื่อความโกรธดับ ศีลจะเกิดขึ้น เราจะไม่ทำผิดศีลเพราะความโกรธ ผิดศีลเพราะความโกรธทำอะไรได้บ้าง ไปฆ่าเค้าไปตีเค้าใช่มั้ย ไปทำลายทรัพย์สินเค้า ไปแกล้งขโมยของเค้า ไปลักขโมยเค้าเนี่ยไม่ใช่เกิดจากโลภอย่างเดียวนะ เกิดจากโกรธก็ได้ ทำลายทรัพย์สินเค้า ขโมยเค้า ไปเป็นชู้กับเค้าเพราะความโกรธก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเพราะราคะ เกลียดไอ้คนนี้มาก ไปหลอกจีบลูกสาวมันจีบเมียมันอะไรงี้ เนี่ยทำผิดศีลได้ โกรธขึ้นมาก็ไปด่าเค้า หรืิอไม่ก็ไปพูดเพราะๆ หลอกให้เค้าเหลิง เสียผู้เสียคนไปเลยอย่างนั้นก็ได้ พูจเท็จด้วยความโกรธก็ได้ โกรธขึ้นมาไปกินเหล้าได้มั้ย กินเหล้าเนี่ยเป็นตัวรองแล้วนะ ตัวนี้เป็นตัวกระตุ้นให้ขาดสติมากขึ้น

เพราะงั้นถ้าโกรธจริงๆ มันจะไปผิดศีล ๔ ข้อแรกนะ โลภขึ้นมาก็ผิดศีล ๔ ข้อได้ หรือโลภขึ้นมาไปกินเหล้าได้ ก็ผิดศีล ๕ ได้ หลงขึ้นมาก็ผิดศีลได้ทุกข้ออีกแหล่ะ เพราะงั้นถ้าเมื่อไหร่ กิเลสเกิดที่จิต เรารู้ไม่ทัน กิเลสครอบงำจิตได้ โอกาสทำผิดศีลเนี่ยจะมี ถ้ากิเลสเกิดขึ้นที่จิต เรามีสติรู้ทัน กิเลสดับไป โอกาสทำผิดศีลนั้นไม่มี เพราะงั้นถ้ามีสติ จะมีศีล


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๕
Track: ๔
File: 550422.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๔ วินาทีที่ ๓ ถึง นาทีที่ ๒๙ วินาทีที่ ๕๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การภาวนาไม่มีฟลุ๊ค ไม่มีบังเอิญ มีแต่ต้องทำเอาเอง

mp 3 (for download) : การภาวนาไม่มีฟลุ๊ค ไม่มีบังเอิญ มีแต่ต้องทำเอาเอง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : สิ่งทั้งหลายมีเหตุทั้งหมดเลย ไม่มีอะไรที่ลอยๆมาเกิดหรอก และไม่มีอะไรที่ฟลุ๊ค สังเกตมั้ยหลวงพ่อไม่เคยพูดคำว่า “โชคดี-โชคร้าย” เลย รู้สึกมั้ย ในใจไม่เคยมีคำว่าโชคดีโชคร้าย ตั้งแต่เป็นฆราวาสนะ

มีคนหนึ่งตั้งข้อสังเกต หลวงพ่อเคยรู้ตัวมาก่อนเลยว่า ไม่เคยพูดคำนี้ มีดอกเตอร์คนหนึ่ง เขารวย ทำงานอยู่อเมริกานะ ไม่กี่ปีนะ มีเงินเป็นร้อยล้านเลย เขาบอกว่าเขาพบว่ามาคุยกับหลวงพ่อแล้วหลวงพ่อแปลกกับคนอื่น คนอื่นจะบอกว่าเขาโชคดีจังเลยนะ โชคดีที่เก่ง โชคดีที่มีโอกาสไปอยู่อเมริกา ทำมาหากินเก่ง เขียนซอฟต์แวร์เก่ง อะไรอย่างนี้ บอกว่ามาคุยกับหลวงพ่อ ไม่เห็นพูดคำว่าโชคดีเลย จริงๆไม่มีหรอก โชคดี มีแต่ชื่อ ชื่อคนว่าโชคดีน่ะมี มีคนชื่อโชคร้ายบ้างมั้ย ไม่ค่อยมีนะ ยังไม่เคยได้ยิน

คอยรู้สึกตัวนะ รู้สึกตัว ดูกายทำงาน ดูใจทำงาน ถึงวันหนึ่งมันก็พัฒนา ค่อยๆก้าวหน้าไป แล้วจะพบว่าไม่ยากหรอก ไม่มีเรื่องบังเอิญ ไม่มีเรื่องโชคดี มีแต่เรื่องที่ต้องทำเอาเองทั้งสิ้น น้ำพักน้ำแรงทั้งนั้นเลย จะดีหรือจะเลว จะบรรลุมรรคผลหรือไม่ อยู่ที่ตัวเอง ต้นทุนทำมามากก็เพราะว่าเขาทำมามาก ชาตินี้เขาง่ายก็เพราะมีเหตุดี เขาทำมาเยอะ

เราทำแล้วรู้สึกย้ากยาก ทำมาหลายปีแล้ว ยังไม่ได้เสียที ไม่ต้องไปเทียบกับคนอื่น ดูตัวเอง ถ้าศีล-สมาธิ-ปัญญาดีขึ้น ก็ถือว่าโอเคแล้วล่ะ เพราะชาติก่อนทำมาน้อย เกิดมา เทียบไปนะ เกิดมายากจน จะทำธุรกิจอะไรสักอย่างหนึ่งนะ ลำบาก กว่าจะตั้งตัวได้นาน แต่อดทนพากเพียรไปนะ ก็ตั้งตัวได้

เหมือนเจ้าสัวทั้งหลายนะ แรกๆมาเมืองไทยก็ยากจน สำนวนมีเสื่อผืนหมอนใบ อะไรอย่างนี้ ตั้งตัวได้เป็นเจ้าสัว คนไทยมีไร่มีนา ร่ำรวยนะ คนจีนมารับจ้างหาบน้ำบ้างอะไรบ้าง ตอนนี้กลับข้างนะ คนไทยเป็นลูกจ้างหมดแล้ว

ไม่ได้ฟลุ๊ค ไม่ได้บังเอิญ แต่เพราะกรรม เขาขยัน ของเราก็เหมือนกัน ภาวนาไม่มีฟลุ๊ค ไม่มีบังเอิญ มีแต่เรื่องกรรม ต้องทำเอาเอง


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๓
Track: ๑๖
File: 550114.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๗ วินาทีที่ ๒๙ ถึง นาทีที่ ๒๐ วินาทีที่ ๓๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การเจริญปัญญา จิตจะพลิกทำสมถะเป็นช่วงๆ

mp 3 (for download) : การเจริญปัญญา จิตจะพลิกทำสมถะเป็นช่วงๆ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้า(จับ)หลักให้แม่นๆ การภาวนาไม่ยากแล้ว

ครูบาอาจารย์บางท่าน ท่านก็ภาวนาดี แต่เวลาปฏิบัติเนี่ย ท่านทำมาผสมกันคลุกๆมา คือพากันทำนะครูบาอาจารย์แนะนำท่านทำมา ดูไปอย่างนี้แหล่ะ อะไรงี้ ดูไปเรื่อย ตอนที่ท่านดูอยู่เนี่ย จิตมันพลิกไปพลิกมา ระหว่างสมถะกับวิปัสสนา

ถ้าสังเกตให้ดี กระทั่งครูบาอาจารย์สายวัดป่า ท่านจะไม่พูดคำว่าวิปัสสนา นึกออกมั้ย มีแต่เรื่องภาวนา เรื่องปฏิบัติ แต่เวลาลงมือทำนะ มันจะคลุกกันผสมกัน

  • ตอนไหนจิตฟุ้งซ่านมากทำความสงบ นี้ได้สมถะ
  • ถ้าสมถะลึกเกินไปจิตนิ่งเกินไป พิจารณาร่างกาย นี้เป็นอุบายกระตุ้นให้จิตทำงานให้เดินปัญญา ยังไม่เดินแต่เป็นแค่กระตุ้น
  • ตรงที่จิตตั้งมั่นขึ้นมา เห็นกายเคลื่อนไหวทำงานไป จิตเป็นผู้รู้ผู้ดู อันนี้เดินปัญญาอยู่แล้ว เห็นเลยไม่ใช่ตัวเรา

ทีนี้เวลาเดินปัญญาเนี่ย ธรรมชาติของจิตจะไม่เดินปัญญารวด เดินปัญญาไปนิดๆหน่อยๆนะ มันจะวกกลับเข้ามาทำความสงบเป็นช่วงๆไป กระทั่งดูจิตก็แบบเดียวกัน

ตอนแรกๆหลวงพ่อโง่ โง่หลาย แต่ไม่ดื้อนะ โง่เฉยๆแต่ไม่ดื้อ ตอนเด็กๆนั่งแต่สมาธิทำความสงบ ก็รู้ว่าเป็นสมาธิ ต่อมาไปหาหลวงปู่ดูลย์ ท่านสอนให้ดูจิต พอไปดูจิตอยู่ทั้งหมดเลยตั้งแต่เจอท่าน ๗ เดือน ไปส่งการบ้านครั้งที่ ๒ พบท่านครั้งที่ ๓ เป็นการพบครั้งที่ ๓ ไปส่งการบ้านครั้งที่ ๒ ครั้งแรกไปเรียน

ก็ไปเล่าให้ท่านฟังว่าจิตอย่างนี้ๆนะ ท่านก็บอกจิตมันเข้าสมาธิ ไปบอกท่านนะ ไปเถียงท่านนะ โอ ผมไม่ได้นั่งสมาธินะ นึกว่านั่งสมาธิต้องนั่งหายใจ ผมไม่ได้นั่งสมาธิ ผมนั่งดูจิต ทำไมหลวงปู่ว่าจิตเป็นสมาธิ ท่านบอกดูจิตนั้นได้สมาธิอัตโนมัติ

เพราะฉะนั้นเวลาที่เราเดินปัญญาเนี่ยนะ ไม่ใช่เดินปัญญารวด จิตจะพลิกเข้ามารู้สึกตัวอยู่เฉยๆ บางทีก็ออกรู้ เห็นความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของรูปนาม ตรงนั้นเป็นปัญญา ตรงที่รู้อยู่เฉยๆ รู้สึกตัวเฉยๆอยู่เนี่ยเป็นสมถะ

เพราะฉะนั้นบางคนบอกว่ารู้ลูกเดียวๆ ไม่พอนะ รู้ลูกเดียว รู้แล้วก็เฉยอยู่อย่างนั้นทั้งปีทั้งชาติ อันนั้นสมถะ เพราะฉะนั้นจิตตั้งมั่นรู้ขึ้นมาแล้ว ก็ต้องดูขันธ์มันทำงาน ดูกายทำงาน ดูใจทำงาน ถึงจะเจริญปัญญา

ตอนเจริญปัญญาจิตก็พลิกทำสมถะเป็นช่วงๆ เดี๋ยวก็ออกไปเจริญปัญญา เดี๋ยวก็ทำสมถะ ไม่เหมือนการทำสมถะ การทำสมถะ ทำสมถะรวดไปเลยไม่เจริญปัญญาเนี่ย ทำได้ แต่วิปัสสนารวดเลย ไม่มีสมถะเนี่ย ไม่มีหรอก จิตมันจะรู้สึกตัวขึ้นเฉยๆเป็นช่วงๆ เดี๋ยวก็ดูต่อ เดี๋ยวก็รู้สึกขึ้นนะ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕ หลังฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๕
Track: ๗
File: 550429B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๕ วินาทีที่ ๕๔ ถึง นาทีที่ ๘ วินาทีที่ ๕๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เมื่อจิตขาดสมาธิ(จิตตั้งมั่น)แล้วไปเดินปัญญา จะติดวิปัสสนูปกิเลส

mp 3 (for download) : การเจริญปัญญา จิตจะพลิกสลับระหว่างวิปัสสนากับสมถะ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ในความเป็นจริงในขณะที่เราดูธาตุดูขันธ์เกิดดับไปนะ จิตเป็นผู้รู้ผู้ดูนั้นน่ะ จิตจะพลิกตัวเข้ามาทำสมถะเป็นช่วงๆ จิตไม่เคยเดินวิปัสสนารวดเดียว แต่ว่าจะเดินวิปัสสนาไปหน่อยนึง แล้วก็รวมเข้ามาทำสมถะ แล้วมันก็ออกไปเดินวิปัสสนาอีก ก็รวมเข้ามาเป็นช่วงๆไป สลับกันไปเรื่อยๆ

ถ้าทำสมถะนะ ทำสมถะรวดเดียวได้ แต่จะเจริญปัญญารวดเดียวไม่มีหรอก จิตจะพลิกไปพลิกมาระหว่างสมถะกับวิปัสสนา ถ้าเราไม่ชำนาญพอนะตรงที่จิตเดินวิปัสสนาอยู่ เห็นสภาวะธรรมเกิดดับ จิตเป็นผู้รู้ผู้ดูอยู่นะ เกิดสมาธิตกสมาธิอ่อน จิตผู้รู้หายไป จิตเคลื่อน จิตส่งออกนอก ที่หลวงปู่ดูลย์เรียกจิตออกนอก จิตมันจะเคลื่อนไป

อย่างเราเห็นความโกรธเกิดขึ้น จิตมันเคลื่อนไปดูที่ความโกรธ มันไหลไปอยู่กับความโกรธนะ ความโกรธอาจจะหนีออกไปนอกร่างกายเราอีกนะ หนีออกไปข้างนอกเราตามไปดูอีก ความโกรธดับไปคราวนี้เสร็จเลย กลับบ้านไม่เป็น จิตไม่เข้าฐานแล้ว จิตไปอยู่ข้างนอก อย่างนี้ใช้ไม่ได้ จิตไม่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จิตไม่ถึงฐาน จิตไม่ตั้งมั่น

จิตไปอยู่ข้างนอกก็ว่างสว่างบริสุทธิ์ขึ้นมานะ นึกว่าบรรลุมรรคผลแล้ว ที่แท้ตัวนี้คือวิปัสสนูฯตัวนึง ชื่อว่าโอภาส พวกนักดูจิตเนี่ยไปติดโอภาสเยอะ เพราะจิตมันจะสว่างไสว แล้วก็จิตมันไม่ถึงฐาน มันเคลื่อนออกจากฐานไป

วิปัสสนูปกิเลสมี ๑๐ อย่าง แต่ทั้ง ๑๐ อย่างเกิดจากอาการอันเดียวกัน คือจิตไม่ถึงฐาน เพราะนั้นในขณะที่เราเดินวิปัสสนาอยู่นะ ถ้าจิตเราเคลื่อนไป ต้องรู้ทันนะ ถ้าเคลื่อนแล้วไม่รู้ทันเนี่ย มันจะไปปรุงแต่งวิปัสสนูปกิเลสขึ้นมาหลอกเรา จะนึกว่าบรรลุมรรคผลนิพพาน

เมื่อช่วงสองสามวันนี้ไปแก้พระองค์นึง พระองค์นึงก็เนี่ยจิตไม่ถึงฐานแล้ว พอจิตไม่เข้าฐานนะ ไปรู้ไปเห็นอะไรนะ มันว่างไปหมดมันดับไปหมดเลย แล้วก็บอกว่าชะรอยจะบรรลุแล้ว ไม่บรรลุหรอก จิตยังออกนอกอยู่

งั้นเราต้องสังเกตให้ดี ตรงที่ิจิตมันถึงฐานหรือไม่ถึงฐาน ถ้าจิตมันเคลื่อนแล้วไม่รู้ทันนะ ตัวนี้แล้วไปเดินปัญญานะ แล้วก็ไม่รู้ทันตัวนี้ จะโดนวิปัสสนูปกิเลสเอาไปกิน


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๔ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๓
Track: ๕
File: 541211A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๖ วินาทีที่ ๓๙ ถึง นาทีที่ ๑๘ วินาทีที่ ๕๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เมื่อจิตขาดสมาธิ(จิตตั้งมั่น)แล้วไปเดินปัญญา จะติดวิปัสสนูปกิเลส

mp 3 (for download) : การเจริญปัญญา จิตจะพลิกสลับระหว่างวิปัสสนากับสมถะ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์  : ในความเป็นจริงในขณะที่เราดูธาตุดูขันธ์เกิดดับไปนะ จิตเป็นผู้รู้ผู้ดูนั้นน่ะ จิตจะพลิกตัวเข้ามาทำสมถะเป็นช่วงๆ จิตไม่เคยเดินวิปัสสนารวดเดียว แต่ว่าจะเดินวิปัสสนาไปหน่อยนึง แล้วก็รวมเข้ามาทำสมถะ แล้วมันก็ออกไปเดินวิปัสสนาอีก ก็รวมเข้ามาเป็นช่วงๆไป สลับกันไปเรื่อยๆ

ถ้าทำสมถะนะ ทำสมถะรวดเดียวได้ แต่จะเจริญปัญญารวดเดียวไม่มีหรอก จิตจะพลิกไปพลิกมาระหว่างสมถะกับวิปัสสนา ถ้าเราไม่ชำนาญพอนะตรงที่จิตเดินวิปัสสนาอยู่ เห็นสภาวะธรรมเกิดดับ จิตเป็นผู้รู้ผู้ดูอยู่นะ เกิดสมาธิตกสมาธิอ่อน จิตผู้รู้หายไป จิตเคลื่อน จิตส่งออกนอก ที่หลวงปู่ดูลย์เรียกจิตออกนอก จิตมันจะเคลื่อนไป

อย่างเราเห็นความโกรธเกิดขึ้น จิตมันเคลื่อนไปดูที่ความโกรธ มันไหลไปอยู่กับความโกรธนะ ความโกรธอาจจะหนีออกไปนอกร่างกายเราอีกนะ หนีออกไปข้างนอกเราตามไปดูอีก ความโกรธดับไปคราวนี้เสร็จเลย กลับบ้านไม่เป็น จิตไม่เข้าฐานแล้ว จิตไปอยู่ข้างนอก อย่างนี้ใช้ไม่ได้ จิตไม่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จิตไม่ถึงฐาน จิตไม่ตั้งมั่น

จิตไปอยู่ข้างนอกก็ว่างสว่างบริสุทธิ์ขึ้นมานะ นึกว่าบรรลุมรรคผลแล้ว ที่แท้ตัวนี้คือวิปัสสนูฯตัวนึง ชื่อว่าโอภาส พวกนักดูจิตเนี่ยไปติดโอภาสเยอะ เพราะจิตมันจะสว่างไสว แล้วก็จิตมันไม่ถึงฐาน มันเคลื่อนออกจากฐานไป

วิปัสสนูปกิเลสมี ๑๐ อย่าง แต่ทั้ง ๑๐ อย่างเกิดจากอาการอันเดียวกัน คือจิตไม่ถึงฐาน เพราะนั้นในขณะที่เราเดินวิปัสสนาอยู่นะ ถ้าจิตเราเคลื่อนไป ต้องรู้ทันนะ ถ้าเคลื่อนแล้วไม่รู้ทันเนี่ย มันจะไปปรุงแต่งวิปัสสนูปกิเลสขึ้นมาหลอกเรา จะนึกว่าบรรลุมรรคผลนิพพาน

เมื่อช่วงสองสามวันนี้ไปแก้พระองค์นึง พระองค์นึงก็เนี่ยจิตไม่ถึงฐานแล้ว พอจิตไม่เข้าฐานนะ ไปรู้ไปเห็นอะไรนะ มันว่างไปหมดมันดับไปหมดเลย แล้วก็บอกว่าชะรอยจะบรรลุแล้ว ไม่บรรลุหรอก จิตยังออกนอกอยู่

งั้นเราต้องสังเกตให้ดี ตรงที่ิจิตมันถึงฐานหรือไม่ถึงฐาน ถ้าจิตมันเคลื่อนแล้วไม่รู้ทันนะ ตัวนี้แล้วไปเดินปัญญานะ แล้วก็ไม่รู้ทันตัวนี้ จะโดนวิปัสสนูปกิเลสเอาไปกิน


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๔ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๓
Track: ๕
File: 541211A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๖ วินาทีที่ ๓๙ ถึง นาทีที่ ๑๘ วินาทีที่ ๕๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ความทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่ต้องไปละ หมดเหตุก็ดับเอง

Mp3 for download:  ความทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่ต้องไปละ หมดเหตุก็ดับเอง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : คือ รู้ตรงนี้ว่าพอไปคิดเนี่ยนะ เกิดความทุกข์ เห็นความทุกข์ในใจเราเนี่ยนะ มากขึ้นบ้าง เบาลงบ้าง มากขึ้นบ้าง เบาลงบ้าง

ในขณะที่เรามาเฝ้ารู้ใจของเราที่เป็นทุกข์เนี่ย เราไม่ได้คิดละ ความทุกข์นั้นจะค่อยๆสลายตัวไป แต่สลายเพราะอะไร เพราะว่าเราไม่ได้คิด ทำไมเราไม่ได้คิดตอนนั้น เพราะเรามาเฝ้ารู้อยู่ แล้วเราจะเห็นเลย ความทุกข์เองไม่ใช่สิ่งที่ต้องไปละมันหรอก พอมันหมดเหตุมันก็ดับ ไม่ใช่มันดับเพราะเราไปละมันเข้า

ถ้าเราไม่ละเอียดลออ เราจะไปคิดว่าเราไปดับทุกข์ได้ พอเราดูปุ๊บ ความทุกข์ก็ดับไป พอเราโกรธขึ้นมา เราเห็นความโกรธ ความโกรธก็ดับไป มันเกิดความสำคัญผิด ความจริงเป็นเพราะว่าเราไม่ได้ไปทำเหตุของมัน มันหมดเหตุแล้วมันดับ

อย่างเราโกรธใครสักคนนะ เราคิดถึงเขาบ่อยๆ นะ ยิ่งโกรธใหญ่ ใช่มั้ย เรามารู้อยู่ที่ความโกรธของเรานี้ เห็นความโกรธตั้งอยู่ในจิตใจ จิตใจเร่าร้อนเป็นเพราะความโกรธ ไม่ได้ไปคิดเรื่องที่ทำให้โกรธ เดี๋ยวความโกรธมันก็หายไป เราก็จะได้ความเห็นที่ถูกต้องว่าความโกรธก็ไม่เที่ยงหรอก เกิดจากเหตุ คือ การไปคิดเรื่องที่ไม่ชอบใจ พอหมดเหตุมันก็ดับ

แต่ความโกรธเกิดขึ้นเนี่ย ถ้าความโกรธครอบงำใจเราได้ ใจเราจะเป็นทุกข์ ก็เห็นต่อไปอีกชั้นนึง อ้อ จิตใจที่เป็นตัวของตัวเอง เป็นอิสระนี้ ไม่ทุกข์หรอก เบิกบาน มีความสุข แต่พอถูกอารมณ์ ถูกกิเลสครอบงำ ก็จะเป็นทุกข์ นี่มันจะเห็นตรงนี้

งั้นเรามีสติอยู่ เราค่อยเห็นข้อเท็จจริง มันคือการเห็นข้อเท็จจริงทั้งนั้นเลย

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๗ เดือนกรกฏาคม พ.ศ.๒๕๔๕ ก่อนฉันเช้า
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑
File: 450707A
ระหว่างนาทีที่ ๓๗ วินาทีที่ ๐๑ ถึง นาทีที่ ๓๘  วินาทีที่ ๔๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ต้องลงมือปฏิบัติ อย่าให้เสียโอกาส

mp 3 (for download) : ต้องลงมือปฏิบัติ อย่าให้เสียโอกาส

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์  : เนื้อแท้ของวิปัสสนาก็คือมีสติ รู้รูปนามตามความเป็นจริง เท่านี้แหล่ะ

แต่เราจะรู้ตามความเป็นจริงได้ ต้องรู้ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง ถ้ารู้ด้วยจิตที่อินเข้าไปในอารมณ์ จะไม่เห็นความจริง จิตต้องตั้งมั่น แยกตัวออกมาเป็นคนดู ดูอย่างเป็นกลาง ดูห่างๆ ดูแล้วไม่หลงยินดีไม่หลงยินร้ายด้วย ฝึกตัวนี้ให้ได้บ่อยๆนะ

เพราะงั้นทุกวันเบื้องต้นฝึกให้จิตตั้งมั่น พอจิตตั้งมั่นแล้วดูธาตุดูขันธ์ทำงาน นี่คือการเจริญปัญญา ไปฝึกเอานะ อย่าฟังเปล่าๆ เสียแรงหลวงพ่อเทศน์ให้ฟัง เสียโอกาสที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ เสียโอกาสที่ได้พบพระพุทธศาสนา ปฏิบัติ ต้องปฏิบัตินะ เรียนแต่ปริยัติ ฟังหลวงพ่อเทศน์นี่คือปริยัติ ฟังครูบาอาจารย์เทศน์หรือฟังพระพุทธเจ้าเทศน์คือปริยัติ ต้องลงมือปฏิบัติเอาเองนะ แล้วพ้นทุกข์ด้วยตัวเอง แล้วจะรู้คุณค่าของพระพุทธศาสนา รักพระพุทธเจ้า


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๔
Track: ๓
File: 550212A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๕ วินาทีที่ ๓๐ ถึง นาทีที่ ๒๖ วินาทีที่ ๓๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อย่าทิ้งเวลาให้เสียเปล่า เอามาภาวนา

mp 3 (for download) : อย่าทิ้งเวลาให้เสียเปล่า เอามาภาวนา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์  : วันนึงๆนะ คนเราเอาเวลาไปคิดฟุ้งซ่านเนี่ยเยอะมาก มหาศาลเลย รวมแล้วมากกว่าชั่วโมงที่เราภาวนา งั้นถ้าเราเก็บเวลาพวกนี้มาภาวนาได้นะ เราเพิ่มชั่วโมงการภาวนาขึ้นได้อีกเยอะเลย อย่างคนที่บอกว่าทำงานทั้งวัน ไม่มีเวลาภาวนา ก็ลองไปดูให้ดีนะ ถ้าแยกชีวิตออกเป็นส่วนย่อยๆออกไป มันจะมีเวลาที่ทิ้งเปล่าๆเนี่ยเยอะมากเลย เช่นเรากำลังรอแขกอยู่จะมาเจรจากับเรา ทุกอย่างเราเตรียมพร้อมแล้ว ว่างๆแล้ว ว่างก็นั่งใจลอย นั่งทำโน้นทำนี้ไป หรือเราไปที่ทำงาน บอกงานยุ่งทั้งวัน ตอนขึ้นลิฟท์ไปที่ทำงาน ยังไม่ได้ทำงาน ตอนเดินไปที่โต๊ะทำงานก็ยังไม่ได้ทำงาน ตอนนั่งเปิดกุญแจก็ยังไม่ได้ทำงาน เปิดคอมพิวเตอร์ก็ยังไม่ได้ทำงาน เนี่ยเวลาเหล่านี้นะ แต่ละวันๆเนี่ย ถ้าไปรวบรวมมานะ จะพบว่าเยอะเลย หลายชั่วโมง ก็คนเราเนี่ยสมองคนเราเนี่ย ทำงานปราดเปรียวที่สุดนะ ๔๐ นาที ๔๕ นาทีเท่านั้น เวลาที่เหลือเนี่ยเฉื่อยๆแล้ว ถูลู่ถูกังทำไปงั้นเอง

เพราะงั้นถ้าเราทำงานไปซัก ๕๐ นาทีนะ เราเบรกตัวเองนิดนึง เบรกตัวเองซัก ๕ นาที ทำความรู้สึกตัวขึ้นมา เราทำงานได้ดีกว่าเก่าอีก ยกเว้นแต่เขียนซอฟท์แวร์นะ ใจวอกแวก ออกไปภาวนาก่อนแล้วเขียนต่อไม่ถูกบางที ถ้าเราไม่ทิ้งเวลาเล็กๆน้อยๆเนี่ย เราจะไม่บ่นว่าไม่มีเวลาปฏิบัติ

อย่างหลวงพ่อได้เวลาเยอะเลยนะ สมัยเป็นฆราวาส  ตื่นนอนมาเนี่ย ตอนลุกขึ้นมาเก็บที่นอน ก็ได้ปฏิบัติแล้ว เราไปอาบน้ำไปเข้าห้องน้ำ ก็ได้ปฏิบัติ แต่งตัวก็ได้ปฏิบัติ เดินทางจากบ้านไปที่ทำงาน ก็ได้ปฏิบัติอีก ไปอยู่ทำเนียบ แต่ก่อนทำงานในทำเนียบรัฐบาล ทำเนียบรัฐบาลแต่ก่อนสงบนะ สวย เช้าๆเนี่ยสงบ หลังๆนี้มีคนไปล้อมทำเนียบอยู่เรื่อยๆ พอเดินอยู่ในทำเนียบ เดินไปก็ดูต้นไม้ดูนกดูอะไร เราภาวนาไปด้วย ถึงเวลาทำงานก็ทำงานไป ทำงานไปช่วงนึงนะ จะเดินไปห้องน้ำ ก็มีสติอีกแล้ว ไม่เคยบ่นเลย ว่าไม่มีเวลาปฏิบัติ เวลาไปหาครูบาอาจารย์เนี่ย เอาผลงานไปส่ง ผลงานชั้นดีด้วย ขนาดพวกพระอุปัฏฐากบางทีถาม มาถามหลวงพ่อทีหลัง โยมทำได้ไง พระทำตั้งสิบปียี่สิบปี ไม่ได้อย่างนี้ บอกผมทำทั้งวันนะ ทำตั้งแต่ตื่นเลย จนถึงนอนหลับ ยกเว้นเวลาหลับกับเวลาที่ทำงานต้องคิด มันภาวนาไม่ได้ ก็มีบ้างเราพักผ่อน ทำงานหนักๆแล้วก็ภาวนาต่อเนื่องไปเรื่อย ใจก็ต้องการพักเหมือนกันบางที ทำสมาธิหายใจเข้า หายใจออกไป บางวันมันไม่่ไหวจริงๆ แม้กระทั่งจะทำสมถะยังไม่ไหวเลย งานมันเครียดมาก งานมันหนักมาก หลวงพ่ออ่านหนังสือด้วยซ้ำไป หาหนังสือการ์ตูนมานั่งอ่าน หรือบางทีก็อ่านพระไตรปิฎกอ่านอะไร เลือกเรื่องที่ไม่เครียด ที่ไม่ซับซ้อนมาก ให้จิตใจได้พักผ่อน เดี๋ยวเดียวก็มีแรงขึ้นมา ก็พอภาวนาต่อ

งั้นถ้าเราบอกว่าเราไม่มีเวลาภาวนานะ ให้เราสำรวจตัวเองว่าเราเอาเวลาไปทิ้งที่ไหน จริงหรือที่ทำงานวันละสิบชั่วโมง ทำตลอดเวลารึ ? สิบชั่วโมงแล้วอู้ไปตั้งเยอะน่ะ หรือทำสิบสองชั่วโมงสิบสี่ชั่วโมงบางคน คนมันทำแต่มีแต่เวลา งานไม่ค่อยมี เคยเจอมั้ย ทำล่วงเวลานะ ทำในเวลาไม่ทันต้องทำล่วงเวลา เพราะตอนอยู่ในเวลาไม่ได้ทำ ดูอ่านหนังสือพิมพ์อะไรนี้ มี แล้วไปทำล่วงเวลา ทิ้งเวลาเปล่าๆ ตายเปล่าๆ น่าเสียดาย อย่างพวกเรา สมมติเรารู้ว่าปีหน้าเราจะตายแล้ว เราต้องใช้เงินเดือนละแสนนะเพื่อจะยืดชีวิต เอามั้ย บางคนเอานะ เดือนละล้านเพื่อจะยืดชีวิต ไปซักเดือนนึงก็เอา เห็นชีวิตมีค่ามาก เรารักตัวเองนะ รักชีวิต แต่ไม่ทำตัวเองให้มีค่าเลย ต่อไปนี้เราไม่ละเลย เวลาเล็กเวลาน้อยนะ เก็บมาภาวนาให้มากๆ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๔
Track: ๖
File: 550218.mp3
ระหว่างวินาทีที่ ๔๑ ถึง นาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๑๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เคล็ดลับในการภาวนา

mp3 (for download) : เคล็ดลับในการภาวนา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.


หลวงพ่อปราโมทย์ : เราจะต้องหัดแยกธาตุแยกขันธ์ให้ได้ก่อน พอใจเราเป็นผู้รู้ผู้ดูนะ งานต่อมาที่จะเดินปัญญาเนี่ยต้องแยกขันธ์ให้ได้ แยกธาตุให้ได้ ถ้าแยกธาตุแยกขันธ์ไม่ได้เดินปัญญาไม่ได้

ครูบาอาจารย์สอนเลยว่า ถ้าพิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์ไม่ได้นะ อย่ามาอวดเรื่องเจริญปัญญา ไม่มีหรอก อย่างนั่งสมาธิไปแล้วก็สงบไปอะไรงี้ ขันธ์ไม่แยก ขันธ์ไม่แยกเดินปัญญาไม่ได้ นี่ขันธ์จะแยกได้ใจต้องเป็นคนดู ถ้าใจเราเป็นคนดูได้นะ มันแยกธาตุแยกขันธ์ไม่ยาก อย่างพวกเรานั่ง ขณะนี้รู้สึกมั้ย เรานั่งอยู่ เห็นมั้ยร่างกายมันนั่ง รู้สึกมั้ยร่างกายกำลังนั่งอยู่ รู้สึกมั้ยมีคนนึงเป็นคนดูเห็นร่างกายนั่งอยู่รู้สึกมั้ย หัดแยกไปงี้ หัดแยกงี้นะ

นั่งสมาธินั่งหายใจ เห็นร่างกายหายใจออก ใจเราเป็นคนดู เห็นร่างกายหายใจเข้า ใจของเราเป็นคนดู เห็นร่างกายนี้หายใจเหมือนเห็นคนอื่น เหมือนเห็นคนอื่นหายใจอยู่ ต้องหัดนะตัวนี้ ถ้าไม่หัดนะ เดินปัญญาไม่ได้ แต่ถ้าหัดก็ไม่นานนะ ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปีอะไรนี้ ต้องได้ ได้อะไรบ้างแหล่ะ

พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า ถ้ายังมีผู้เจริญสติปัฏฐานอยู่ โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์​ เจริญสติปัฏฐานไม่ใช่นั่งคิดเรื่องกายเรื่องใจ เจริญสติปัฏฐานเนี่ยทำวิปัสสนา เห็นความจริงของกาย เห็นความจริงของใจ จิตเป็นคนดู เคล็ดลับของการภาวนาเนี่ย ที่ว่าเราจะได้มรรคได้ผลในชีวิตนี้หรือไม่นะ อยู่ที่จิตเรามีคุณภาพในการเป็นผู้รู้ผู้ดูจริงหรือเปล่า เป็นผู้เห็นจริงหรือเปล่า หรือเป็นผู้คิด ถ้าจิตเป็นผู้คิดทำวิปัสสนาไม่ได้ ถ้าจิตเป็นผู้ดูจิตเป็นผู้เห็นถึงจะทำวิปัสสนาได้ เพราะงั้นเราต้องมาฝึกจิตให้ตื่นขึ้นมานะ เป็นผู้รู้ให้ได้ เป็นผู้เห็นให้ได้

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ โรงพยาบาลราชบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๔

CD: ธรรมเทศนานอกสถานที่ โรงพยาบาลราชบุรี
File:
541207
ระหว่างนาทีที่ ๑๘ วินาทีที่ ๓๔ ถึงนาทีที่ ๒๐ วินาทีที่ ๒๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางวิปัสสนา (๒๑) การรู้สึกตัวในชีวิตประจำวัน กับการทำรูปแบบ

mp3 for download : ทางวิปัสสนา (๒๑) เมื่อเป็นฆราวาสที่รู้สึกตัวในชีวิตประจำวันเป็นแล้ว สิ่งที่ควรทำเพิ่มเติม

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทางวิปัสสนา

ทางวิปัสสนา

โยม : กราบนมัสการหลวงพ่อครับ ก็ไม่ได้ส่งการบ้านมาหลายปีแล้วครับ วันนี้ก็มีมาส่งบ้างครับ ที่ปฏิบัติมาตลอดระยะเวลา ๔ ปี ตั้งแต่ได้ฟังซีดีหลวงพ่อ ก็คือ ความโลภโกรธหลง ลดลงไปเยอะครับ จากที่เคยฉุนเฉียวง่าย ขี้โมโห โลภเยอะ ก็ลดลงไปเยอะครับ ทุกวันนี้ สภาวะที่เกิดขึ้น ก็เห็นว่า จิตมันถลำเข้าไปบ่อยๆ แล้วก็เป็นช่วงที่สั้นลง แล้วก็เห็นว่า ที่ถลำไปนั้นไม่ใช่เรา

หลวงพ่อปราโมทย์ : ก็ฝึกให้มากนะ เห็นแล้ว ต้องเพิ่มอันหนึ่งนะ เพิ่มความตั้งมั่นของจิต วันๆเราคลุกอยู่กับโลกเยอะนะ สมาธิจะไม่พอ ใจจะฟุ้งเก่ง เพราะฉะนั้นเราต้องทำในรูปแบบ ถึงเวลา แบ่งเวลาไว้เลย วันหนึ่ง ๑๕ นาที หรือ ๑๐ นาที ก็ยังดี ถ้าทำตอนเย็นแล้วก็ง่วงหลับไปนะ ก็มาทำตอนเช้า ตื่นให้เร็วขึ้นหน่อย มาไหว้พระสวดมนต์ มาหัดพุทโธ มาหัดหายใจ แล้วคอยรู้ทันจิต ทีนี้ถ้าเราฝึกอย่างนี้ทุกวันๆนะ เวลาจิตมันขยับเขยื้อนนิดเดียว เราจะรู้ทันละ มันไม่ไหลไปจมนานๆ หลังจากนั้นเราก็เจริญสติในชีวิตประจำวันนี้แหละ

การเจริญปัญญาไม่ต้องไปเจริญที่วัดนะ เจริญสติเจริญปัญญาเนี่ย เจริญที่ตาที่หูที่จมูกที่ลิ้นที่กายที่ใจของเรานี้ ไม่ใช่ไปทำที่วัดหรอก ตามองเห็นรูป ใจเรายินดียินร้าย ใจเราสุขใจเราทุกข์ ใจเราเป็นกุศล-อกุศล รู้ทัน หูได้ยินเสียงนะ จิตเป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นกุศล-อกุศล ยินดียินร้าย รู้ทัน ใจไปคิด เกิดสุขเกิดทุกข์เกิดกุศล-อกุศลยินดียินร้าย รู้ทัน ใช้หลักอันนี้เอง สุดท้ายก็เห็นเลย ทุกอย่างมาแล้วก็ไป เช่น ความสุขมาแล้วก็ไป ความทุกข์มาแล้วก็ไป กุศล-อกุศลมาแล้วก็ไป แต่ต้องซ้อมทุกวันนะ จิตจะได้มีพลัง

โยม : ครับ ขอบคุณครับ

550409.40m44-42m50

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ ห้องสุวรรณภูมิบอลรูม ชั้น ๒ อาคารบี
บจก. เตียวฮงสีลม บางพลี
วันจันทร์ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕
ระหว่างเวลา ๑๓:๐๐ – ๑๕:๐๐ น.

File: 550409.mp3 (ไทย)
File: 550409.mp3 (สหรัฐอเมริกาและยุโรป)
เสียงพระธรรมเทศนา ระหว่างนาที่ ๔๐ วินาทีที่ ๔๔ ถึง นาทีที่ ๔๒ วินาทีที่ ๕๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางวิปัสสนา (๒๐) ฝึกให้จิตตั้งมั่น(รู้สึกตัว) แล้วแยกธาตุแยกขันธ์ เป็นต้นทางของวิปัสสนา

mp3 for download : ทางวิปัสสนา (๒๐) ฝึกให้จิตตั้งมั่น(รู้สึกตัว) แล้วแยกธาตุแยกขันธ์ เป็นต้นทางของวิปัสสนา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทางวิปัสสนา

ทางวิปัสสนา

หลวงพ่อปราโมทย์ : เพราะฉะนั้น เมื่อได้ฟังธรรมแล้ว ปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม เบื้องต้นรักษาศีล ๕ ถัดจากรักษาศีล ๕ แล้ว ฝึกจิตใจให้อยู่กับเนื้อกับตัว นี่คือการฝึกสมาธิที่ถูกต้อง สมาธิไม่ได้ฝึกให้เคลิ้มๆ ฝึกให้รู้สึกตัว จิตหนีไปคิดรู้ทัน จิตหนีไปคิดรู้ทัน นี่ล่ะจะรู้สึกตัว ถ้าจิตหนีไปคิดจิตจะไม่รู้สึกตัว

พอจิตรู้สึกตัวได้แล้ว ก็มาหัดแยกธาตุแยกขันธ์ ใครเคยได้ยินชื่อหลวงตามหาบัวบ้าง มีมั้ย หลวงตามหาบัวสอนไว้ดีมากเลยนะ บอกว่า ถ้าแยกธาตุแยกขันธ์ไม่เป็นนะ อย่ามาคุยอวดนะเรื่องเจริญปัญญา ไม่มีทางเจริญปัญญาเลย ต้องแยกธาตุแยกขันธ์เป็น เพราะฉะนั้นบางคนบอกว่า พุทโธ พุทโธ ไป แล้ววันหนึ่งจะบรรลุ ไม่บรรลุหรอก คนละเรื่องกันเลย

พุทโธ พุทโธ ไป จิตหนีไปคิดรู้ทัน ได้จิตที่ตั้งมั่น จิตตั้งมั่นแล้วต้องมาแยกธาตุแยกขันธ์ ร่างกายอยู่ส่วนร่างกายจิตเป็นคนดูอยู่ต่างหาก อย่างนี้ ความสุขความทุกข์เป็นอีกสิ่งหนึ่ง ความสุขความทุกข์เกิดที่ร่างกายก็ได้นะ เกิดที่จิตใจก็ได้ กุศล-อกุศล อันนี้เกิดได้ที่จิตอย่างเดียว ส่วนจิตเป็นตัวรู้อารมณ์ เดี๋ยวก็ไปดู เดี๋ยวก็ไปฟัง เดี๋ยวก็ไปคิด หมุนเวียนไปทั้งวัน

ยกตัวอย่าง นั่งฟังหลวงพ่อพูดอย่างนี้ เดี๋ยวก็ดูหน้าหลวงพ่อ เดี๋ยวก็ตั้งใจฟัง เดี๋ยวก็คิด เนี่ยดูของจริงอย่างนี้ ดูขันธ์นะ ทำงานไปเรื่อย จนปัญญามันพอ เห็นเลยขันธ์นี้ไม่ใช่เรา เป็นพระโสดาบัน เห็นเลยขันธ์นี้ไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา หาสาระแก่นสารไม่ได้ หมดความยึดถือในขันธ์ เป็นพระอรหันต์

550409.38m49-40m23

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ ห้องสุวรรณภูมิบอลรูม ชั้น ๒ อาคารบี
บจก. เตียวฮงสีลม บางพลี
วันจันทร์ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕
ระหว่างเวลา ๑๓:๐๐ – ๑๕:๐๐ น.

File: 550409.mp3 (ไทย)
File: 550409.mp3 (สหรัฐอเมริกาและยุโรป)
เสียงพระธรรมเทศนา ระหว่างนาที่ ๓๘ วินาทีที่ ๔๙ ถึง นาทีที่ ๔๐ วินาทีที่ ๒๓

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางวิปัสสนา (๘) สมาธิสงบทำเพื่อพักผ่อน สมาธิจิตตั้งมั่นทำเพื่อเจริญปัญญา

mp3 for download : ทางวิปัสสนา (๘) สมาธิสงบทำเพื่อพักผ่อน สมาธิจิตตั้งมั่นทำเพื่อเจริญปัญญา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทางวิปัสสนา

ทางวิปัสสนา

หลวงพ่อปราโมทย์ : จิตนั้นล่ะ เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติธรรมดานะ เดี๋ยวมันก็วิ่งไปดู เดี๋ยวมันก็วิ่งไปฟัง เดี๋ยวมันก็วิ่งไปคิด เราไม่ห้ามมัน แต่ว่าเมื่อจิตวิ่งไปดูวิ่งไปฟังวิ่งไปคิด โดยเฉพาะการวิ่งไปคิดเกิดบ่อยที่สุด นั่งอยู่นี่รู้สึกมั้ยขณะที่ฟังหลวงพ่อพูดเนี่ย บางทีก็มองหน้าหลวงพ่อนิดนึงใช่มั้ย มองแล้วก็ตั้งใจฟัง ฟังได้นิดเดียวนะ แล้วก็สลับไปคิด สังเกตมั้ยทุกคนในห้องนี้ ฟังแล้วก็คิด ฟังแล้วก็คิด สลับกันอยู่ตลอดเวลา เราไม่เคยเห็นนะสิ่งเหล่านี้ถ้าเราไม่ได้ปฏิบัติธรรม อย่างบางคนคิดมากไปเลย สงสัยเลยว่า หลวงพ่อพูดเรื่องอะไร งงไปเลย

สังเกตตัวเองดู ฟังแล้วก็คิด ฟังแล้วก็คิดนะ จิตหนีตลอด จิตไหลตลอด จิตไหลไปดูไหลไปฟังไหลไปคิด โดยเฉพาะจิตไหลไปคิดเกิดบ่อยที่สุด เกิดมากที่สุด เกิดนานที่สุด วันๆหนึ่งเผลอไปคิดนานมั้ย นั้นแหละนานมากนะ บางคนเผลอตั้งแต่ตื่นจนหลับเลย เผลอทั้งวันเลย เผลอวันละครั้งเดียวเผลอตั้งแต่ตืนจนหลับ เรามาหัดปฏิบัตินะ จนกระทั่งเผลอได้วันละร้อยครั้ง พันครั้ง หมื่นครั้ง เผลอไปแว้บรู้สึก แว้บรู้สึก แว้บรู้สึก เผลอเนี่ยสั้นลงแต่เผลอบ่อยๆเผลอสั้นๆ เนี่ยคนปฏิบัตินะ ต้องคอยสังเกตจิต

พุทโธไป พุทโธ พุทโธ จิตหนีไปคิดแว้บรู้ทันว่าจิตหนีไปคิด หายใจไปจิตหนีไปคิดแว้บรู้ทันว่าจิตหนีไปคิด ดูท้องพองยุบไปจิตหนีไปคิดรู้ว่าจิตหนีไปคิด การที่เรารู้ทันว่าจิตมันไหลมันเคลื่อนไปนั้นน่ะ จิตจะตั้งมั่นขึ้นมา จิตตั้งมั่นก็คือจิตทรงสมาธินั่นเอง จิตที่ไม่มีสมาธิก็คือจิตที่ฟุ้งซ่าน นั่นก็คือจิตที่วิ่งออกไปนั่นเอง หลวงปู่ดูลย์เรียกว่าจิตออกนอก

เพราะฉะนั้นเรามาฝึกนะ ขั้นต้น พวกเราทำกรรมฐานอะไรให้ได้สักอย่างหนึ่ง แต่ไมได้ทำเพื่อการบังคับให้จิตนิ่ง เราทำเพื่อจะคอยรู้ทันจิต หายใจไปจิตหนีไปคิด รู้ทัน หายใจไปจิตไหลไปเพ่งที่ลมหายใจ รู้ทัน หายใจไปจิตไหลไปอยู่ที่ท้อง รู้ทัน เดินจงกรมจิตไหลไปอยู่ที่เท้า รู้ทัน คอยรู้ทันจิตของตัวเองเนืองๆ นี่ล่ะบทเรียนที่เรียกว่า จิตตสิกขา เรียนเรื่องจิต ถ้าเราเรียนเรื่องจิตได้ถ่องแท้ เราจะได้สมาธิชนิดที่พร้อมสำหรับการเจริญปัญญา สมาธิสงบนั้นเอาไว้พักผ่อนให้มีเรี่ยวมีแรง สมาธิตั้งมั่่นเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่หลงไป ไม่ไหลไป เอาไว้เจริญปัญญา คนละงานกันนะ คนละชนิดของสมาธิ

550409.17m25-20m04

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ ห้องสุวรรณภูมิบอลรูม ชั้น ๒ อาคารบี
บจก. เตียวฮงสีลม บางพลี
วันจันทร์ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕
ระหว่างเวลา ๑๓:๐๐ – ๑๕:๐๐ น.

File: 550409.mp3 (ไทย)
File: 550409.mp3 (สหรัฐอเมริกาและยุโรป)
เสียงพระธรรมเทศนา ระหว่างนาที่ ๑๗ วินาทีที่ ๒๔ ถึง นาทีที่ ๒๐ วินาทีที่ ๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางวิปัสสนา (๗) สมาธิมีสองชนิด ฝึกเพื่อวัตถุประสงค์คนละอย่างกัน

mp3 for download : ทางวิปัสสนา (๗) สมาธิมีสองชนิด ฝึกเพื่อวัตถุประสงค์คนละอย่างกัน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทางวิปัสสนา

ทางวิปัสสนา (๖) จุดเริ่มต้นของการฝึกเจริญปัญญา

หลวงพ่อปราโมทย์ : ตรงนี้แหละที่เป็นข้อแตกต่างอย่างยิ่งนะ ระหว่างการทำสมาธิแบบเอาความสงบเป็นที่ตั้ง กับทำสมาธิชนิดที่จะทำให้จิตถอยยออกมาเป็นผู้รู้ผู้ดูเพื่อจะเดินปัญญา สมาธิมันมี ๒ ชนิด

สมาธิชนิดแรก สงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว จิตของเราปกติฟุ้งซ่าน หนีไปโน้นหนีไปนี้อยู่ตลอดเวลา เรามาอยู่กับพุทโธไม่ให้จิตหนี มาอยู่กับพุทโธไม่ให้จิตหนีไปไหนเลย จิตสงบอยู่กับพุทโธ ได้สมถกรรมฐาน ได้ความสงบ เรารู้ลมหายใจไม่ให้จิตหนีไปไหนเลย อยู่กับลมหายใจอย่างเดียว เราได้ความสงบได้สมถกรรมฐาน

แต่จะฝึกให้จิตตั้งมั่น ไม่ลืมตัวเอง ต้องฝึกอีกแบบหนึ่ง ทำสมาธิอีกชนิดหนึ่ง สมาธิมี ๒ ชนิด สมาธิที่จิตสงบ อยู่ในอารมณ์อันเดียว มีชื่อทางวิชาการ ชื่อว่าอารัมณูปนิชฌาน อารัมณะคืออารมณ์นั่นเอง จิตนี้แน่วแน่อยู่ในอารมณ์อันเดียว เช่นอยู่กับพุทโธอย่างเดียวไม่หนีไปไหน ไม่นึกไม่คิดอะไร อยู่กับพุทโธ หายใจก็สงบอยู่กับลมหายใจอย่างเดียว ไม่คิดไม่นึกไม่หนีไปไหน อย่างนี้ได้ความสงบเฉยๆ

มีสมาธิอีกชนิดหนึ่ง ชื่อลักขณูปนิชฌาน สมาธิชนิดนี้จิตตั้งมั่นขึ้นมาเป็นคนดู จิตไม่หลงไปในโลกของความคิด ไม่หลงเผลอไป ไม่ไหลไป แต่ตั้งมั่นขึ้นมา วิธีฝึกก็ใช้พุทโธ ใช้ลมหายใจ เหมือนที่ใช้ฝึกทำความสงบนั่นแหละ แต่ปรับวิธีนิดหนึ่ง ถ้าจะทำความสงบเราก็พุทโธให้จิตอยู่กับพุทโธ หายใจให้จิตอยู่กับลมหายใจ ดูท้องพองยุบให้จิตไปอยู่ที่ท้อง เนี่ยจิตได้ความสงบ แต่ถ้าจะฝึกจิตให้ตั้งมั่นนะ หัดพุทโธไปแล้วจิตหนีไปคิด รู้ทัน หายใจไปจิตหนีไปคิด รู้ทัน ไม่ได้บังคับจิตว่าห้ามไปไหน ไม่ได้บังคับจิตว่าต้องอยู่ที่เดียวนิ่งๆ

550409.15m29-17m24

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ ห้องสุวรรณภูมิบอลรูม ชั้น ๒ อาคารบี
บจก. เตียวฮงสีลม บางพลี
วันจันทร์ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕
ระหว่างเวลา ๑๓:๐๐ – ๑๕:๐๐ น.

File: 550409.mp3 (ไทย)
File: 550409.mp3 (สหรัฐอเมริกาและยุโรป)
เสียงพระธรรมเทศนา ระหว่างนาที่ ๑๕ วินาทีที่ ๒๙ ถึง นาทีที่ ๑๗ วินาทีที่ ๒๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 2 of 1212345...10...Last »