Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

ศีล สมาธิ ปัญญา ในองค์มรรค

mp 3 (for download) : ศีล สมาธิ ปัญญา ในองค์มรรค

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : เรียนหลักของการปฏิบัติให้แม่นๆนะ เราต้องทำด้วยตัวเอง ชาวพุทธเราไม่มีของฟรีหรอก ไม่มี ทุกอย่างอยู่ในเรื่องของกฎของกรรม ใครทำคนนั้นก็ได้ ไม่ทำก็ไม่ได้ ทำแบบไหนก็ได้แบบนั้น ทำชั่วก็ได้รับผลของความชั่ว ทำดีก็ได้รับผลของความดี รักษาศีลก็ได้รับผลของศีล ทำทานก็ได้รับผลของทาน ทำสมถะได้ความสุขได้ความสงบ ได้ความดี ทำวิปัสสนาได้ปัญญาเห็นความจริง เพราะฉะนั้นต้องทำให้ตรง

เวลาที่มรรคผลจะเกิดนะ ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องพร้อม เพราะฉะนั้นเราต้องทำให้พร้อมนะ ท่านบอกกุศลทำให้ถึงพร้อม ไม่ใช่เจริญปัญญาอย่างเดียวแล้วจะบรรลุได้นะ ศีลก็ต้องรักษา สมาธิก็ต้องทำ เพราะฉะนั้นถ้าศีล สมาธิ ปัญญา ไม่พร้อม ไม่มีอริยมรรคเกิดขึ้น ถ้าจะทำก็ต้องทำเหตุ กับผล ให้ตรงกัน อยากได้ผลอย่างนี้ ต้องทำเหตุอย่างนี้

อยากจะได้ศีล ให้ใจเรามีศีลจริงๆ ต้องมีเจตนางดเว้นการทำบาปอกุศลทางกายทางวาจา ถ้าไม่มีเจตนางดเว้นก็ไม่ได้เรียกว่ามีศีล

ยกตัวอย่างเด็กเล็กๆ เกิดใหม่ๆนะ เป็นชู้กับใครไม่ได้ บอกไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ใช่หรอกนะ มันไม่ประพฤติเพราะไม่มีความสามารถจะประพฤติ หรือแก่งั่กเลยนะ เดินยังไม่ไหวเลย กระย่องกระแย่งนะ มีชู้ไม่ไหว อะไรอย่างนี้ ก็ไม่ได้จัดว่าเป็นศีล

มีศีลหมายถึงว่ามีเจตนาที่จะงดเว้นจริงๆ ถึงมีโอกาสทำก็ไม่ทำ ผลของศีลก็มีอยู่ ท่านก็สอนนะ สีเลนะ สุคติง ยันติ (สีเลน สุคตึ ยนฺติ) ศีลนั้นมีความสุขอยู่เบื้องหน้านะ สีเลนะ โภคะสัมปทา (สีเลน โภค สมฺปทา) มีโภคะ ถือศีลแล้วรวยได้ คนไม่มีศีลไม่รวยง่ายนะ ยกตัวอย่างกินเหล้า ติดยาเสพติด คบคนไม่ดี อะไรพวกนี้นะ หาเจริญยาก ฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย ลำบาก สีเลนะ นิพพุติง ยันติ (สีเลน นิพฺพุตึ ยนฺติ) ศีลนี้เป็นปัจจัยไปสู่นิพพาน เนี่ย อานิสงส์ของศีลก็มี

เราต้องรักษาศีล ถึงทำผิดได้ก็ไม่ทำนะ ถูกยั่วยวนอย่างไรก็ไม่ทำผิด อย่างนี้เรียกว่ามีศีล ถ้าเรามีศีลเราจะงดงามนะ มีความงามในตัวเอง มีความน่าเชื่อถือ มีเครดิต คนไม่มีศีลไม่มีเครดิต พอไม่มีเครดิต พอไม่ได้รับความเชื่อถือนะ โอกาสจะประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงอะไรนี้ ยาก

เพราะฉะนั้นเราต้องมีเจตนางดเว้น การทำผิดทำบาป ทางกายทางวาจานะ ต้องเจตนางดเว้น ตั้งใจไว้เลย ตื่นนอนขึ้นมาตอนเช้านะ ตั้งใจไว้ วันนี้จะไม่ทำผิดศีล กลางวันก่อนจะกินข้าวนะ ตั้งใจไว้ วันนี้จะไม่ทำผิดศีลอีก ถ้าตั้งใจอย่างนี้เข้าไปในร้านอาหารบางแห่งไม่ได้ละ จะต้องไปเลือกเอาตัวนี้ๆ อะไรอย่างนี้นะ อย่างนี้ทำไม่ได้ละ ก่อนจะนอนนะ ตั้งใจไว้อีก จะไม่ทำผิดศีล จำเป็นยังไงก่อนจะนอนก็ต้องตั้งใจ เผื่อไม่ได้ตื่น เผื่อนอนหลับไปแล้วไม่ตื่นอีกเลย ไฟครอกตาย หรือเป็นโรคหัวใจวายตาย อย่างน้อยตอนก่อนจะตายได้รักษาศีลไว้แล้ว มีศีลเป็นเครื่องคุ้มครองเรา

ลองตั้งใจรักษาศีลวันละ ๓ ครั้งนะ ก่อนอาหาร แถมอีกครั้งหนึ่ง ก่อนนอน ถ้าตั้งใจอย่างนี้นะ ใจเราจะเคล้าเคลียในธรรมะง่ายขึ้น มันจะมีกำลังนะ ทำให้เราไปสู่มรรคผลนิพพานได้ง่าย

ถ้าทุศีลสักอย่างหนึ่ง อย่ามาอวดเรื่องสมาธิเลย ถ้าไม่มีศีลนะ สมาธิที่เคยมีก็จะเสื่อม จะเสื่อมเห็นๆเลยมีตัวอย่างให้เห็น แต่จะเห็นหรือไม่เห็นนั้น ก็สุดแต่ แต่ละคนจะเห็น

ยกตัวอย่างพระเทวฑัต มีสมาธินะ เหาะได้ แปลงตัวได้ ปลอมตัวเป็นเด็กได้ ทำเป็นเบบี๋มาหลอกอชาติศัตรู แต่ว่าไม่ถือศีลนะ ในที่สุดสมาธิเสื่อม เคยเหาะได้นะ ในที่สุดต้องให้คนหามมาเฝ้าพระพุทธเจ้า

พวกพระก็รีบมาส่งข่าวให้พระพุทธเจ้ารู้ว่า พระเทวฑัตกำลังเดินทางมาแล้ว กำลังจะมาเฝ้า เพื่อว่าจะมาขอขมาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านบอกว่ามาไม่ถึงหรอก เทวฑัตนี้มาไม่ถึง บาปมาก มาไม่ถึง พวกพระก็คอยไปสืบนะ โอ้.. ตอนนี้มาถึงประตูเมืองแล้วพระเจ้าข้า… มาไม่ถึงหรอก… ตอนนี้มาถึงประตูวัดแล้วพระเจ้าข้า… ไม่ถึงหรอก…

พอมาถึงประตูวัด ใกล้ๆวัดแล้วเนี่ย แกก็พักนะ กินน้ำกินท่า คล้ายๆล้างหน้าล้างตา เดินทางมาไกล ถูกดินดูดลงไปตรงนั้น ไม่ถึงจริงๆ

เนี่ยทำไมไม่เหาะมา เหาะมาไม่ไหวแล้ว เหาะมาไม่ได้ ทำอะไรเก่งๆได้เหนือมนุษย์ธรรมดา ตอนนี้ทำไม่ได้แล้ว เพราะขาดศีลอันหนึ่ง สมาธิจะเสื่อม เพราะฉะนั้นพวกเรามีศีลไว้นะ คนที่มีศีลเนี่ย สมาธิเกิดง่าย ยกตัวอย่างนะ ถ้าใจเราไม่คิดฆ่าใคร ไม่คิดเบียดเบียนใครนะ ใจเราสงบง่าย ถ้าใจเราผิดศีลนะ คิดจะฆ่าเขา คิดจะทำลายเขา ใจไม่สงบๆ สมาธิก็เสื่อมสิ

คิดจะลักเขา ขโมยเขานะ ไปขโมยมาแล้วอะไรอย่างนี้ ก็วุ่นวายใจ กลัวเขาจับได้ จิตใจมันวุ่นวาย สมาธิก็เสื่อมสิ เป็นชู้เขา กลัวเขาฆ่า เคยเห็นในการ์ตูนมั้ย ชอบไปแอบในตู้เสื้อผ้า หรือไปปีนหน้าต่างหนี อะไรอย่างนี้นะ มีความสุขมั้ย ไม่มีความสุขนะ จิตใจไม่มีความสุข ก็ไม่มีความสงบจริงหรอกนะ ฟุ้งซ่าน

คนโกหกเขาก็ต้องจำเยอะ ใช่มั้ย คนโกหกเนี่ยนะ คิดอะไรไม่ค่อยเป็นแล้ว เพราะเอาเมมโมรี่นะไปใช้ในการจำข้อมูลเก่าๆที่ไปโกหกคนไว้ ใจก็ฟุ้งซ่านนะ โกหกคน พูดเท็จ ไม่สงบนะ กินเหล้าเมายา จิตใจไม่สงบ

เพราะฉะนั้นศีลจำเป็นมากนะ ถ้ามีศีลนะ สมาธิเกิดง่าย มีสมาธิเกิดง่ายปัญญาก็เกิดง่าย เพราะฉะนั้นศีลนี้แหละเป็นปัจจัยให้ไปนิพพานได้ เพราะมันเกื้อกูลให้มีสมาธิ มีสมาธิเกื้อกูลให้เกิดปัญญา

วั้นนี้ต้องเทศน์ปิดท้ายด้วยเรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา เพราะพวกที่มาเรียนเข้าคอร์สวันนี้จะจบแล้ว เดี๋ยวจบไปแล้วก็รู้แต่เจริญสติไม่ต้องรักษาศีล ไปไม่รอดนะ ต้องมีให้ครบ ไม่งั้นอริยมรรคจะไม่เกิด

ถ้าไปดูในองค์มรรคนะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ องค์มรรค ๓ ตัวนี่นะเรื่องศีลทั้งนั้นเลย สัมมาวาจาเนี่ยศีลข้อ ๔ สัมมากัมมันตะ(อยู่ใน)ศีลข้อ ๑,๒,๓ ต้องให้บอกมั้ย (ศีลข้อ)๑ ๒ ๓ คืออะไร ศีลข้อ ๑ ปาณาติบาต ทำร้ายสัตว์ ฆ่าสัตว์ เบียดเบียนสัตว์ ข้อ ๒ ลักทรัพย์เค้า ฉ้อโกงเค้า ข้อ ๓ ประพฤติผิดในกาม สัมมาวาจาข้อ ๔ สัมมากัมมันตะข้อ ๑ ๒ ๓ สัมมาอาชีวะ การเลี้ยงชีวิตของเรา ต้องเลี้ยงอย่างบริสุทธิ์นะ จนไม่เป็นไร ความจนไม่น่ารังเกียจ ความโกงน่ารังเกียจ เราอย่าปล่อยให้ค่านิยมเลวๆมันครอบงำเรา

ทุกวันนี้เราถูกเสี้ยมสอนให้เลวหนักขึ้นๆ ให้เห็นความเลวเป็นเรื่องปกติ อย่างนักการเมืองบางคนมาสอนพวกเรานะ ว่าโกงไม่เป็นไร คอรัปชั่นไม่เป็นไร ขอให้มีผลงาน นี่สอนสิ่งที่เลวร้ายให้เรานะ เราต้องไม่เชื่อฟัง ชาว พุทธเราต้องสะอาดในการดำรงชีวิต ในการจะอยู่การจะทำอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างต้องสะอาดพอ ถ้ารู้สึกว่ายอมสกปรกได้ กิเลสมันล้างไม่ได้จริงหรอก ของหยาบๆยังล้างไม่ได้เลย การจะมีชีวิตอยู่ในโลกให้สะอาด ยังทำไม่ได้เลย จะทำใจให้สะอาดเนี่ยเป็นไปไม่ได้เลย

งั้นเราต้องเลี้ยงชีวิตนะ จนไม่เป็นไรนะ อย่าไปอายกับความยากจน ให้อายกับความชั่วร้าย แล้วก็อย่าไปยกย่องคนชั่วร้ายที่ร่ำรวยด้วย มันช่วยกันสร้างค่านิยมที่เลวให้มากขึ้นๆนะ สังคมของเราทุกวันนี้ถึงร้อนเป็นฟืนเป็นไฟไปหมด ทุกหนทุกแห่งแล้ว เพราะว่าเราช่วยกันสร้างค่านิยมที่เลวๆนานาชนิดขึ้นมา เช่นใช้วิธีอะไรก็ได้เพื่อบรรลุผลสำเร็จ นี่เป็นค่านิยมที่เลวร้ายมากเลย ทุกวันนี้ดูสิบ้านเมืองจะเป็นยังไง มันเป็นอนาธิปไตยนะ อะไรก็ได้ขอให้สำเร็จเถอะ เนี่ยมันจะอยู่กันไม่ไหว

เพราะงั้นเราต้องตั้งใจนะ รักษาศีลนะ รักษาศีล เลี้ยงชีวิตของเราให้บริสุทธิ์ นี่อยู่ในองค์มรรคทั้งสิ้นเลย

ถัดไปเราฝึกเรื่องสมาธิ ในส่วนของเกี่ยวกับสมาธิเนี่ย มีองค์มรรคอยู่ ๓ ตัว ๓ ใช่มั้ย ๓ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาวายามะเป็นยังไง สัมมาสติเป็นยังไง สัมมาสมาธิเป็นยังไง

สัมมาวายามะคือความเพียรชอบ อะไรที่เรียกว่าความเพียรชอบ เพียรละอกุศลที่มีอยู่ เพียรปิดกั้นอกุศลใหม่ไม่ให้เกิด เพียรเจริญกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิด เพียรพัฒนากุศลที่เกิดแล้วนะให้มากยิ่งขึ้น นี่เรียกว่าสัมมาวายามะ

หน้าที่เรามีนะ ไม่ใช่บอก ฉันจะรู้สึกตัวเฉยๆ รู้สึกตัวเฉยๆ แค่นั้นไม่พอนะ ต้องสำรวจตัวเองด้วย อกุศลอะไรยังไม่ละ กุศลอะไรยังไม่เจริญ สำรวจตัวเองไปเรื่อยๆ เพราะงั้นชีวิตเราจะมีทิศทาง ชีวิตเราจะมีเป้าหมาย ไม่ใช่อยู่ล่องๆลอยๆไปวันนึง หน้าที่เรานะสำรวจใจตัวเองไว้ ที่หลวงพ่อสอนให้ดูจิตๆนี่แหล่ะ จะมาทำสัมมาวายามะได้อย่างดีเลย งั้นเรารู้ทันจิตใจของเรานี่ อกุศลอะไรเกิดขึ้นให้รู้ทัน ถ้ารู้ทันแล้วมันจะละของมันเอง วิธีที่จะละอกุศลนะ ก็คือมีสติรู้ทันมัน อกุศลใดเกิดขึ้นในใจ เช่นราคะเกิดขึ้นรู้ทัน ราคะจะดับเอง โทสะเกิดขึ้นในใจมีสติรู้ทัน โทสะจะดับเอง

เพราะงั้นที่บอกเพียรปิดกั้นอกุศล เพียรละอกุศลที่มีอยู่ เพียรปิดกั้นอกุศลใหม่ไม่ให้มีขึ้นมา ไม่ให้ครอบงำใจขึ้นมาเนี่ย ทำด้วยการมีสติรู้ทันจิตนี่เอง ถ้าเรามีสติรู้ทันจิตนะ อกุศลที่มีอยู่ก็จะดับ อกุศลใหม่จะเกิดไม่ได้เลย ในขณะที่มีสติ แต่ขณะขาดสติอกุศลเกิดได้อีก

ทำยังไงกุศลจะเจริญ ทำยังไงกุศลที่ไม่มีจะมี ที่มีแล้วจะเจริญ

มีสติไว้ สติเป็นต้นทางของกุศลนะ ถ้าขาดสติอย่างเดียวเนี่ย กุศลทั้งหลายจะไม่เกิดเลย องค์ธรรมฝ่ายกุศลจะไม่มีเลย ต้องมีสติเอาไว้ ถ้ามีสติรู้ทันจิตตัวเองเรื่อยๆ จิตมันมีกิเลสขึ้นมารู้ทันมันนะ มันละอายแก่ใจนะ มีหิริ มีโอตตัปปะขึ้นมา ละอายใจเกรงกลัวบาป เกรงกลัวผลของบาป ละอายใจที่จะทำบาป หิริคือความละอายใจที่จะทำชั่ว โอตตัปปะนะ(คือ)กลัวผลของการทำชั่ว

เนี่ยถ้าเรามีสติคุ้มครองจิตอยู่ มีสติรู้ทันจิตอยู่ มันจะเกิดหิริโอตตัปปะขึ้นมาเอง คนที่มีหิริโอตตัปปะนะจะมีศีลขึ้นมาโดยง่าย เพราะถ้ามันละอายใจที่จะทำชั่ว กลัวผลของบาปซะแล้ว มันจะทำผิดศีลไม่ได้ เพราะฉะนั้นมันเป็นการทำชั่ว เป็นการทำบาป

งั้นถ้าเรามีสตินะ มีหิริโอตตัปปะเกิดขึ้น ก็เกิดศีลขึ้นมา มีศีลแล้วก็เกิดสมาธิได้ง่าย ใจสงบง่าย มีสมาธิแล้วก็เกิดปัญญาง่าย พอใจสงบนะ ก็สามารถเรียนรู้ความจริงของกายของใจได้ง่าย มีปัญญาแล้ววิมุตติก็เกิดได้ง่าย มีโอกาสเกิดวิมุตติ คือใจปล่อยวางความยึดถือในรูปในนาม ในกายในใจ

เพราะงั้นมันจะเป็นทอดๆไปนะ แล้วมีสติให้มากไว้ งั้นกุศลทั้งหลายก็จะเกิดขึ้น ตัวอย่างของกุศลที่ว่ามา ก็คือหิริโอตตัปปะใช่มั้ย ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ นี่เป็นส่วนของกุศลทั้งนั้นเลย มันจะค่อยๆพัฒนาขึ้นมา

งั้นเรามีสติรักษาจิตไว้นะ นั่นแหล่ะคือการทำความเพียร เคยอ่านหนังสือนะ หลวงปู่มั่นท่านบอกว่า เมื่อไรมีสติ เมื่อนั้นมีความเพียร เมื่อไรขาดสติ เมื่อนั้นขาดความเพียร นี่ท่านสอนถูกกับตำราเป๊ะเลยนะ ทั้งๆที่ท่านภาวนา แต่ความจริงท่านอ่านอภิธรรมนะ หลวงปู่มั่นนี่ท่านอ่านอภิธรรมด้วย ลองไปดูหนังสือที่ท่านอ่าน มีอภิธรรมอยู่ งั้นท่านสอนถูกทั้งปริยัติทั้งปฏิบัติ สอนเก่ง

งั้นเราจะมีสัมมาวายามะได้นะ อาศัยมีสติรู้ทันจิตนี่ แล้วอะไรคือสัมมาสติ มีสติรู้ทันจิตเป็นสัมมาสติทั้งหมดมั้ย ไม่ใช่ทั้งหมด พระพุทธเจ้าอธิบายสัมมาสติ ด้วยสติปัฏฐาน ๔ งั้นหน้าที่ของเราเจริญสติปัฏฐานนะ ไม่ใช่มีสติแล้วก็ลอยๆอยู่เฉยๆ

การเจริญสติปัฏฐานนั้น มี ๒ ขั้นตอน เรียนทันมั้ยเนี่ย มันคล้ายๆ intensive course แล้ว วันสุดท้ายแล้ว เรียนยากหน่อยนะ สติปัฏฐานเนี่ยนะมี ๒ ขั้นตอนนะ ขั้นตอนที่ ๑ ทำไปเพื่อให้เกิดสติ ขั้นตอนที่ ๒ ทำไปเพื่อให้เกิดปัญญามี ๒ ส่วนนะ ไม่เหมือนกัน

การทำให้เกิดสติใช้การตามรู้กาย ตามรู้เวทนา ตามรู้จิต ตามรู้สภาวะธรรม ใช้ตามรู้ทั้งหมดเลย เพราะงั้นท่านถึงใช้คำว่า “กายานุปัสสนา” “ปัสสนา”คือ การเห็น การรู้การเห็น จริงๆแปลว่าการเห็น “อนุ” แปลว่าตาม ตามเห็นเนืองๆซึ่งกาย ตามเห็นเนืองๆซึ่งเวทนา ตามเห็นเนืองๆซึ่งจิต ตามเห็นเนืองๆซึ่งธรรม เนี่ยพระพุทธเจ้าใช้คำว่าตามเห็นเนืองๆ แต่ตาม เห็นเนี่ย ต้องตามด้วยใจที่ตั้งมั่นนะ ใจที่ตั้งมั่น ไม่ใช่ใจที่ไหลไป ใจที่ตั้งมั่นจะไปได้ตอนฝึกสัมมาสมาธิ นี้ให้มีสัมมาสติ สัมมาสติคอยมีสติ

เบื้องต้นมีสติตามรู้กาย หายใจออกคอยรู้สึก หายใจเข้าคอยรู้สึก ยืนเดินนั่งนอน คู้เหยียด เหลียวซ้ายแลขวา คอยรู้สึก รู้สึกบ่อยๆนะ ต่อไปเนี่ย ไม่เจตนาจะรู้ มันก็รู้เอง พอร่างกายเคลื่อนไหวนะ สติจะระลึกได้เอง เนี่ยเรียกว่าเราฝึกได้สติแล้ว สติเกิดโดยที่ไม่ต้องเจตนาให้เกิด หรือบางคนตามรู้เวทนา คำ ว่าตามรู้ไม่ใช่ตามไปที่อื่นนะ ตามรู้หมายถึงว่า ร่างกายเคลื่อนไหว แล้วรู้ว่าร่างกายเคลื่อนไหว เวทนาเกิดขึ้นในกาย ก็รู้ว่าเวทนาเกิดในกาย เวทนาเกิดในใจ ก็รู้ว่าเวทนาเกิดในใจ หมายถึงเวทนาเกิดก่อน แล้วรู้ว่ามันเกิด ร่างกายเคลื่อนไหวไปก่อน แล้วรู้ว่าเคลื่อนไหว

เพราะฉะนั้นในการเดินจงกรมแบบนี้ ถูกหรือผิดหลัก? (หลวงพ่อทำให้ดู) เนี่ยแล้วค่อยๆเดินไป อันนี้เป็นการไปจ้องไว้ ไม่ใช่การตามรู้นะ ถ้าตามรู้ ไม่ทันจะระวังตัวเลย เป็นธรรมชาติธรรมดา เคลื่อนไหวไปตามธรรมชาติ หายใจ มันหายใจอยู่แล้วใช่มัั้ย ตอนนี้ทุกคนหายใจอยู่มั้ย มีใครไม่หายใจมาบ้าง ทุกคนหายใจอยู่แล้ว ก็แค่รู้ว่ากำลังหายใจอยู่ รู้ว่าร่างกายกำลังหายใจอยู่ แค่นี้เอง ไม่ใช่เอาแล้วต่อไปนี้จะรู้ลมหายใจแล้ว (หลวงพ่อทำให้ดู) นี่ไม่ใช่แล้วนะ นี่ไม่ใช่การตามรู้แล้

ตามรู้เนี่ย มันมีอยู่แล้ว เรารู้ไม่ทันต่างหาก ก็รู้ให้ทันขึ้นมา หายใจอยู่แล้วใช่มั้ย ยืนเดินนั่งนอนอยู่แล้วใช่มั้ย ขณะนี้ใครไม่ยืนเดินนั่งนอน มีมั้ย ใครไม่อยู่ในอิริยาบทนี้ ไม่มี ตอนนี้กำลังนั่ง นี่มีเดินอยู่หนึ่ง นอกนั้นกำลังนั่ง มันมีอยู่แล้วนะ เราก็แค่รู้เข้าไปเท่านั้น อันนี้แหล่ะเรียกว่าตามรู้ เวทนามันก็มีอยู่แล้ว แต่ไม่เห็น ก็แค่ตามรู้เข้าไป คือรู้มันขึ้นมานะ

กุศลอกุศลในจิตมีอยู่มั้ยขณะนี้ มีมั้ย ความสงบ ความฟุ้งซ่าน ความดีใจ ความเสียใจ ความสุข ความสุขความทุกข์นี่ส่วนเวทนา โลภโกรธหลง ไม่โลภไม่โกรธไม่หลง ขณะนี้มีใครโลภบ้าง ขณะนี้มีใครไม่โลภบ้าง เนี่ยเหมือนกันหมดเลย non response เห็นมั้ยมันมีอยู่แล้ว จิตที่เป็นกุศลหรืออกุศลเนี่ย มีอยู่แล้วในขณะนี้นะ ตามรู้คืออะไร รู้เข้าไปเลยสิ มันเป็นยังไง ขณะนี้มันเป็นยังไง รู้ว่าเป็นอย่างงั้น อันนี้แหล่ะคือคำว่าตามรู้ ตามรู้เนืองๆ ดูบ่อยๆ รู้บ่อยๆ มันมีอยู่แล้ว แต่เราไม่เคยเห็น ก็คอยดูมันนะ คอยรู้มัน นี่เรียกว่าตามรู้นะ แต่การรู้เนี่ยจะต้องใจตั้งมั่น ถ้ารู้ตามจิตไหลไปนะ ปัญญาจะไม่เกิด เดี๋ยวจะไปเรียนเรื่องมรรคตัวสุดท้าย คือสมาธิ

งั้นหน้าที่เรานะ ร่างกายเคลื่อนไหว คอยรู้สึก มันเคลื่อนไหวอยู่แล้ว เวทนาเกิดขึ้นในกาย คอยรู้สึก เวทนาในกายมีอยู่แล้ว เวทนาในจิตเกิดขึ้น คอยรู้สึก เวทนาในจิตก็มีอยู่แล้ว แค่คอยรู้สึกขึ้นมา กุศล-อกุศลเกิดขึ้นในจิต ก็แค่คอยรู้ มันมีอยู่แล้ว นี่เรียกว่าตามรู้ทั้งสิ้นเลย เพราะงั้นการตามรู้ไม่ใช่ ส่งจิตตามไปที่อื่นนะ รู้อยู่เฉพาะหน้า รู้อยู่กับปัจจุบัน แต่ว่าสภาวะมันมีอยู่แล้ว ก็รู้มัน นี่เรียกว่าตามรู้ ตามรู้เนืองๆ นี่ทำให้เกิดสตินะ

พอรู้บ่อยๆ จิตจะจำสภาวะได้แม่น อย่างเราหัดขยับตัวแล้วรู้สึก ขยับตัวแล้วรู้สึก วันนึงเราใจลอย พอใจลอยปุ๊บ เราเกิดขยับขึ้นมาโดยไม่ได้เจตนาจะรู้สึกนะ มันจะรู้สึกขึ้นเอง สติตัวจริงเกิดแล้ว เกิดโดยไม่เจตนานะ ไม่เจือด้วยโลภะ แล้วค่อยฝึกไปเรื่อยนะ บางคนดูเวทนา ดูบ่อยๆ ต่อไปพอนั่งๆอยู่ มดมากัดเจ็บปั๊บ สติเกิดเลย เห็นเวทนาเกิดขึ้นในกาย กายอยู่ส่วนนึง เวทนาอยู่ส่วนนึง จิตเป็นคนดู นี่เกิดสติขึ้นมา ใจตั้งมั่น รู้สึกขึ้นมา หรือเห็นกุศลอกุศลนะ หัดดูไปเรื่อย กุศลอกุศลใดๆเกิดขึ้นในใจ คอยหัดดูไปเรื่อย ที่หัดดูจิตๆ หัดดูไปอย่างนั้นแหล่ะ ในที่สุดก็ได้สติขึ้นมา รู้สึกขึ้นมา กิเลสเกิดแว้บ รู้สึกเลย อย่าว่าแต่ตอนตื่นเลย ตอนนอนหลับนะ กิเลสเกิดยังรู้สึกเลยอัตโนมัติขึ้นมา

นี่เราฝึกไปจนสติมันอัตโนมัตินะ ถึงจะใช้ได้ ถ้าสติยังต้องจงใจให้คอยเกิดอยู่ ยังอ่อนอยู่ ต้องฝึกไปอีก หัดรู้สภาวะมากๆนะ สติจะเกิด

สติปัฏฐานเนี่ย เบื้องต้นทำให้มีสติ เบื้องปลายจะมีปัญญา

แต่ก่อนจะเกิดปัญญา ต้องมาเรียนสัมมาสมาธิก่อน สัมมาสมาธิพระพุทธเจ้าอธิบายสัมมาสมาธิด้วยฌาน ๔ ทำไมเอาแค่ฌาน ๔ แล้วอรูปฌานอีก ๔ หายไปไหน อรูปฌาน ๔ นั้นสงเคราะห์เข้าในฌานที่ ๔ เพราะมีองค์ธรรมเท่ากัน มีอุเบกขากับเอกัคคตา เป็นองค์ธรรมหลักคืออุเบกขากับเอกัคคตา งั้นสรุปก็คือฌาน ๘ นั่นเอง

แต่ถ้าพูดอย่างปริยัติ ท่านอธิบายด้วยฌาน ๔ ทำไมต้องเป็นฌาน ถ้าไม่เข้าฌาน ไม่เป็นสัมมาสมาธิรึ ท่าน อธิบายฌาน ๔ สัมมาสมาธิด้วยฌาน ๔ เนี่ย เพราะท่านพูดถึงสัมมาสมาธิแท้ๆ สัมมาสมาธิแท้ๆเกิดขณะเดียว ในขณะที่เกิดอริยมรรค เกิดขณะจิตเดียวนั่นแหล่ะ

เพราะงั้นที่บอกว่าองค์มรรคๆ ๘ ตัวนี่นะ ไม่ได้เกิดรายวัน แต่องค์มรรคแท้ๆเนี่ย เกิดในขณะที่เกิดอริยมรรค เพราะงั้นขณะที่พวกเรามีสติอยู่ทุกวันเนี่ย บางคนก็บอกเป็นสัมมาสติ อันนั้นเรียกเอาหน้าเท่านั้นเอง จริงๆไม่เป็น ที่บอกเรามีสัมมาสมาธิอยู่ มีใจตั้งมั่นอยู่กับเนื้อกับตัว นี่เรียกโดยอนุโลม จริงๆยังไม่ใช่สัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิแท้ๆเกิดตอนที่เกิดอริยมรรค

แล้วขณะที่เกิดอริยมรรคนั้น จะต้องเกิดร่วมกับองค์ฌานอันใดอันหนึ่ง ต้องเกิดกับฌานขั้นใดขั้นหนึ่ง อย่างน้อยปฐมฌานจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ จนถึงฌานที่ ๔ บางคนลึกซึ้งลงไปกว่านั้นอีก ในฌานที่ ๔ นั้นรูปหายไป เหลือแต่นามธรรมล้วนๆ เข้าไปอรูปฌาน

งั้นท่านอธิบายตัวสัมมาสมาธิเนี่ย ท่านถึงไปอธิบายด้วยฌาน แต่ใน ขั้นการปฏิบัติเนี่ย ขั้นบุพภาคมรรค ขั้นเบื้องต้นของมรรค มรรคเบื้องต้น ยังไม่ใช่อริยมรรคเนี่ย ไม่จำเป็น ไม่จำเป็นว่าจะต้องเกิดอัปปนาสมาธิ ถ้าเราไม่มีอัปปนาสมาธิ ทำอัปปนาสมาธิไม่ได้ เราใช้ขณิกสมาธินี่แหล่ะ สมาธิเป็นขณะๆคอยรู้ทัน จิตมันฟุ้งซ่านไป คอยรู้ทัน จิตมันฟุ้งซ่านไป คอยรู้ทัน รู้บ่อยๆนะ มันจะได้สมาธิเป็นขณะๆ เพราะในขณะที่รู้ทันว่าฟุ้งซ่านจะไม่ฟุ้งซ่าน ในขณะที่ไม่ฟุ้งซ่าน ขณะนั้นแหล่ะมีสมาธิ นั่นได้เป็นขณะๆไป

งั้นบางทีหลวงพ่อบอกพวกเรานะ เผลอไปแล้วรู้ เผลอไปแล้วรู้ เผลอไปนั่นคืออะไร คือจิตฟุ้งซ่านนั่นเอง เพราะงั้นจิตฟุ้งซ่านไปแล้วรู้ทัน จิตฟุ้งซ่านไปรู้ทัน ก็จะรู้สึกตัวขึ้นมา ใจมันจะอยู่กับเนื้อกับตัว งั้นสัมมาสมาธิในขั้นของการปฏิบัติ กับในขั้นของการเกิดอริยมรรคเนี่ย คนละอย่างกันนะ ในขั้นของการเกิดอริยมรรคเนี่ย จิตเข้าอัปปนาสมาธิแล้วก็ไปตัดกิเลส ตัดสังโยชน์กันในองค์มรรค ในขณะที่ทรงฌาน ส่วนสัมมาสมาธิในขณะที่ใช้ชีวิตธรรมดาเนี่ย จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว

ทำอัปปนาสมาธิได้มั้ย ทำได้ แต่ทำเพื่อพักผ่อน ไม่ใช่ทำเพื่อให้เกิดอริยมรรค ทำเพื่อพักผ่อนเท่านั้นอัปปนาสมาธิ แต่บางคนชำนาญในการดูจิตจริงๆ เมื่อเข้าอัปปนาสมาธิแล้ว ยังดูจิตต่อได้อีก อันนี้พวกที่ชำนาญในการดูจิตด้วยชำนาญในฌานด้วย ซึ่งหายากนะ มีไม่กี่คนหรอก ส่วนใหญ่ทำไม่ได้

เราใช้ขณิกสมาธิอยู่เป็นขณะๆนี้ ใจลอยไปแล้วรู้ ใจฟุ้งซ่านไปแล้วรู้ ใจฟุ้งไปแล้วรู้ รู้อย่างนี้เรื่อยนะ ใจจะตั้งมั่นขึ้นมา สมาธิชนิดนี้คือความตั้งมั่น คือพูดภาษาไทยง่ายๆนะ คือจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว จิตใจไม่ลืมเนื้อลืมตัว จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวนะ

ถัดจากนั้นเรามาเดินสติปัฏฐานที่ให้เกิดปัญญา พอจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว สติระลึกรู้ลงในรูปธรรมนะ จะเห็นรูปธรรมไม่ใช่ตัวเรา สติระลึกรู้ลงในเวทนา จะเห็นว่าเวทนาไม่ใช่ตัวเรา ในขณะที่ใจเราตั้งมั่นอยู่กับเนื้อกับตัว เป็นผู้รู้ผู้ดู จิตเป็นผู้รู้ผู้ดูนี่แหละ เรียกว่ามีสมาธิล่ะ แล้วก็สติเกิดระลึกรู้ เห็นเวทนาทางใจ ก็จะเห็นว่าเวทนาทางใจไม่ใช่เรา สติระลึกรู้เห็นกุศลเห็นอกุศล จะเห็นว่ากุศลและอกุศลไม่ใช่เรา

ทีนี้ตัวผู้รู้เนี่ย มันจะรู้สึกเหมือนกับทรงอยู่ แต่ถ้าทำแค่ขณิกสมาธิเนี่ย ตัวผู้รู้จะไม่อยู่นาน ประเดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ ประเดี๋ยวก็เป็นผู้คิด ประเดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ ประเดี๋ยวก็เป็นผู้หลงไปเลย ไม่รู้คิดเรื่องอะไร ประเดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ ประเดี๋ยวก็เป็นผู้เพ่ง ตัวผู้รู้เองก็เกิดดับ จิตนี้เองเกิดดับ ไม่เที่ยงด้วย ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์เท่าๆกับขันธ์อื่นๆนั่นเอง เนี่ยการเดินปัญญาทำอย่างนี้นะ รู้ลงไปในกาย  มีสติระลึกรู้กายที่กำลังปรากฏอยู่ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง จิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ลืมเนื้อลืมตัว เนี่ยคือจิตที่มีสมาธิได้มาด้วยการทำฌาณก็ได้นะ ได้มาด้วยการรู้ทันจิตที่ไหลไปๆ แล้วรู้บ่อยๆ เนี่ย มันจะตั้งมั่นขึ้นเอง พวกเราใจไหลไปแล้วรู้ ไหลแล้วรู้เนี่ย ใจมันจะมาอยู่กับเนื้อกับตัว

พอใจอยู่กับเนื้อกับตัวแล้วมันจะรู้สึกขึ้นมานะว่า ร่างกายที่กำลังเคลื่อนไหว ใช้คำว่าร่างกายที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่เนี่ย ไม่ใช่ตัวเรา

ดูกายเนี่ยจะดูลงปัจจุบันขณะนะ ดูลงขณะปัจจุบันนี้เลย เนี่ยๆ กำลังเคลื่อนอยู่เนี่ย เรารู้ได้มั้ย รู้ได้ เพราะจิตมันเป็นคนไปรู้กาย แต่ว่าการดูจิตเนี่ยจะไม่ดูลงปัจจุบันขณะ การดูจิตจะดูด้วยลักษณะที่เรียกว่า ดูปัจจุบันสันตติ  ไม่เหมือนกันนะ ปัจจุบันขณะก็คือสิ่งที่กำลังปรากฏต่อหน้าต่อตานี้เอง ปัจจุบันสันตติคือสิ่งที่เนื่องอยู่กับปัจจุบัน ปัจจุบันเป๊ะๆไม่ได้ เพราะจิตนั้นรู้อารมณ์ได้ครั้งละอย่างเดียว อย่างร่างกายเคลื่อนไหวเนี่ย จิตดูลงปัจจุบันได้ เพราะจิตมารู้กาย แต่จิตจะไปรู้จิตเนี่ยไม่ได้ จิตจะไปรู้จิตในขณะ ขณะนั้นนะ ในขณะที่เดินปฏิบัติปกติเนี่ยไม่ได้ แต่ในขณะที่เกิดอริยมรรคได้นะ คนละอันกันนะ คนละเรื่อง ที่ท่านว่าจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นมรรคนั้น ท่านพูดถึงอริยมรรคเลย เฮ้อ เหนื่อย เทศน์มันยากมากเลย มัน intensive course

เพราะงั้นดูกายเนี่ยนะ ดูมันลงปัจจุบัน ดูจิตนั้น ดูมันเนื่องกับปัจจุบัน เช่น มันโกรธ พอมันโกรธปุ๊บ สติรู้ว่าโกรธ ในขณะที่จิตมีสติรู้ว่าโกรธเนี่ย ความโกรธนั้นเป็นอดีตไปแล้ว ความรู้ รู้ว่าเมื่อกี้โกรธนั้นเป็นปัจจุบัน ความโลภเกิดขึ้น ความโลภเป็นปัจจุบัน สติรู้ว่าเมื่อกี้โลภ โลภเป็นอดีตละ จิตที่มีสตินี้เป็นปัจจุบัน

จิตที่มีสติมันเกิดตามหลังจิตที่มีกิเลสนะ เพราะงั้นตรงที่มีกิเลสเนี่ย ดูไม่ได้ เพราะในขณะที่กิเลสเกิดเนี่ย สติไม่มี ในขณะที่มีสติน่ะไม่มีกิเลส เพราะงั้นการที่เราเห็นว่าจิตมีกิเลสน่ะ เราเห็นตามหลังทั้งสิ้น เพราะ ฉะนั้นการดูจิตนี่นะ จะตาม แต่ตามแบบติดๆนะ เมื่อวานโกรธวันนี้รู้ไม่เรียกว่าปัจจุบันสันตตินะ เพราะว่าห่างไกลมาก นั่นเป็นอดีตสันตติแล้วไม่ใช่ปัจจุบันละ

เพราะงั้นการดูจิตนะ ดูแบบติดๆ เลย โกรธขึ้นมาก่อน รู้ว่าโกรธ นี่เห็นหางความโกรธๆไหวๆ หายแว้บไปต่อหน้าต่อตา นี่ เห็นหางเท่านั้นนะ ไม่เห็นตัวมันหรอก งั้นดูอย่างนี้นะ ดูไปเรื่อย แต่จิตต้องตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู ตัวนี้แหละคือตัวสัมมาสมาธิ จิตที่ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู สติระลึกรู้กายลงเป็นปัจจุบัน สติตามรู้จิตที่ดับไปสดๆร้อนๆ นะ

เนี่ยในขณะที่เดินมรรคเขาเดินกันอย่างนี้ ในขณะที่เกิดอริยมรรคเป็นอีกแบบนึง คนละเรื่องกัน อย่าไปปนกัน

พอเราเจริญมากๆนะ จะได้อะไร จะได้ตัวของปัญญา ปัญญา คือสัมมาทิฐิ คือสัมมาสังกัปปะ

สัมมาทิฐิคือความเห็นแจ้งในอริยสัจจ์ รู้ว่าตัวตนไม่มีหรอก ตัวตนมีแต่ทุกข์ ขันธ์มีแต่ตัวทุกข์ ขันธ์ไม่ใช่ตัวตน พอมีอย่างนี้นะใจมันก็ดำริออกจากกาม ดำริออกจากพยาบาท ดำริออกจากการเบียดเบียน ก็ตัวเราไม่มีจะมีกามไปทำไม จะพยาบาททำไม จะเบียดเบียนยังไง ใจก็พ้นจากกิเลส พ้นจากทุกข์ พ้นจากทุกสิ่งทุกอย่างไป

วันนี้เทศน์เรื่องมรรคให้ฟังนะ มรรคมีหนึ่งนะ แต่มีองค์แปด แต่ไม่ได้มีแปดมรรคนะ ถ้าแปดมรรคเรียกมักมาก มรรคมีหนึ่งเท่านั้นแต่มีองค์แปด คล้ายๆ แมงมุมมีหนึ่งตัวแต่มีแปดขา หักออกขานึงก็พิการละ ใช้ไม่ได้ อริยมรรคจะไม่เกิดนะ ถ้าขนาดส่วนใดส่วนหนึ่ง

เพราะฉะนั้นส่วนแรกเลยที่ต้องรักษาคือศีล จำไว้นะ ตั้งใจ แล้วพยายามดำรงชีวิตอย่างสุจริต พยายามฝึกจิตฝึกใจไปเรื่อย คอยรู้ทันจิตไป กิเลสเกิดรู้ทัน อย่าให้มันครอบงำ รู้ทันกิเลสได้บ่อยๆ ใจก็มีกุศลมากขึ้นๆ แล้วก็หัดรู้สภาวะของรูปธรรมนามธรรมทั้งหลาย จนกระทั่งสติมันเกิด แล้วก็ฝึกจิตไป จิตไหลไปแล้วรู้ๆ สมาธิก็เกิด ในที่สุดก็มีสมาธิ มีสติรู้รูปรู้นามตามความเป็นจริงด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง จิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลางคือจิตมีสมาธิ เมื่อมีสติรู้รูปรู้นามรู้กายรู้ใจด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลางมากพอ ปัญญาจะเกิด จะเห็นแจ้งว่ารูปธรรมนามธรรมไม่ใช่ตัวตน เป็นแต่ตัวทุกข์ล้วนๆ ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ล้วนๆ พอปล่อยวางได้นะ คุณงามความดีทั้งหลายเนี่ยสมบูรณ์แบบหมดเลย ความสุขอันมหาศาลจะเกิดขึ้น


สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๔
Track: ๑๒
File: 530425A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๐ วินาทีที่ ๑๕ ถึง นาทีที่ ๒๙ วินาทีที่ ๑๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

มีกิเลสบ่อยทำให้เนิ่นช้าหรือไม่

mp3 for download: มีกิเลสบ่อยทำให้เนิ่นช้าหรือไม่

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม: มีพี่คนนึงเขาบอกว่า การที่เรามีกิเลสบ่อยอย่างนี้ทำให้เนิ่นช้า จริงหรือเปล่าคะ

หลวงพ่อปราโมทย์: ไม่จริง ถ้ามีกิเลสบ่อยแล้วก็ไม่รู้ทันว่ามีกิเลสเนี่ยเนิ่นช้า มีกิเลสบ่อยรู้ว่ามีกิเลส มีสติขึ้นมาไม่เนิ่นช้า จิตใจมีแต่กุศล ไม่รู้ว่ามีกุศล เนิ่นช้า

อยู่ที่รู้หรือไม่รู้ ไม่ใช่อยู่ที่ว่ามีกิเลสหรือมีกุศล บางคนจิตเป็นกุศลนะ ไม่รู้ว่าเป็นกุศล พระพุทธเจ้าบอกว่าใช้ไม่ได้ อย่าไปเชื่อเขานะ ไอ้ที่”เขาเล่าว่า…”น่ะ

CD สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๒
File:  501006B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๓๔ วินาทีที่ ๒๕ ถึง นาทีที่ ๒๕ วินาทีที่ ๓

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ดูจิตได้ทั้งสมถะและวิปัสสนา ศีล สมาธิ ปัญญา เกิดพร้อม

mp3 (for download) : ดูจิตได้ทั้งสมถะและวิปัสสนา ศีล สมาธิ ปัญญา เกิดพร้อม

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ดูจิตเป็นหลักไว้ แต่ร่างกายเคลื่อนไหวให้รู้สึกนะ

โยม: หลวงพ่อหนูขอการบ้านน่ะค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์: นี่ไง ให้ไปดูไง

โยม: แค่นี้เองเหรอคะ

หลวงพ่อปราโมทย์: ถ้าใจแอบไปคิดก็รู้ทันๆ แค่นี้ก็เป็นพระอรหันต์ได้ จะเอาแค่ไหน (หัวเราะ)

โยม: ค่ะ แค่นี้ก็แค่นี้ค่ะ  (หัวเราะ)

หลวงพ่อปราโมทย์: หนูรู้หรือเปล่า ดูจิตเฉยๆ นี่แหละนะ สมถะก็ได้นะ วิปัสสนาก็ได้ ศีลก็มี สมาธิก็มี อย่างดูจิตแล้วมีศีลได้อย่างไร ดูจิตแล้วพอเราเห็นกิเลสเกิดขึ้นมา กิเลสมันเกิดปั๊บ เรารู้ทันมันกิเลสจะครอบงำจิตไม่ได้ เราจะไม่ผิดศีล พอใจมันฟุ้งซ่านขึ้นมา เรามีสติรู้ทัน ความฟุ้งซ่านจะดับไป ใจจะมีสมาธิขึ้นมา เสร็จแล้วเราก็จะเห็นนะ จิตใจมันขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว มันปรุงมันแต่งทั้งวันเลย เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายหมุนเวียนเปลี่ยนไป นี่มันไม่เที่ยงตลอดเลย แล้วมันบังคับไม่ได้ นี่เห็นไตรลักษณ์นะ นี่คือวิปัสสนานะ เพราะฉะนั้น การที่เราคอยรู้ทันจิตตัวเองนี่นะ ศีล สมาธิ ปัญญา นี่เกิดพร้อมเลย

CD สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๒
Track ๑๗
File: 521127B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๓๒ วินาทีที่ ๓๖ ถึงนาทีที่ ๓๓ วินาทีที่ ๔๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรามีสติขึ้นมา เพื่อจะได้ตัดตอนชีวิตให้ขาดเป็นท่อนๆ

เรามีสติขึ้นมา เพื่อจะได้ตัดตอนชีวิตให้ขาดเป็นท่อนๆ

เรามีสติขึ้นมา เพื่อจะได้ตัดตอนชีวิตให้ขาดเป็นท่อนๆ

mp 3 (for download) : เรามีสติขึ้นมา เพื่อจะได้ตัดตอนชีวิตให้ขาดเป็นท่อนๆ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: เืบื้องต้นน่ะมันต้องตามรู้กาย ตามรู้ใจ  “ตามรู้” นะ

เพื่ออะไร? เพื่อให้เกิดสติ ตามรู้เพื่อให้จิตจำสภาวะได้ แล้วเกิดสติ

ฉะนั้นในสติปัฏฐาน ท่านถึงใช้คำเหมือนกันหมดเลย กายนุปัสสนา-การตามเห็นกาย  จิตตานุปัสสนา-การตามเห็นจิต  เป็นคนละส่วนกับขั้นที่ทำให้เิกิดปัญญา คนละส่วนกัน    ในสติปัฏฐานมีสองส่วน  ส่วนที่ทำให้เกิดสติ ตามเห็นกาย ตามเห็นเวทนา ตามเห็นจิต ตามเห็นมากๆแล้ว จิตจำสภาวะของรูปนามได้แม่น  พอรูปนามเคลื่อนไหวขึ้นมา สติเกิดเอง  เมื่อสติเกิดเองแล้ว คราวนี้มันไม่มีแล้ว สายกาย สายจิต เพราะสติเป็นอนัตตา บางทีสติระลึกรู้กาย บางทีก็ระลึกรู้ใจ ไ่ม่มีสายแล้ว   ฉะนั้นตอนสุดท้ายก็จะเหลือแต่ว่า ขณะนี้มีสติ หรือว่า ขณะนี้ขาดสติ

ทีนี้ มีสติขึ้นมาก็ไม่ใช่เพื่อว่าจะมีสติต่อเนื่อง สติเกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไป แค่นั้นพอแล้ว  เรามีสติขึ้นมาเพื่ออะไร? เพื่อจะตัดตอนชีวิตของเราให้ขาดเป็นท่อนๆ แต่เดิมชีวิตของเรานี้เป็นอันเดียวรวดเลย คือหลงตลอดชาติเลย เราจะไม่รู้สึกตัวว่าหลง เราจะรู้สึกว่า เรามีอยู่จริงๆ  รู้สึกว่าจิตนี้เที่ยง จิตนี้คือตัวเรา เพราะว่าจิตมันหลง ไม่เคยขาดตอนลงไปให้เห็นเลย   เราฝึกจนสติเกิดนะ มันจะขาดตอนอัตโนมัติเลย  จิตที่หลงเกิดขึ้นแล้วดับไป จิตที่รู้สึกตัวเกิดแล้วดับไป  ฝึกอย่างนี้ ในที่สุดเห็นเลย จิตทั้งที่เผลอไป ที่ทั้งรู้สึกตัว ที่มีสติ ที่ไม่มีสติ ล้วนแต่เกิดแล้วดับ

เวลาเข้าใจแจ่มแจ้งในธรรมนี้ เข้าใจทั้งคู่เลย ไม่ใช่เอาอันหนึ่ง เกลียดอันหนึ่ง  ไม่ใช่เอาจิตที่มีีสติ เกลียดจิตที่ขาดสติ  เพียงแต่จิตที่มีสติเป็นแค่เครื่องอาศัยเท่านั้นเอง เพื่อจะได้เห็นไตรลักษณ์นั่นเอง  ท่านถึงบอกว่า ธรรมะเหมือนเรือ เป็นเครื่องอาศัย

ฉะนั้นเรามีสติขึ้นมา แว๊บ  เห็นเลย ชีวิตที่ขาดสติดับไปแล้ว มีสติอยู่ชั่วขณะ สติก็ดับอีก  ถัดไป จิตอาจจะมีสติหรืออาจจะขาดสติก็ได้ เราเลือกไม่ได้ โวฎฐัพพนจิตมันเลือก มีตัวหนึ่งเลือกแทนเรา เราเลือกไม่ได้  ฉะนั้นจิตจะมีสติ จิตจะขาดสติ ก็เลือกไม่ได้    ถ้าจิตมีสติขึ้นมาอีก มันก็จะระลึกได้ว่า เมื่อกี้มีสติอยู่ เมื่อกี้รู้สึกตัวแล้ว  ถ้าจิตดวงถัดมาไม่มีสติ มันก็เผลอไปอีก  แล้วเดี๋ยวมีจิตที่มีสติมาระลึกใหม่ อ้อเมื่อกี้เผลอไป  เมื่อกี้เผลอไป รู้สึกตัวแว๊บ เกิดโลภะแทรก กลัวเผลอ ไม่อยากเผลอ อยากจะรู้ตัว เพ่ง  เกิดการทำงานทางใจ ให้รู้ทันว่าทำงานทางใจแล้ว

ฉะนั้นรู้ลงปัจจุบันไปเรื่อยๆ เขาจะดัดแปลง เขาจะพลิกแพลงอย่างไร ตามรู้ไป  ตามรู้ไม่ใช่เพื่อเอาอันใดอันหนึ่ง หรือเพื่อปฏิเสธสิ่งใดสิ่งหนึ่ง  ไม่ได้เอาจิตที่มีสติ ไม่ได้ปฏิเสธจิตที่ขาดสติ  เพราะจิตที่มีสติและจิตที่ขาดสติสอนธรรมะเราอย่างเท่าเทียมกัน  เพียงแต่ต้องมีสติขึ้นมาเพื่อจะได้ตัดตอนชีวิตให้ขาดเป็นท่อนๆ อยู่ในช่องเล็กๆของปัจจุบัน ช่องเล็กๆ มันจะเห็นแต่ว่ามีความเกิดดับเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา  ถึงจุดที่แ่จ่มแจ้งก็จะรู้เลย ทุกสิ่งเกิดแล้วดับทั้งสิ้น ปัญญามันอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่ว่าฝึกจนไม่มีความขาดสตินะ สติเป็นอนัตตา สั่งไม่ได้หรอก เกิดได้ก็ดับได้


สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๖
Track: ๑๑
File: 491123A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๖ วินาทีที่ ๑๕ ถึง นาทีที่ ๑๙ วินาทีที่ ๔๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

วิธีสะสมอินทรีย์ ๕ คือการเจริญสติปัฏฐาน

mp3 for download: วิธีสะสมอินทรีย์ ๕ คือการเจริญสติปัฏฐาน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: มันยากมากเลยที่..กว่าคนๆหนึ่งจะตื่นขึ้นมา แต่ว่าคนที่ตื่นแล้วไม่ยากหรอกที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานในชีวิตนี้ เพราะถ้าตื่นขึ้นมาได้ก็สามารถเจริญสติปัฏฐานได้ ถ้าเจริญสติปัฏฐานได้ถูกต้องก็ได้ผลเร็ว เจ็ดวันเจ็ดเดือนเจ็ดปีต้องได้ผล บางคนทำสามสี่ปีเอง สามสี่ปีสบายไปแล้ว บางคนก็นานหน่อย ก็แล้วแต่..อินทรีย์ของแต่ละคนไม่เท่ากัน แก่อ่อนต่างกันนะ ถ้าอินทรีย์แก่กล้าก็บรรลุเร็ว อินทรีย์ยังไม่แก่กล้าก็ต้องสะสมเอา

อินทรีย์มี ๕ ตัวนะ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา วิธีสะสมก็คือเจริญสติฯให้เยอะไว้ ถ้าสติดีนะศรัทธาก็จะดีขึ้น วิริยะ สมาธิ ปัญญา มันจะดีขึ้น แต่สตินะต้องเป็นสัมมาสติ ถูกต้อง ถ้าเป็นมิจฉาสติก็ไม่ได้นะ อินทรีย์ก็ไม่แก่กล้า

สัมมาสติต้องรู้เนื้อรู้ตัวขึ้นมา รู้กายรู้ใจไป คำว่าสัมมาสติจริงๆก็คือสติปัฏฐานนั่นเอง เป็นสติที่รู้กายรู้ใจ พอเรารู้กายรู้ใจมากๆนะ เราเห็นความจริงของกายของใจไปเรื่อย จนวันหนึ่งได้พระโสดาบัน ศรัทธาของเราจะเต็มแล้ว กว่าศรัทธาจะเต็มต้องเป็นพระโสดาบันแหน่ะ

ศรัทธาของปุถุชนนะ เป็นศรัทธากลับกลอก วันนี้ศรัทธาอีกวันหนึ่งไม่ศรัทธา กลับกลอก แต่พระโสดาบันนะ เจริญสติปัฏฐานมาพอสมควรแล้ว เห็นความจริงว่าตัวเราไม่มี มีแต่รูปกับนาม รู้เลยพระพุทธเจ้าสอนของจริงนะ ธรรมะของจริงเป็นอย่างนี้ คือสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่มีตัวเรา เห็นธรรมะของจริง พระพุทธเจ้าสอนของจริง

จิตใจของผู้ปฎิบัติตามเนี่ย สามารถเข้าถึงความจริงอันนี้ได้ คือ เป็นพระสงฆ์ได้ พระสงฆ์แท้ๆเกิดขึ้นเมื่อใจเราเข้าถึงความเป็นจริงของธรรมะ คือเห็นความจริงแล้ว ทั้งกายทั้งใจไม่ใช่เรา เป็นพระ แทนพระแท้ๆแล้ว พระที่บวชเข้ามาก็เรียกว่าเป็นพระสมมุติ เรียก สมมุติสงฆ์ ส่วนสงฆ์แท้ๆนั้นไม่ต้องบวช อยู่ที่เจริญสติฯจนเข้าใจธรรมะก็เป็นพระสงฆ์ขึ้นมา

พอเราเข้าใจแล้ว โอ้.. พระสงฆ์มีจริงๆนะ ผู้ที่ปฏิบัติตามแล้วบรรลุธรรม เข้าใจธรรมตามที่พระพุทธเจ้าสอนนั้นมีจริงๆนะ พระพุทธเจ้าก็มีจริง พระธรรมก็มีจริง พระสงฆ์ก็มีจริง มันซาบซึ้งถึงอกถึงใจแน่นแฟ้น ไม่คลอนแคลนอีกละ

ของเรายังคลอนแคลนนะ ภาวนา วันนี้ศรัทธาพระพุทธเจ้านะ อีกวันไปศรัทธาจตุคามฯอีกละ จตุคามฯไม่นานนะมาพระพิฆเณศวร์อีกละ ต่อไปจะปั่นตัวอะไรขึ้นมาไหว้ จิ้งจกสองหางก็ไหว้นะ ตุ๊กแกก็ไหว้ รักยม กุมารทอง นะ มันเอาหมดแหละ แต่ก่อนเขามีนางกวัก เดี๋ยวนี้เห็นมีแมวกวักใช่มั้ย ต้องแมวกวัก มันมีที่พึ่งอะไรก็ไม่รู้ เต็มไปหมดนะ ที่พึ่ง อันนั้นสะท้อนเลยว่าไม่ใช่ชาวพุทธที่แท้จริงหรอก มีที่พึ่งอื่นนอกจากพระรัตนตรัย

ถ้าเป็นชาวพุทธที่แท้จริง ยังไม่มีที่พึ่งอื่นนะ มีแต่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง เนี่ย ศรัทธาของเราจะสมบูรณ์ตอนเป็นพระโสดาฯแล้ว

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๕
File: 510427A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๐ วินาทีที่ ๔๙ ถึง นาทีที่ ๔ วินาทีที่ ๕๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การปฏิบัติ ไม่มีสายกาย สายจิต

mp 3 (for download) : การปฏิบัติ ไม่มีสายกาย สายจิต

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: จริงๆแล้วธรรมะง่ายที่สุดเลย เราไปคิดมากเลยยากนาน เราคิดแต่ว่าจะต้องทำยังไง ต้องทำยังไง ทำยังไงแล้วจะดี เห็นมั้ย วัตถุประสงค์ที่ต้องการ คือ ต้องการดี สิ่งทีต้องการจะได้ ต้องการดี ทำยังไงมันจะดี ก็คิดแต่จะทำ เราลืมสภาวะของวิปัสสนาคือการรู้ไป

รู้เนี่ยไม่ใช่เอาดี รู้เอาความจริงนะ รู้เพื่อให้เห็นความจริง เพราะฉะนั้นอย่างสมถะทั้งหลายเนี่ย มุ่งเอาสุข เอาสงบ เอาดี ก็คิดแต่ว่าทำอย่างไรจะเอาสุข เอาสงบ เอาดี ส่วนวิปัสสนานะ รู้กาย รู้ใจ ตามที่เขาเป็น เพื่ออะไร เพื่อรู้ความจริง สิ่งที่ต้องการคือความจริงเท่านั้นเอง ธรรมะก็คือความจริงนั้นแหละ ตัวสัมมาทิฎฐินั้นแหละ

เนี่ยเราคอยรู้ลงไปนะ ไม่ใช่เรื่องยาก อย่าใจลอยก็แล้วกัน ถ้าใจลอยก็รู้กายรู้ใจไม่ได้ อย่าเอาแต่นั่งเพ่งไว้ กำหนดไว้ ประคองไว้ ถ้าเพ่งไว้ กำหนดไว้ ประคองไว้ ควบคุมไว้ กายกับใจก็จะนิ่งๆผิดความเป็นจริง เพราะฉะนั้นแค่รู้สึกตัว สติระลึกรู้กาย ก็รู้กาย สติระลึกรู้จิตก็รู้จิต มันไม่เลือกแล้วนะ ถ้าสติเกิดแล้วไม่มีสายไหนแล้ว มีแต่ว่าขณะนี้มีสติหรือว่าขณะนี้ขาดสติ ไม่มีสายกายสายจิตอะไรหรอก อันนั้นเป็นแค่จุดตั้งต้น เพื่อฝึกให้มีสติขึ้นมา

จุดตั้งต้นเพื่อฝึกให้มีสติขึ้นมาเป็นการตามรู้ทั้งหมดเลยนะ เพราะฉะนั้นในสติปัฏฐานท่านถึงใช้ว่า การตามเห็นกายเนืองๆ ตามเห็นนะ ไม่ใช่รู้ลงในปัจจุบันนะ การตามเห็นเวทนาเนืองๆ การตามเห็นจิตเนืองๆ ตามเห็นธรรมเนืองๆ


สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๖
Track: ๑๑
File: 491123A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๓ วินาทีที่ ๓๖ ถึง นาทีที่ ๑๕ วินาทีที่ ๒๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

บทเรียนที่พระพุทธเจ้าสอน มี ๓ บท ชื่อ ไตรสิกขา

mp 3 (for download) : บทเรียนที่พระพุทธเจ้าสอน มี ๓ บท ชื่อ ไตรสิกขา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.


สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๕
Track: ๑๙
File: 510628.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๓ วินาทีที่ ๕๓ ถึง นาทีที่ ๓๐ วินาทีที่ ๒๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เบื้องต้นหากสติ สมาธิ ปัญญายังไม่อัตโนมัติ ต้องอดทน ต้องฝึกซ้อม

mp3 : (for download) : สติ สมาธิ ปัญญายังไม่อัตโนมัติ ต้องอดทน ต้องฝึกซ้อม

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: ต้องสู้นะ ต้องสู้ ต้องอดทนน่ะ อยู่ๆมันจะได้ง่ายๆ ไม่ได้หรอก จริงๆที่หลวงพ่อบอกว่าการปฏิบัติมันง่ายๆ ครูบาอาจารย์ท่านก็บอกนะ หลายองค์เวลาไปอยู่ด้วยท่านก็ปรารภขึ้นมา โอ้..การภาวนาง่ายนะ ปราโมทย์ ง่ายนะ เสร็จแล้วจะเงียบๆไปพักหนึ่งแล้วจะพูดต่อ แต่มันก็ยากเหมือนกันน่ะ

มันง่ายนะ ถ้าเราตื่นขึ้นมาแล้ว ใจเราตื่นแล้วเราดูกายทำงานดูใจทำงาน เราไม่ต้องทำอะไร  เราทำตัวเป็นคนดู มันไม่ยากเพราะเราไม่ต้องทำอะไรดูอย่างที่มันเป็น แต่ว่ามันยากมากเลยกว่าที่เราจะตื่นขึ้นมา ในโลกนะมันมีแต่คนหลงคนหลับ ยากเหลือเกินที่คนๆหนึ่งจะตื่นขึ้นมาได้ แต่ไม่ยากนะที่คนที่ตื่นขึ้นมาแล้ว คอยรู้กายรู้ใจเนืองๆ จะบรรลุมรรคผลนิพพานในชีวิตนี้ เพราะฉะนั้นที่ครูบาอาจารย์บางองค์ว่ายากๆ ยากเพราะว่ามันไม่ตื่น บางองค์ท่านก็ว่ามันง่ายนะ ง่ายเพราะอะไร เพราะไม่ได้ทำอะไรเลย

พอสติ สมาธิ ปัญญา มันอัตโนมัติขึ้นมานะ สติมันก็รู้กายรู้ใจเองนะ สมาธิก็ตั้งมั่นโดยไม่ต้องรักษา ปัญญาก็หยั่งรู้ความจริงของกายของใจ ทำงานของมันเอง ไม่เห็นมีอะไรยากเลย แต่ก่อนที่สติจะอัตโนมัติ ก่อนที่สมาธิจะอัตโนมัติ ก่อนที่ปัญญาจะอัตโนมัติ ตรงนี้ยากสุดๆเลย ตรงที่ใจเราตื่นขึ้นมาเนี่ยเราได้สมาธินะ แล้วก็มีสติรู้กายรู้ใจเขาทำงานไปเรื่อยในที่สุดปัญญามันจะเกิด

แรกๆสติก็ไม่อัตโนมัติหรอก ต้องฝึกต้องซ้อม วิธีฝึกวิธีซ้อมก็หัดดูสภาวะเรื่อยไปนะ ความโลภเกิดขึ้นก็รู้ ความโกรธเกิดขึ้นก็รู้ ความฟุ้งซ่าน ความหดหู่ ความดีใจเสียใจ ความสุขความทุกข์อะไรเกิดขึ้นในจิตใจก็คอยรู้ไป ความสุขความทุกข์เกิดขึ้นในร่างกายก็คอยรู้นะ ร่างกายหายใจออกร่างกายหายใจเข้า ร่างกายยืนเดินนั่งนอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด นะ ทั้งกายทั้งใจทำงานนะ คอยมีสติตามดูมันเรื่อยๆไป

ดูมากๆนะ ต่อไปจิตจะจำสภาวะได้แม่น พอจิตจำสภาวะได้แม่น สติจะเกิดเอง ไม่ได้เจตนาให้เกิด อย่างเราหัดเบื้องต้นนะ เราต้องจงใจไว้ก่อนนะ ค่อยๆสังเกตไป จิตใจเดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ แรกๆก็ดู วันนี้กับเมื่อวานไม่เหมือนกัน แต่ละวันจิตใจไม่เคยเหมือนกันเลย หัดดูอย่างนี้ พอดูแต่ละวันไม่เหมือนกันได้ก็ดูให้ละเอียดขึ้น ในวันเดียวกันเนี่ย เช้า สาย บ่าย เย็น ก็ไม่เหมือนกัน ดูอย่างนี้นะ ในที่สุดต่อไปก็จะเห็นว่า ในแต่ละขณะ แต่ละขณะ ก็ไม่เหมือนกัน ดูมันจะละเอียดขึ้น ละเอียดขึ้น

ดูไปเรื่อยๆเราจะเห็นเลย มีแต่ความเปลี่ยนแปลง เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ถ้าดูจนชำนิชำนาญนะ ต่อไปไม่เจตนาจะดู พอมีอะไรเกิดขึ้นในกายเกิดขึ้นในใจ สติระลึกได้เอง เนี่ยต้องฝึกจนสติระลึกเองนะ

อย่างหลวงพ่อไปหัดจากหลวงปู่ดูลย์มา ท่านสอนให้ดูจิต มาหัดดูเรื่อย มันสุขก็รู้ มันทุกข์ก็รู้ มันโลภ มันโกรธ มันหลงนะ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เกิดขึ้นก็รู้ มันดับไปก็รู้ เนี่ยหัดรู้ไปเรื่อย ต่อมาไม่ได้เจตนาจะรู้นะ มันรู้เอง วันที่มันรู้เองนะวันนั้นพายุใหญ่มา ๒๓ กันยายน ๒๕๒๕ มีพายุเข้ามา กางร่มออกจากที่ทำงาน พายุมันตีร่มเนี่ยพับขึ้นไป ในที่สุดเราเลยต้องเก็บร่มนะ เดี๋ยวร่มเราหักอีกอันหนึ่งแย่เลย เก็บร่มไปแล้วเดินตากฝนไป เข้าไปที่วัด วัดโสมฯนี่แหละ ใกล้ๆที่ทำงาน เข้าไปในกุฏิเก่าของท่านเจ้าคุณ สมเด็จพระวันรัตน์ พระวันรัตน์(ทับ) เจ้าอาวาสองค์แรกเลยเป็นกุฏิกรรมฐานของท่าน อยู่ข้างโบสถ์ เดี๋ยวนี้ท่านรื้อไปแล้ว ไปนั่งกอดเข่าอยู่นั่น นั่งกอดเข่า แล้วใจมันกังวลขึ้นมาว่าเปียกฝนเนี่ยนะคงจะเป็นหวัด ทีนี้เราเคยหัดรู้สภาวะจนชินนะ พอใจกังวลปุ๊บนี่นะ สติมันระลึกโดยไม่เจตนาจะระลึก มันรู้ของมันเอง ใจมันระลึกได้เอง

หรืออย่างสมาธิเราก็ต้องฝึก สติเนี่ยเราหัดดูสภาวะไปเรื่อย โลภ โกรธ หลง ฟุ้งซ่าน หดหู่ หัดรู้ไปเรื่อย ถึงจุดหนึ่งพอสภาวะเกิดแล้วสติรู้เองโดยไม่ต้องเจตนาจะรู้ แต่ก่อนจะรู้ได้เองก็ต้องซ้อมนะ ต้องฝึก ไม่ใช่อยู่ก็เอาละ หลวงพ่อปราโมทย์บอกไม่ต้องทำอะไรงั้นก็นอนมันทั้งวัน ไม่ได้กินหรอกนะ ต้องฝึก หัดดูสภาวะไปจนสติเกิด

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๔
File: 530423.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๐ วินาทีที่ ๒๐ ถึงนาทีที่ ๒๔ วินาทีที่ ๕๓

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

กรรมฐานที่เหมาะสมของแต่ละคน ขึ้นอยู่กับจริตนิสัยและวาสนาบารมี

mp 3 (for download) : กรรมฐานที่เหมาะสมของแต่ละคน ขึ้นอยู่กับจริตนิสัยและวาสนาบารมี

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: กรรมฐานนี่ถ้าเราเรียนให้ดีนะเราจะใจกว้าง เราไม่ได้ว่าอันไหนถูกอันไหนผิดนะ อย่างหลวงพ่อเรียนมาด้วยการดูจิตนะ ดูจิตมาเยอะ แต่หลวงพ่อก็ได้ข้อสรุปอย่างหนึ่งว่า ดูจิตไม่ใช่ solution ไม่มีกรรมฐานอะไรหรอกที่สำเร็จรูปสำหรับคนทุกคน จำไว้นะ แต่ละคนเหมาะกับกรรมฐานที่ไม่เหมือนกันเพราะจริตนิสัยวาสนาบารมีแตกต่างกัน ใช้คำสองคำนะ จริตนิสัย กับ วาสนาบารมี ไม่เหมือนกัน

‘จริตนิสัย’ มีสองกลุ่ม พวกตัณหาจริต กับ พวกทิฏฐิจริต พวกคิดมากกับพวกโลภมาก พวกคิดมากให้ดูจิตดูธรรม จิตตานุปัสสนา ธรรมานุปัสสนา พวกโลภมากนะ ดูกายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา อันนี้เป็นเรื่องจริตนิสัย

เรื่อง ‘บารมี’ ก็แตกต่างกัน คนที่บารมีแก่กล้านะ โดยเฉพาะมีปัญญากล้า ถึงจะเป็นพวกตัณหาจริต ดูกายเวทนานี่ ท่านจะสอนให้ดูไปที่เวทนา เวทนานี่เหมาะกันคนที่บารมีกล้าแล้ว คนที่บารมียังอ่อน อินทรีย์ยังอ่อนนะ ก็ดูกาย จิตกับธรรมก็เหมือนกัน คนที่อินทรีย์ยังอ่อน บารมียังอ่อนนะ ดูจิต อินทรีย์แก่กล้า บารมีแก่กล้าดูธรรม

เพราะฉะนั้น กรรมฐานนี่มันแยกตามจริตนิสัยกับตามวาสนาบารมี แต่ละคนไม่เหมือนกันหรอก อย่างดูกายดูได้ตั้งหกแบบ บางแบบเป็นสมถะนะ ทำสมถะก่อนแล้วมาเจริญปัญญาทีหลัง อย่างดูปฏิกูล อาหารปฏิกูล พิจารณาอาหารเป็นปฏิกูลนี่สมถะ รู้ลมหายใจได้ทั้งสมถะทั้งวิปัสสนา ถ้ารู้อิริยาบถสี่ถูกต้องก็เป็นวิปัสสนา แต่ถ้าเพ่งกายก็เป็นสมถะ

เพราะฉะนั้น ไม่ว่ากรรมฐานอะไรนะ ดูกายหรือดูจิตมันอยู่ที่วิธีดูด้วย ดูผิดมันก็เป็นสมถะไปหมดแหละ แต่ถ้าเราจะทำสมถะเราก็ดูแบบสมถะก็เรียกว่าดูถูก แต่ถ้าเราจะทำวิปัสสนาแล้วไปดูด้วยวิธีแบบสมถะก็ผิด วิธีการไม่เหมือนกัน

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๔
File:  530228B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๕ วินาทีที่ ๒๖ ถึง นาทีที่ ๗ วินาทีที่ ๓๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

คนในโลกทะเลาะกัน ด้วยสองเหตุผล คือ ตัณหา และทิฏฐิ

mp 3 (for download) : คนในโลกทะเลาะกัน ด้วยสองเหตุผล คือ ตัณหา และทิฏฐิ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: ลดความเห็นแก่ตัวลงนะ วิธีสำรวจใจตัวเองด้วยความซื่อตรง มันเห็นแก่ตัวมากไหม สำรวจด้วยความซื่อตรงเลย มีสติรู้ทันจิตตัวเองนี่แหละ ดีที่สุดเลย มันเห็นแก่ตัวขึ้นมารู้ มันยึดในความคิดความเห็นของตัวเองก็รู้ คนในโลกทะเลาะกันด้วยสองเหตุผลเท่านั้น ฟังแล้วมีเหตุผลมากมาย แต่พระพุทธเจ้าสอนคนในโลกทะเลาะกันด้วยสองอย่าง ด้วยตัณหา กับด้วยทิฏฐิ

‘ตัณหา’ ก็คือ ผลประโยชน์มันขัดกัน อยากได้แล้วมันไม่ได้ คนโน้นมันได้ไปไม่ชอบมัน หาทางล้างมันทำลายมัน กับ ‘ทิฏฐิ’ มีความเห็นไม่เหมือนกัน ท่านว่าฆราวาสกับฆราวาสนะ ทะเลาะกันตัวตัณหาและทิฏฐิ ส่วนพระกับพระ ทะเลากันด้วยทิฏฐิ ความเห็นไม่ตรงกัน สอนไม่เหมือนกันก็ฆ่ากันตาย แต่ผลประโยชน์ก็มีนะ เดี๋ยวนี้ เพราะพระก็เป็นโยมเหมือนกัน เป็นโยมใส่ผ้าเหลือง อย่างนั้นก็มีเหมือนกัน

เพราะฉะนั้น เราสำรวจใจของเราด้วยความซื่อตรงนะ เรียนรู้ลงไป ความไม่ดีอะไรซ่อนเร้นอยู่ในตัวเอง ขุดคุ้ยมันออกมาดู อย่าไปดูคนอื่น ดูของเราเอง เราจะเห็นเลยว่ากิเลสของเรานั้นมากมายสาหัสสากรรจ์เลย จะหาผู้ร้ายสักคนไม่ต้องไปหาไกล หาที่ใจเรานี่เอง ใจเรานี่ปรุงกิเลสทั้งวัน ปรุงกิเลสทั้งคืน ไม่เคยหยุดนิ่งเลย ปรุงความรักตัวเอง ปรุงความเห็นแก่ตัว ปรุงความยึดมั่นถือมั่นในความคิดความเห็น ปรุงความอยากนานาชนิด

ให้เรารู้ทันไว้นะ ถ้าเรารู้ทันกิเลสจะครอบงำจิตไม่ได้ เราจะมีเหตุผลในการดำรงชีวิต คนทุกวันนี้ไม่มีเหตุผลในการดำรงชีวิตนะเพราะว่ากิเลสมันครอบงำจิต เพราะฉะนั้นเรามีสติรู้ทันจิตไป กิเลสเกิดขึ้นเรารู้ทันไป เราจะเหลือแต่เหตุผล เหตุผลในการดำเนินชีวิต

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๔
File:  530314B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๔ วินาทีที่ ๕๒ ถึง นาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๔๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ตัวเราเหมือนหมูกระดาษ

mp 3 (for download) : ตัวเราเหมือนหมูกระดาษ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : เมื่อวานนะแน่นเลย ของวัดโสมวัดเดียวมาสิบองค์ แ่ต่ท่านก็อดทนนะ ฟังฟังจนกระทั่งตื่นขึ้นมาได้เจ็ดแปดองค์  และตั้้งอกตั้งใจภาวนา  บางองค์เป็นมหานะ ไม่ถือว่าความรู้เยอะ ได้ฟังธรรมะในภาคปฏิบัติดู ฟังพอจิตตื่นขึ้นมาแล้วบอกว่ามันง่ายนิดเดียว หลงไปทำซะยากเลย จริงๆง่าย เราไปทำให้มันยากเอง มันจะยากอะไร ถูกเขาด่าแล้วโกรธ รู้ว่าโกรธ  ถ้าจะให้ยากก็ต้องไม่โกรธ ทำอย่างไรจะไม่โกรธนี่ยากนะ หรือโกรธแล้วทำอย่างไรจะดับ นี่ยาก  ถูกเขาด่า โกรธ รู้ว่าโกรธ ไม่เห็นยากอะไรเลย ใครก็ทำได้ เพียงแต่เรานึกไม่ถึงว่าการปฏิบัติมันจะง่ายขนาดนั้น

ท่านมหาท่านพูดว่าเมื่อก่อนท่่านไปสร้างอะไรขึ้นมาซะแข็งไปหมดเลย นึกไม่ถึงว่ามันจะธรรมดา  อ้าวธรรมะก็ธรรมดาก็ันั่นแหล่ะ ธรรมะไม่ธรรมดาแล้วมันจะเป็นธรรมะได้อย่างไร ธรรมะกับธรรมดามันก็คำเดียวกันนั่นแหล่ะ  เราเรียนธรรมดาของกาย ธรรมดาของใจ จนเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา อย่างร่างกายนี้ ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย เรื่องธรรมดา  จิตใจเีดี๋ยวสุข เีดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย เรื่องธรรมดา  เดี๋ยวสงบเดี๋ยวฟุ้งซ่าน ธรรมดา  พอยอมรับความเป็นธรรมดา ใจก็เข้าไปสู่ความเป็นกลาง ไม่ดิ้น

มีวิธีฝึกกรรมฐานง่ายๆอย่างนึง อันนี้อยากฝากญาติโยมลองไปดู กระทั่งพระก็ได้นะ แต่พระยังไม่มา คือเวลาแต่ละคนนี่จะแอบสร้างภพขึ้นมา  สร้าง “ภพ” คือสร้างสภาวะอะไรขึ้นมาบางอย่าง แต่ละคนจะสร้างทุกคนแหล่ะ  เวลาเราเจอคนนี้ เราก็ต้องวางมาด มันจะสร้างขึ้นมาตลอดเวลา  หรือเวลาบางคนจะคุยกับหลวงพ่อ ต้องทำเสียงหล่อๆหน่อย ต้องให้มันไม่ธรรมดา ต้องไม่ธรรมดา นี่เสแสร้งสร้างขึ้นมา สร้างขึ้นมา เพื่ออะไร? เพื่อให้ดูดี  ลองสังเกตตัวเองดู กะเทาะเปลือกตัวเองออก จนเห็นเลย ตัวจริงของเราอย่างไร

เราชอบสร้างภาพหลอกๆขึ้นมา อย่างเราเจอคนเจออะไรแต่ละวันๆ เราจะสร้างมาดขึ้นมา เจอลูกค้าเราก็ต้องทำฟอร์มอย่างนี้ใช่ไหม เจอเจ้านายเราก็ต้องทำท่านี้ เจอสาวเราต้องทำอย่างนี้ ต้องวางฟอร์ม  ฟอร์มที่สร้างขึ้นจริงๆ คือสภาวะนั่นเอง คือภพอันหนึ่ง บางทีก็เป็นภพของพ่อ วางฟอร์มเป็นพ่อ บางทีก็วางฟอร์มเป็นแม่ วางฟอร์มเป็นนางเอก  มีนะ ผู้หญิงชอบวา่งฟอร์มเป็นนางเอก ทำเศร้าๆ มีหยาดน้ำตาและหยดเลือดเยิ้มๆในใจ ชอบนักเชียว หาเรื่องลงนรกแท้ๆเลยนะ สะใจ เจ็บๆ คันๆ แสบๆ อู้ยชอบ ชอบเข้าไปได้ไง ทำใ้ห้จิตคุ้นเคยกับอกุศล

แต่ละคนจะวางฟอร์ม ให้เรารู้ทัน  อย่างบางคนหลวงพ่อเคยชี้ ไม่รู้วันนี้มาไหม เขาภาวนาเก่งนะ แต่พอเริ่มพูดกับหลวงพ่อ เขาจะต้องทำเสียงหล่อ “(ทำเสียงหล่อ) ผมมีเรื่องกราบเรียนหลวงพ่อ” นี่  ทำเสียงหล่อนะ พอหลวงพ่อชี้ให้ดู นี่เสแสร้งนะ เห็น เห็นว่านี่ปรุง สร้างภพขึ้นมา สร้างภพของนักปฏิบัติที่ดี ทำดูเลื่อมใสศรัทธากับครูบาอาจารย์มาก พอเห็นตรงนี้ปั๊บ หลุดออกมาเลย   ฉะนั้น ภพทั้งหลายนี่ ถ้าเรารู้ทัน เราจะหลุดออกมา แล้วไม่มีอะไร ว่างๆ ไม่มีอะไร  แต่ถ้ารู้ไม่่ทัน มันก็สร้างภาพขึ้นมา เป็นรูปเป็นร่าง สวยงามอย่างโน้นอย่างนี้

สองวันนี้ หลวงพ่อคุยกับพวกที่มาอยู่วัด บอกเคยเห็น “หมูกระดาษ” ไหม? หมูกระดาษใครเคยเห็นไหม? หมูกระดาษตัวแดงๆ ต้องคนโบราณหน่อยนะถึงจะเคยเห็น  ถ้าเดี๋ยวนี้หมูพลาสติก แต่หมูพลาสติกเอามายกเคสนี้ไม่ได้   หมูํกระดาษนี้มันทำด้วยกระดาษ ค่อยๆปะนะทีละแผ่นๆ ค่อยๆปะขึ้นมา มีแม่พิมพ์สองด้าน ปะทีละด้าน เสร็จแล้วก็เอามาเย็บตรงกลาง ทากาว ทาสี สีที่โปรดคือสีแดง หมูพวกนี้ต้องสีแดง หางก็เอาอะไรทำเป็นพู่ๆหน่อย เขียนตา เขียนหู

แต่ละคนนี้เหมือนหมูกระดาษนะ พวกเราเป็นหมูกระดาษคนละตัว แต่บางตัวก็เป็นหมากระดาษ เราปั้นขึ้นมา ถ้าเรารู้ตัวจริง มันไม่ได้มีจริง เราค่อยๆลอกเปลือกมันออก ลอกสิ่งที่เราปรุงแต่งออกไป ลอกออกไปเป็นชั้นๆ ลอกออกไปเรื่อยๆ  ถึงจุดหนึ่งจะเข้าไปถึงตัวจริงของมัน ตัวจริงของมันไม่มีอะไรเลย มันมาจากความว่างเปล่า แล้วก็สร้างขึ้นมาจนเป็นตัวเป็นตน  แต่ถ้าเมื่อไหร่เราลอกเปลือกตัวเองไปเรื่อย ลอกความปรุงแต่งไปเรื่อย จนถึงสุดท้าย ลอกชั้นในสุดออกไป ภายในมันก็เป็นความว่างๆใช่ไหม อาจจะขังอากาศอยู่ พอเปลือกกระดาษหลุดออกไปแล้ว  อากาศนั้นกระจายรวมเข้ากับอากาศข้างนอกนั่นเอง

ฉะนั้นการภาวนานี้ก็เหมือนกันนะ ถ้าจิตพ้นจากความห่อหุ้มแล้ว จิตไม่มีเปลือกห่อหุ้ม ไม่ได้สร้างภพใดๆมาห่อหุ้มมันแล้ว มันจะกลืนเข้ากับอากาศข้างนอกนั่น จะกลืนเข้ากับโลก ฉะนั้นเราภาวนาจนถึงจุดสุดท้าย จิตกับธรรมชาติที่แวดล้อมอยู่ จะกลมกลืนเข้าเป็นอันเดียวกัน

หลวงปู่ดูลย์เคยสอนหลวงพ่อ บอกว่า ถ้าวันใดเธอเห็นจิตกับสิ่งที่แวดล้อมอยู่เป็นสิ่งเดียวกันนะ เธอจะแจ่มแจ้งฉับพลันนั้นเลย เราฟังเราก็นึกว่าเป็นวิธีปฏิบัตินะ แต่ไม่รู้จะปฏิบัติอย่างไร ก็ดูจิตของเราไปเรื่อย ดูไป จนกระทั่งวันหนึ่ง พอเราไม่ยึดถือจิตซะอย่างเดียว เราสลัดคืนจิต จิตกับโลกนี้กลืนเข้าด้วยกัน เป็นอันเดียวกัน  คนไหนเป็นนักดูจิตคนอื่น ไม่ใช่นักดูจิตตัวเอง  นักดูจิตคนอื่นที่ชำนาญ พอไปเจอท่านที่ภาวนาที่ปล่อยวางจิตแล้ว จะพบว่าจิตของท่านเหล่านี้กลมกลืนเข้ากับโลก กลมกลืนเป็นอันเดียวกันกับโลก แต่อันนี้เขาไม่สามารถเห็นจิตที่พ้นโลกได้ เขาเห็นแต่จิตที่กลมกลืนเข้ากับโลก เหมือนอากาศในหมูกระดาษนี้ที่รวมเข้ากับอากาศ กับโลกข้างนอก เป็นอันเดียวกันนั่นเอง  อันนี้เล่าให้ฟังเล่นๆนะ เพื่อยั่วน้ำลาย

วันหนึ่งถ้าพากเพียรไป ดูกายดูใจของเราไป เราปอกเปลือกของตัวเองออกไปจนล้อนจ้อนไม่มีอะไรเหลือเลย เราจะพบตัวจริง ของเราซึ่งไม่มีอะไรเลย  เพราะฉะนั้น เราภาวนาไปแล้วเราจะไม่ได้อะไรมา และเราจะไม่ได้เสียอะไรไป เพราะเราไม่มีอะไรอยู่ตั้งแต่้แรกแล้ว จะไม่มีอะไรเลย

จิตถัดจากนั้นจะเป็นอย่างไร จิตที่ปล่อยวางจิตไปแล้ว จะมีแต่ความสุขล้วนๆ ยืนเดินนั่งนอนมีแต่ความสุขล้วนๆเลย  เกิดอะไรขึ้น จิตจะไม่มีกระเพื่อมไหวเลย  กลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกับธรรมชาติ  ฉะนั้นจิตกับธรรมะก็เป็นอันเดียวกัน หลอมหลวมเข้าด้วยกัน จิตที่หลอมรวมเข้ากับธรรมแล้ว จิตกับธรรมะก็เป็นอันเดียวกัน จิตอันนั้นเรียกว่า “พระสงฆ์”  จิตอันนั้นเป็น “พระพุทธ-พุทธะ”  พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นอันเดียวกัน เป็นเรื่องที่แปลกนะ เวลาเราภาวนาเืบื้องต้น เราก็รู้ึสึก พระพุทธก็อันนึง พระธรรมก็อันนึง พระสงฆ์ก็อันนึง  แต่โดยเนื้อแท้แล้วเป็นอันเดียวกัน ในเนื้อแท้แล้วเป็นอันเดียวกัน เป็นความไม่มีอะไรนี่เอง เป็นธรรมะนั่นเอง  แต่ไม่ใช่แบบว่างเปล่าสาบสูญ  ถ้าสาบสูญเป็นมิจฉาทิฐิ  มีแต่ความสุขล้วนๆเลย เวลาที่เรากระทบ เราสัมผัส เราระลึกถึง เพราะฉะนั้นถ้าเราฝึกจนถึงจุดที่ว่าเราปล่อยวางจิตได้แล้ว เวลาที่เรามนสิการถึงนิพพาน นิพพานกับจิตก็สัมผัสกันอยู่ตรงนั้นเลย นิพพานไม่ใช่ต้องเข้าสมาธิก่อนแล้วส่งจิตไปดู ไม่ใช่

ค่อยฝึกนะ เราจะมีความสุขมหาศาลรออยู่ข้างหน้า หัดเบื้องต้นก็มีความสุขเล็กน้อยไปก่อน  คนไม่เคยมีสติ พอมีสติขึ้นมาก็มีความสุข  คนไม่มีศีล พอมีศีลขึ้นมาก็มีความสุข คนไม่เคยมีสัมมาสมาธิ พอจิตมีสัมมาสมาธิตั้งมั่น ไม่หลง ไ่ม่เผลอตามอารมณ์ สักว่ารู้ สักว่าเห็น มีความสุข  จิตที่มีวิมุติมีปัญญาขึ้นมาก็มีความสุข มีวิมุติขึ้นมาก็มีความสุข

เพราะฉะนั้นเราภาวนาไป จะมีความสุขเป็นลำดับๆไป  เบื้องต้นมีความสุขจากการรู้สึกตัวก่อน หัดตัวนี้ให้ได้ก่อน พอเรามีความสุขที่ได้รู้สึกตัว เราจะรู้สึกตัวบ่อย เพราะเราชอบแล้ว เราชอบรู้สึกตัว เราชักไม่ชอบเผลอแล้ว  แต่เดิมคิดว่าเผลอๆ เพลินๆ มีความสุข  รู้สึกตัวไม่มีความสุขเพราะรู้สึกตัวแล้วเห็นแต่ทุกข์ เห็นกายเป็นทุกข์ เห็นใจเป็นทุกข์  แต่พอเรารู้สึกตัวเป็น รู้สึกไปเรื่อย เราพบว่าทันทีที่รู้สึกตัว มีความสุขขึ้นมา มีความสุขโชยแผ่วๆขึ้นมา สุขอยู่ในตัวเอง แล้วก็เห็นทุกสิ่งทุกอย่างเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไป  เมื่อไหร่ใจหลงเข้าไปแทรกแซง เมื่อนั้นความทุกข์ก็เกิดขึ้น  เมื่อไหร่ใจไม่แทรกแซง สักว่ารู้ สักว่าเห็น ก็มีความสุข  ตรงนี้เป็นความสุขของกายใจที่ตั้งมั่นและใจที่มีปัญญา แต่ยังไม่ใช่ความสุขถึงที่สุด  ความสุขของศาสนาพุทธมันลึกซึ้งเป็นชั้นๆ ไป

คนในโลกใจมันคลุกอยู่กับอารมณ์ อย่างมีความอยากขึ้นมาแล้วก็ได้รับการตอบสนอง สมอยากแล้วมีความสุข ไม่สมอยากถึงจะทุกข์ คนทั่วๆไปเห็นได้แค่นี้ ตื้นที่สุดเลย  หมาแมวเหมือนกันนะ แมวจะไปจับนกนะ จับได้แล้วมีความสุข จับไม่ได้แล้วทุกข์  ถ้าสมอยากแล้วมีความสุข ถ้าไม่สมอยากถึงจะทุกข์  พวกเราผู้ภาวนา เราจะเห็นเลย ถ้ามีความอยากก็จะมีความทุกข์ ถ้าไม่มีความอยากแล้วไม่ทุกข์ จะเห็นอย่างนี้ ถ้าถึงจุดสุดท้ายเราจะรู้เลย จะมีความอยากหรือจะไม่มีความอยาก ขันธ์ห้านี่แหล่ะเป็นตัวทุกข์โดยตัวของมันเอง ถ้าเห็นอยู่อย่างนี้เรียกว่า รู้อริยสัจแจ่มแจ้งแล้ว รู้ว่าขันธ์ห้าเป็นตัวทุกข์โดยตัวของมันเอง  ความอยากที่จะให้ขันธ์ห้าเป็นสุขจะไม่มีอีกต่อไปแล้ว เพราะรู้ว่ามันเป็นตัวทุกข์ ทำอย่างไรมันก็ทุกข์ อย่างเรารู้ว่าไฟนี้เป็นของร้อน เราก็ไม่ต้องไปอยากให้มันเย็น อย่างไรมันก็ร้อน เราไม่โง่พอที่จะไปอยากรู้่ว่าไฟวันนี้จะเย็นหรือยัง ลองจับ จะไม่โง่ขนาดนั้น  คือจิตที่มันรู้ว่าขันธ์เป็นของร้อนแล้ว มันจะไ่ม่ไปหยิบฉวยขันธ์ขึ้นมาอีกแล้ว ไม่ไปหยิบฉวยจิต ไม่ไปหยิบฉวยขันธ์

สวนสันติธรรม
CD: 23
File: 501229B.mp3
Time: 0.10 – 12.11

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

งานหลักของเราคือทำตัวให้พ้นสังสารวัฏ

mp 3 (for download) : งานหลักของเราคือทำตัวให้พ้นสังสารวัฏ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าเมื่อไหร่เราปฏิบัติโดยการเข้าไปแทรกแซงเรื่อยๆนะ เช่น โกรธขึ้นมากำหนด โลภขึ้นมากำหนดนะ นานๆ เราจะรู้สึกว่าเราบังคับจิตได้ จะรู้สึกคึกคักห้าวหาญ ไม่กลัวกิเลสแล้ว กิเลสมาทีไรกำหนดแล้วจอดหมดทุกทีเลย จิตนี้เป็นอัตตาขึ้นมาแล้ว ได้พอกพูนความเห็นผิดว่าจิตเป็นตัวเป็นตน เป็นสิ่งบังคับได้ขึ้นมา จะไม่ใช่วิปัสสนานะ วิปัสสนาจะรู้กายอย่างที่เขาเป็นรู้ใจอย่างที่เขาเป็น เห็นจิตเห็นใจทำงานของเขาไปเรื่อย เราบังคับไม่ได้ เขาไม่เที่ยง เขาทนอยู่ในสภาวะอันใดอันหนึ่งนานๆ ไม่ได้ ดูไป ใจเห็นความจริงใจถึงยอมรับนะ ยอมรับแล้วมรรคผลมันจะเกิด

พระพุทธเจ้าจึงสอนว่าเพราะรู้ตามความเป็นจริง รู้ตามความเป็นจริงหมายถึงรู้รูปนามนะ รู้รูปนามตามความเป็นจริง ตามความเป็นจริงคือไตรลักษณ์นั่นเอง รู้ว่ารูปนามตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ มีลักษณะเป็นไตรลักษณ์ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวเรา

เพราะรู้ตามความเป็นจริงจึงเบื่อหน่าย จอยรู้สึกไหม มันน่าเบื่อ สุขก็น่าเบื่อนะ ทุกข์ก็น่าเบื่อนะ ดีก็น่าเบื่อ ชั่วก็น่าเบื่อนะ อะไรๆ ก็น่าเบื่อ หยาบก็น่าเบื่อ ละเอียดก็น่าเบื่อ เพราะมันของไม่เที่ยงทั้งหมดเลยนะ เพราะรู้ตามความเป็นจริงจึงเบื่อหน่าย เพราะเบื่อหน่ายจึงคลายกำหนัด คลายกำหนัดนี่มาจาก ภาษาไทยฟังแล้วแปลยาก ภาษาบาลีเรียกว่า “วิราคะ” หมายถึงใจเราไม่เข้าไปผูกพันกับมัน ใจไม่เข้าไปผูกพันในความสุข เพราะรู้ว่าความสุขชั่วคราว ไม่ไปหลงยินดีว่ามันจะต้องถาวร อยากให้มันถาวร ไม่มีอย่างนี้ จะไม่ดิ้นรนเพื่อจะรักษาความสุขแล้ว ใจไปเห็นความทุกข์เข้า ก็ไม่ผูกพันกับความทุกข์ ไม่ใช่คิดว่าความทุกข์เป็นตัวเราของเรานะ งั้นต้องไปหาทางละ ใจจะไม่เข้าไปผูกพันกับสภาวะที่มันไปรู้เข้า ใจมันคลายออก

เพราะรู้ตามความเป็นจริงก็เลยเบื่อหน่าย เพราะเบื่อหน่ายเลยคลายกำหนัดคือคลายความผูกพัน คลายความรักใคร่ในสภาวะอันหนึ่ง เกลียดสภาวะอันหนึ่ง เพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น หลุดพ้นจากอะไร จากรูปจากนามนั่นเอง ที่ชมพูเห็น จิตมันไปคว้าจิตขึ้นมา มันไม่หลุดพ้นนะ มันปล่อยไม่ได้ ถ้ามันเห็นความจริง จิตนี่ทุกข์ล้วนๆ นะ มันจะทิ้ง เรียกเห็นไตรลักษณ์ จิตแจ่มแจ้งแล้วมันทิ้งเลย มันทิ้ง

เพราะเบื่อหน่ายจึงคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น อะไรหลุดพ้นอะไร จิตหลุดพ้นจากความถือมั่นในขันธ์นั่นเองนะ จิตหลุดพ้นจากกิเลสที่ห่อหุ้มจิตที่เรียกว่า “อาสวะ” กิเลสที่ห้อหุ้มจิต จิตหลุดพ้นออกมา เพราะหลุดพ้นจึงรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว รู้เลยนะ รู้ด้วยตัวเองนะ ของมันเคยยึดเคยถือไว้หนักๆ นะ มันหลุดแล้วมันวาง เห็นต่อหน้าต่อตา มันวางจริงๆ เพราะมันไปเห็นธรรมที่พ้นจากความเกิดความตาย

เพราะหลุดพ้นจึงรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว ก็จะรู้ธรรมะที่พ้นออกไป เรียกว่า “วิมุตติญาณทัสสนะ” รู้ธรรมะแห่งความหลุดพ้น รู้นิพพานนั่นเอง

แล้วก็รู้อีกนะว่าชาติสิ้นแล้วคือความเกิดสิ้นแล้ว ความเกิดคืออะไร คือการที่ใจเราเข้าไปหยิบฉวยรูปนามนั่นเอง ใจที่เราเข้าไปหยิบฉวยจิตนี่ คว้าปั๊บเข้ามาหยิบฉวยเข้ามา นี่แหละคือความเกิดคือชาติ ใจเข้ามาหยิบฉวยกายก็เกิดชาติ ใจหยิบฉวยจิตก็เกิดชาติ พอเบื่อหน่ายคลายกำหนัดก็หลุดพ้น รู้ว่าหลุดพ้นแล้วนะ รู้ว่าชาติสิ้นแล้ว ไม่หยิบฉวยอะไรขึ้นมาอีกแล้ว ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์คือการประพฤติปฏิบัติธรรมเนี่ย

การศึกษาธรรมะเนี่ย ศึกษาจบแล้ว ศึกษาจบแล้ว จบในศีลในจิตในปัญญา ศีลสิกขา จิตตสิกขา ปัญญาสิกขา ไม่ใช่ศีลสมาธิปัญญานะ เราพูดเล่นคล่องๆ ปากหรอกศีลสมาธิปัญญา

ไตรสิกขาคือศีลสิกขา จิตตสิกขา ปัญญาสิกขา แจ่มแจ้งแล้วรู้หมดแล้ว

ศีลเนี่ยเป็นการศึกษาเพื่อสู้กิเลสหยาบๆ เพื่อให้จิตนี่มีความตั้งมั่นเพียงพอพร้อมที่จะมาเรียนรู้จิต คือทำจิตตสิกขา

จิตตสิกขาเนี่ย จิตจะสงบจากนิวรณ์จากกิเลสชั้นกลาง พร้อมที่จะไปเจริญปัญญา มันจะรู้ว่าจิตยังไงที่ข่มนิวรณ์ได้ จิตยังไงข่มนิวรณ์ได้แล้วพร้อมที่จะเจริญปัญญาด้วย จิตที่ข่มนิวรณ์ได้คือจิตที่ทำสมถะ จิตที่ข่มนิวรณ์แล้วพร้อมจะเจริญปัญญาคือจิตที่พร้อมต่อการทำวิปัสสนา ไม่เหมือนกัน

พอถึงปัญญาสิกขาก็คือการเรียนรู้ความจริงของกายของใจจนละกิเลสขั้นละเอียดคือความหลงผิดได้ละอวิชชาได้

งั้นศีลสิกขา จิตตสิกขา ปัญญาสิกขา ชำแหละกิเลสเป็นชั้นๆ ๆ เข้ามานะ จนกระทั่งจิตใจเราบริสุทธิ์หมดจดแล้ว หมดงานต้องทำเรียกว่าเรียนจบ เรียกว่าจบหลักสูตร ที่ว่าพรหมจรรย์อยู่จบแล้วหมายถึงว่าเรียนจบหลักสูตรแล้ว คนที่เรียนจบหลักสูตรเรียกว่า “อเสขบุคคล” คือคนที่ไม่ต้องเรียนอีกแล้ว คือพระอรหันต์นั่นเอง

พวกเราเป็นนักเรียนนะ พวกเรายังเป็นนักเรียน พระโสดาบันน่ะเป็นนักเรียนจริงๆ พระโสดาบันน่ะเป็นนักเรียน พวกเรานั้นเป็นคล้ายๆ นักเรียนเตรียมอนุบาลนะ ยังไม่ถึงขั้นเป็นนักเรียน เพราะพระโสดาบันขึ้นไปนี่ถึงจะเรียกว่าเป็น “เสขบุคคล” เป็นนักเรียน พระอรหันต์เรียกอเสขบุคคล ไม่ต้องเรียน ส่วนเราเป็น “กัลยาณปุถุชน” เป็นปุถุชนที่ดี ปุถุชนแปลว่าหนา กิเลสหนานั่นแหละ ไม่ใช่อะไรหนานะ กิเลสหนา ไม่ใช่สมองหนา กะโหลกหนานะ กิเลสหนาหมายถึงว่ากิเลสนี่มีแรงมาก ลากจูงจิตใจเราไปลงนรก เราก็ยอมไปกับมันนะ เอาความหอมหวานมาหลอกมาล่อ

งั้นเราค่อยศึกษาไปนะ จนกระทั่งวันหนึ่งงานเสร็จแล้วนะ เสร็จแล้ว ใจไม่ไปหยิบฉวยอะไรอีกแล้ว มันพ้นทุกข์แล้ว มันเห็นนิพพานเต็มบริบูรณ์ต่อหน้าต่อตา นี่พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจที่ควรทำเนี่ยควรทำในอะไร ในสังสารวัฏนี่เอง

พวกเราที่เวียนว่ายในสังสารวัฏนะ เรามีงานหลักของเรานะคือทำตัวให้พ้นสังสารวัฏให้ได้นะ นี่คืองานหลักของเรานะ ไม่ใช่ร่อนเร่ไปในสังสารวัฏเวียนเกิดเวียนตายไปเรื่อยๆ งั้นงานไม่มีที่สิ้นสุดเลย

กิจที่ควรทำก็คือการข้ามภพข้ามชาตินั่นเอง ได้ทำเสร็จแล้วทำหมดแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มีอีก กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มีอีก เพราะตรงนี้ไม่มีอะไรจะต้องทำแล้ว กายกับใจเราคืนให้ธรรมชาติคืนให้โลกเขาไปแล้ว จิตใจจะมีแต่ความสุขนะ มีความสุขมีความสงบมีความเบิกบานถาวรอยู่อย่างนั้น จะหลับตื่นยืนเดินนั่งนอนมีแต่ความสุขล้วนๆ นะ เพราะว่าจิตใจไม่ถูกขยำขยี้ จิตใจของเราถูกปู้ยี่ปู้ยำนะ ปู้ยี่ปู้ยำด้วยตัวเองนี่แหละ

สวนสันติธรรม
CD: 16
File: 491116B.mp3
Time: 27.39 – 34.48

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

พอปล่อยวางแล้วธรรมทั้งหลายก็เป็นหนึ่งเดียวรวด

mp3 for download: พอปล่อยวางแล้วธรรมทั้งหลายก็เป็นหนึ่งเดียวรวด

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: คนทั่วๆไป ภายในภายนอกเป็นอันเดียวกันนั่นแหละ มันรู้สึกว่าจริงจังไปหมด ตัวเรากับโลกอันเดียวกัน พอเป็นผู้ปฎิบัติก็เริ่มแบ่งแยก โลกก็อยู่ข้างนอกสิ เราก็อยู่ตรงนี้ มาคอยรู้กายมาคอยรู้ใจอยู่ภายในนี่ ของภายนอกอยู่ต่างหาก

ฝึกไปเรื่อยๆจะเห็นเอง ร่างกายก็ยังเป็นของนอกๆอีกละ เวทนาก็ยังเป็นของนอกๆ กุศล อกุศลทั้งหลายก็ยังเป็นของนอกๆ อยู่ข้างนอกอีกละ มีชั้นนอกมีชั้นใน ภาวนาไปแล้วมีสองชั้นนะ มีข้างนอกข้างใน จะรู้สึกแตกต่างจากคนซึ่งภาวนาไม่เป็น

คนภาวนาไม่เป็นมีหนึ่ง มีหนึ่งคือเรา ผู้ปฏิบัติจะเห็นว่ามีสภาวธรรมหลายอัน มีข้างนอกมีข้างใน มีที่หยาบมีที่ละเอียด มีธรรมที่เป็นคู่ๆ

แต่พอภาวนาสุดขีดไปแล้วนะ เป็นอีกอย่างหนึ่งนะ เป็นอันเดียวรวดเลย แต่อันเดียวรวดแบบไม่มีเรา กลับข้างกับคนทั่วๆไปตรงนี้เอง คนทั่วๆไป มีหนึ่งเดียวรวดคือมีเรารวดเลย พอภาวนาถึงสุดขีดแล้ว ไม่มีข้างในไม่มีข้างนอกนะ พอมันปล่อยเสียอย่างเดียว ทุกอย่างก็รวมเข้าเป็นอันเดียวกันหมด

เหมือนอย่างนี้นะ หลวงพ่อถืออยู่ (มีเสียงปล่อยของหล่น) อย่างนี้หลวงพ่อไม่ได้ถือ ไม่ได้ถือ พอหลวงพ่อปล่อยแล้วทุกอย่างมันก็เหมือนกันหมด กลายเป็นว่าธรรมทั้งหลายก็เป็นหนึ่งเดียวรวด จิตก็เป็นหนึ่งเดียวรวด เรียกว่าจิตหนึ่งธรรมหนึ่ง ภาวนาไปนะก็จะเจอ จิตหนึ่ง ธรรมหนึ่ง วันที่เจอจิตหนึ่งธรรมหนึ่งนะ จะสะท้านสะเทือน “อย่างนี้ก็มีด้วยเหรอ?” มีความสุขอะไรขนาดนั้น ความสุขเหมือนธาตุขันธ์ของมนุษย์จะแตกสลาย มีแต่ความสุขล้วนๆเลย

ค่อยฝึกเอานะ ฝึกเอา แล้วจะมีความสุข จิตนะ กับโลก เป็นอันเดียวกันเลย ของเราตอนนี้เราแยกจิตกับโลกออกจากกัน รู้สึกมั้ย คนในโลกมันรวมเป็นก้อนเดียวกัน ของเราลงมือปฏิบัตินะ เราแยกจิตกับโลกออกจากกัน จิตมันตั้งมั่นมาเป็นผู้รู้ผู้ดูไปเรื่อยๆนะ เห็นโลกแสดงไป เห็นขันธ์ ๕ แสดงไป จิตเป็นคนดู

เมื่อภาวนาสุดขีดนะ สติปัญญาแก่รอบ เห็นแจ้งอริยสัจจ์ เนี่ย keyword อยู่ตรงเห็นแจ้งอริยสัจจ์ ตรงนี้เป็น key ของการปฎิบัติิเลย ถ้าไม่เห็นแจ้งอริยสัจจ์ ไม่พ้นทุกข์หรอก ถ้าเห็นแจ้งอริยสัจจ์นะมันจะสลัดคืน จิต คืนให้โลกไป ทุกอย่างก็เป็นอันเดียวกันรวดเลย

มันไม่ยากนะ ไม่ยากหรอก เมื่อไหร่หยุดความปรุงแต่งเมื่อนั้นก็เห็น แต่ใจของเรามีธรรมชาติปรุงแต่ง เนี่ย มันยากตรงนี้ ใจของเรามีธรรมชาติปรุงแต่ง พอใจเราปรุงแต่งเราก็ไปช่วยใจเราปรุงแต่งด้วย เลยไปกันใหญ่ ปรุงแต่งซ้อนปรุงแต่ง

ทีแรกจิตมันปรุงของมันเอง เท่านั้นไม่พอนะ เราไปช่วยมันปรุงด้วย ก็เลยยุ่งเหยิง ซับซ้อน เหมือนขยุ้มด้าย พระพุทธเจ้าบอกเหมือนขยุ้มด้ายนะ ด้าย มาก้อนหนึ่ง ขย้ำๆไป ไม่รู้เลยว่าต้นปลายอยู่ที่ไหน ยุ่งเหยิงไปหมดเลย ไม่ต้องไปสาวนะ ขว้างมันทิ้งไปทั้งขดนั่นแหละ ไม่ต้องไปหาเงื่อนต้นเงื่อนปลายมัน ขว้างมันทิ้งไป

ถ้าเรารู้แล้วไร้สาระ ก็โยนทิ้งไป ถ้าเห็นว่ามีสาระก็ยังยึดเอาไว้ ค่อยฝึกนะ วันหนึ่งจะรู้แจ้งเห็นจริง จะเลื่อมใสศรัทธาพระพุทธเจ้าสุดๆเลย มอบกายถวายชีวิตกันจริงๆเลย อัศจรรย์ในสิ่งที่ท่านค้นพบ ทำไมหนอท่านอัศจรรย์จริงๆท่านค้นพบของที่ธรรมดา ใครๆเขาก็ต้องหาของไม่ธรรมดาใช่มั้ย ต้องประเภท Unseen ถึงจะตื่นเต้น พระพุทธเจ้านะ เข้าใจถึงสิ่งที่เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตาทุกวันนั้นแหละ

สิ่งที่เราเห็นอยู่ต่อหน้าต่อตา ก็คือสิ่งที่เรียกว่า “ตัวเราๆ” นี้แหละ กายกับใจนี้ เข้าใจตัวนี้ ตัวเราไม่มี ตัวเราไม่มีนะ เราเห็นตัวเราไม่มี ก็หมดความเห็นผิดว่ามีตัวเรา เป็นพระโสดาบัน…

CD: สวนสันติธรรมแผ่นที่ ๒๕

file: 510426.mp3

ระหว่าง นาทีที่ ๗ วินาทีที่ ๒ ถึง นาทีที่ 11 วินาทีที่ 36

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การปฎิบัติในรูปแบบเป็นเครื่องช่วยไม่ให้ลืมตัวเอง

mp3 (for download) : ต้องทำในรูปแบบ มีวิหารธรรม จึงจะรู้สึกตัวได้บ่อยๆ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ลืมตัวเอง แล้วบอกว่ารักตัวเอง ลืมตัวเองบ่อยที่สุดแล้วเมื่อไรจะรู้เรื่องของตัวเอง เรามาเรียนเรื่องตัวเองให้ได้นะ เพราะฉะนั้นอย่าลืมตัวเองนาน คอยรู้สึกกายคอยรู้สึกใจบ่อยๆ

ทำอย่างไรจะรู้สึกได้บ่อยๆ มีวิธีนะ มีเครื่องช่วย ต้องซ้อมรู้สึก ทุกวันๆ นะ พยายามซ้อมไว้ หากรรมฐานมาทำสักอันหนึ่งก่อน จะพุทโธก็ได้ ใครถนัดพุทโธก็เอาพุทโธ คำว่าถนัดพุทโธหมายถึงพุทโธแล้วสบายใจ พุทโธแล้วใจสงบร่มเย็น เอ้า พุทโธ ใครถนัดลมหายใจแล้วจิตใจ..(เสียงระฆัง) ฟังเสียงระฆังแล้วดูสิ จิตไหวไหม รู้สึกไหม มีความไหวไหม ไม่สำคัญนะ ไม่ใช่ต้องไปนั่งฟังอะไรแล้วดูไหวๆ ให้ความรู้สึกมันเกิดแล้วค่อยรู้เอา เพราะฉะนั้น คนไหนถนัดรู้ลมหายใจนะ ก็รู้ลมหายใจไป รู้ไปแล้วมีความสุขนะ รู้ไปสบายๆ รู้ไปแล้วจิตใจเป็นอย่างไรก็คอยรู้ทันเอานะ นี่คอยฝึกอย่างนี้ บางคนดูท้องพองยุบก็ได้ กรรมฐานทั้งหลายนั้นเสมอภาคกันนะ ไม่ใช่ว่าหลวงพ่อบอกกรรมฐานอันนี้ดี กรรมฐานอันนี้เลว ไม่ใช่ กรรมฐานของแต่ละคนไม่เหมือนกันหรอก ทางใครทางมัน

ของเราถนัดพุทโธเราพุทโธ ถนัดสัมมาอรหังได้ไหม ได้ ทำไมจะไม่ได้ เหมือนกันนั่นเอง ถนัดนะมะพะทะได้ไหม นะมะพะทะก็ได้ แต่อย่าไปนะมะเลียะพะนะ คอยรู้สึกนะ รู้สึกๆ ทำกรรมฐานขึ้นมาอันหนึ่งก่อน ไปเดินจงกรมก็ได้ เดินจงกรมแล้วจิตขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวคอยรู้สึกนะ ทำกรรมฐานขึ้นมาอันหนึ่งก่อน สวดมนต์ก็ได้ อรหังสัมมา สัมพุทโธ ภควา ใจหนีแว๊บไป ภควาแล้วหนีไปที่อื่นเลย หนีไปตั้งหลายวานะ รู้ทันอีกจิตหนีไปแล้ว แล้วมานึกต่อ เมื่อกี้ถึงไหน บางคนสวดด้วยไขสันหลัง สวดจนชินนะ สวดๆๆ จนจบชินบัญชรแล้ว ลืมตัวตลอดเวลาเลย ก็มีนะ ไม่ใช่ไม่มี สวดด้วยไขสันหลังนะมันชำนาญ

เพราะฉะนั้น เราทำกรรมฐานขึ้นมาอันหนึ่งก่อนนะ เพื่อเป็นเครื่องสังเกตจิต จิตเราไปอยู่ที่กรรมฐานอันนี้เราก็รู้ทัน จิตหนีจากกรรมฐานนี้เราก็รู้ทัน จิตรู้กรรมฐานอันนั้นแล้ว จิตเป็นสุข จิตเป็นทุกข์ จิตเกิดกุศล จิตเกิดอกุศล เราก็คอยรู้ทันจิตไปเรื่อยๆ นี่เป็นวิธีที่ง่ายๆ นะ จะได้ทั้งสมาธิได้ทั้งปัญญา เราหัดสวดไปนะ สติก็ได้นะ อย่างสมมุติเราหัดสวดมนต์ไป หรือหัดดูท้องพองยุบ หัดเดินจงกรม รู้อิริยาบถสี่ หัดดูลมหายใจ หัดบริกรรมนะ ทำมาอันหนึ่งก่อนที่เราถนัด บางคนถนัดหลายอย่างรวมกัน หายใจไปพุทโธไปด้วย ทำได้ไหม ก็ทำได้ มีเครื่องอยู่ที่จิตใจเราคุ้นเคยไว้อันหนึ่งนะ ที่อยู่แล้วสบาย แล้วพอจิตมันวิ่งไปที่เครื่องอยู่อันนั้นเราก็รู้ จิตมันลืมเครื่องอยู่อันนั้นเราก็รู้ นี่ฝึกอย่างนี้บ่อยๆ

อย่างหลวงพ่อนะ หลวงพ่อถนัดรู้ลมหายใจ ฝึกมาแต่เด็ก ฝึกลมหายใจนะ หายใจออก หายใจเข้า แต่เดิมหายใจเข้า หายใจออกนะ หายใจเข้า-พุท หายใจออก-โธ ฝึกอย่างนี้แหละ เข้าพุทออกโธไปเรื่อย แล้วทำไม่เป็นแล้ว ทำได้แค่นั้น จนมาเจอหลวงปู่ดูลย์นะ ท่านสอนให้ดูจิต ต่อมาบางวันเราเหนื่อยๆ ขึ้นมา เราหายใจนะ แล้วมันดูจิตประกอบไปด้วย เลยรู้วิธีนี้ทำให้จิตมีแรง เช่น เราหายใจไป หายใจไปเรื่อยนะ จิตวิ่งไปเกาะลมหายใจแล้ว เรารู้ทันว่าจิตไปเกาะลมหายใจ หายใจไปๆ นะ จิตฟุ้งซ่าน ลืมลมหายไปแล้ว รู้ทันว่าจิตฟุ้งซ่าน หายใจไปแล้วจิตมีปิติ รู้ว่าจิตมีปิติ หายใจแล้วจิตมีความสุข รู้ว่าจิตมีความสุข หายใจแล้วจิตมีอุเบกขา ไม่สุขไม่ทุกข์ขึ้นมา รู้ว่าจิตมีอุเบกขา หายใจแล้วก็รู้ทันจิตไปเรื่อยๆ นะ

คนไหนถนัดพองยุบก็ดูพองยุบแล้วรู้ทันจิตนะ คนไหนถนัดบริกรรมก็บริกรรมแล้วก็รู้ทันจิต ฝึกอย่างนี้นะ อย่างน้อยฝึก แต่ละวันแบ่งเวลาฝึกแบบนี้ไว้บ้าง ถ้าทำได้ทั้งวันดีที่สุดเลย แต่ถ้าทำไม่ได้ก็แบ่งเวลาไว้ช่วงหนึ่ง สิบนาที สิบห้านาที ก็ยังดีกว่าไม่ทำเลยนะ ซ้อมอย่างนี้ทุกวัน การที่เราคอยเห็นจิตไหลไปทางนี้ จิตไหลไปทางนี้นะ จิตสุขจิตทุกข์ จิตดีจิตชั่ว จิตปิติ จิตอย่างโน้นจิตอย่างนี้ รู้ทันไปเรื่อยนะ สติมันจะไวขึ้น เพราะจิตมันจะจำสภาวะได้แม่นแล้วสติจะไว เรารู้ทันอย่างนี้นะ สติก็จะเกิดไวขึ้น

เรามีอารมณ์กรรมฐานอันหนึ่ง แล้วเรารู้ทันจิตเป็นเรื่อยๆ จิตเคลื่อนไปเรารู้ทัน เคลื่อนไปเรารู้ทัน จิตจะค่อยๆ ตั้งมั่นขึ้นมา ทำกรรมฐานอันนี้แหละก็จะมีสมาธิขึ้นมาด้วย จิตจะสงบ จิตจะตั้งมั่นขึ้นมานะ พอจิตสงบ จิตตั้งมั่นขึ้นมาแล้ว เป็นผู้รู้ผู้ดูนะ เราก็จะเห็นเลย ร่างกายหายใจนะ ส่วนหนึ่งนะ จิตเป็นคนดู เริ่มเดินปัญญาแล้ว แยกกายแยกใจแล้วนะ หรือเห็นว่าจิตมีปิติ ปิติไม่ใช่จิตหรอก ปิติเป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า ปิติกับจิตคนละอันกัน พอมีความสุขเกิดขึ้น ก็เห็นอีกความสุขกับจิตก็คนละอันกัน ความสงบกับความฟุ้งซ่านก็ไม่ใช่จิตอีก

เฝ้ารู้ลงไปนะ มันจะค่อยๆ แยกขันธ์ไปเรื่อย แยกกายกับใจ แยกกายกับจิตนะ แยกเวทนากับจิต แยกกุศลอกุศล ความปรุงแต่งทั้งหลาย กับจิต ค่อยๆ แยกไปเรื่อย นี่คือการที่ฝึกเดินปัญญานะ เพราะฉะนั้น เราทำกรรมฐานสักอันหนึ่งก่อน แล้วก็รู้ทันจิตเป็นเรื่อยนะ จะได้ทั้งสติ ได้ทั้งสมาธิ แล้วก็เป็นฐานเบื้องต้นที่จะทำให้เกิดปัญญา เพราะจิตที่มีสมาธิแล้วนั่นแหละ ถึงจะเกิดปัญญา จิตที่ไม่มีสมาธิจะไม่มีปัญญา จำไว้นะ แต่สมาธิต้องเป็นสัมมาสมาธิ ไม่ใช่สมาธิลืมเนื้อลืมตัว ไม่ใช่สมาธิโงกๆ เงกๆ อะไรอย่างนั้น

เราค่อยฝึกนะ ให้การบ้านทุกๆ คนไปฝึกเอา แบ่งเวลาไว้ส่วนหนึ่ง ในวันหนึ่งๆ นะ สิบนาที สิบห้านาทีอะไรก็ได้ เบื้องต้นเอาเท่านี้ก่อน ก็ยังดี ดีกว่าไม่เอาเลย เอาสักสิบนาทีก็ได้ พุทโธไป หายใจไป ดูท้องพองยุบไป เดินจงกรมไป ทำในรูปแบบนั้นแหละ แล้วก็คอยรู้ทันจิตไปเรื่อยๆ ต่อไปจิตจะรู้สภาวะได้แม่นนะ สติเกิดเร็วขึ้นๆ แล้วจิตพอเลื่อนไปปุ๊บ พอรู้ทันจิตก็ตั้งมั่น สมาธิก็เกิดง่ายขึ้นๆ โดยที่ไม่ได้บังคับนะ พอจิตมีสมาธิมันจะเห็นเลย กายอยู่ส่วนหนึ่ง เวทนาอยู่ส่วนหนึ่ง สังขารอยู่ส่วนหนึ่ง จิตอยู่ส่วนหนึ่ง ขันธ์กระจายออกไปนะ แต่ละอันไม่มีเราขึ้นมาแล้ว นี่เป็นการเดินปัญญา ไปทำเอานะ แล้วต่อไปก็เพิ่มเวลาขึ้นทีละหน่อยๆ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒

CD สวนสันติธรรมแผ่นที่ 33
file :
ระหว่างนาทีที่ ๒๑ วินาทีที่ ๔๖ ถึงนาทีที่ ๒๘ วินาทีที่ ๓๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

พอมีสติแล้วกิเลสเท่านั้นที่ดับ ถ้าไม่ใช่กิเลสก็ไม่ดับ

mp 3 (for download) : พอมีสติแล้วกิเลสเท่านั้นที่ดับ ถ้าไม่ใช่กิเลสก็ไม่ดับ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

สวนสันติธรรม
CD: 22
File: 500902.mp3
Time: 52.15 – 53.11

โยม: คือช่วงประมาณ 20 นาทีที่แล้ว รู้สึกง่วงเหงาหาวนอน  ซึม ๆ

หลวงพ่อปราโมทย์: อืม..อาหารมันย่อยแล้วล่ะ

โยม: แต่คือรู้นะคะ  แต่มันดับยากจัง  มันไม่มีกำลัง

หลวงพ่อปราโมทย์: ไม่ใช่ฝึกให้ดับนะ ฝึกให้รู้ตามที่มันเป็น อย่างร่างกายเรา  สมมุติว่าเรากินข้าวแล้วมันซึมไปนี่นะ  ให้รู้ว่าซึม  ไม่ใช่ให้อยากหายซึมนะ   ถ้าอยากหายซึมแล้วพยายามฝืน ๆ เดี๋ยวจะปวดหัว    มันซึมรู้ว่าซึมไป

โยม: คือ  ถ้าเรารู้ทันก็ไม่ใช่ว่ามันจะดับทันทีใช่ไหมคะ

หลวงพ่อปราโมทย์: ถ้าเป็นเรื่องทางกายไม่ดับ

โยม: ถึงว่าสิคะ

หลวงพ่อปราโมทย์: ถ้าเป็นเรื่องทางใจ  ทีี่เป็นกิเลสถึงจะดับ   ถ้าไม่ใช่กิเลสก็ไม่ดับ   อย่างจิตใจเรามีความสุขนี่  ฟังธรรมะแล้วมีความสุขเราก็รู้อยู่อย่างนี้   ความสุขไม่จำเป็นต้องหายเพราะความสุขเป็นเวทนา  อยู่ในเวทนาขันธ์  ไม่ใช่กิเลส    เฉพาะกิเลสเท่านั้นล่ะที่พอมีสติแล้วมันดับ


เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สัปปายะสี่

mp 3 (for download) : สัปปายะสี่

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

http://www.dhammada.net/wp-content/uploads/2010/07/500314-sappaya-dd.mp3

โยม: สังเกตอย่างหนึ่งค่ะหลวงพ่อว่า การทำกิจกรรมบางอย่าง หรือว่าการกินอาหารอะไรบางอย่างอะไรพวกนี้ มันมีผลกับการเกิดสติบ่อยหรือไม่บ่อยด้วยหรือคะหลวงพ่อ

หลวงพ่อปราโมทย์:
แล้วกินอะไรเกิดสติล่ะ

โยม: คือหนูสังเกตว่า ถ้ากินอาหารที่มันหนักมากๆเนี่ย มันก็จะทำให้โมหะมัน กิเลสมันเกิดง่ายกว่า

หลวงพ่อปราโมทย์: อ๋อ นั่นมันหลักวิชาการแพทย์ธรรมดานะ เลือดมันไปเลี้ยงกระเพาะหมด

โยม: อย่างนี้เราไม่สามารถจะทำให้สติเกิดได้ บังคับไม่ได้ แต่เราจัดปัจจัยที่กระตุ้น เกื้อหนุนสติได้

หลวงพ่อ: ได้ มันเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยกับการมีสติ เพราะฉะนั้น อย่างการภาวนาจะดีไม่ดีอย่างนี้ อาหารสัปปายะมั้ย สำคัญ เรื่องอาหารมีส่วนเกี่ยวข้องนี่พระพุทธเจ้าก็สอนมาตั้งแต่นู้นแล้ว

อาหารที่ไม่สัปปายะ บางคน ทานอาหารอย่างนี้แล้วภาวนาไม่ไหว บางคนถ้าไปทานอาหารไม่ถูกน่ะนะ ไม่เข้าถึงธรรมเลยก็มีนะ ในธรรมบทพูดถึง มีพระกลุ่มหนึ่งภาวนาอย่างไรก็ไม่ได้ แล้วอุบาสิกาผู้รู้วาระจิต พิจารณาดูว่าทำไมพระไม่บรรลุเสียที พบว่าอาหารไม่สัปปายะ ก็หาอาหารที่สัปปายะกับพระแต่ละองค์ แต่ละองค์ไปให้ ท่านก็บรรลุทั้งหมดเลย ประมาณ 60 องค์

ที่อยู่ก็ต้องสัปปายะนะ ที่อยู่ ก็ บางที่ภาวนาไปแรกๆดี พออยู่ไปนานๆแล้วจิตใจเฉื่อยชาอย่างนี้ ไม่ดี หรือที่ๆกำลังก่อสร้าง วุ่นวายไม่ดี ที่เก่ามากต้องซ่อมละ เนี่ยไม่ดี

บุคคลต้องสัปปายะ ต้องมีกัลยาณมิตร ไปอยู่กับเพื่อน นักปฏิบัติที่กวนประสาทนะ วันๆก็เครียดอยู่ใกล้กับพวกเครียดๆ ก็เครียดตามไปด้วย บุคคลไม่สัปปายะ

ธรรมะต้องสัปปายะ ธรรมะที่เราใช้สำหรับเราต้องเหมาะกับเรา ไม่ใช่ไปลอกแบบการปฎิบัติของคนอื่นเขา

เพราะฉะนั้นสัปปายะ ๔ อย่างนี้ จำเป็นนะ เป็นเงื่อนไขที่จำเป็นในการปฏิบัติของเรา เราก็อาศัยการสังเกตเอา ว่าเราทำอะไรแล้วสติ สัปชัญญะเกิดบ่อยเราเอาอันนั้น เราอยู่ใกล้คนนี้แล้วสติเกิดบ่อยเราก็ไปอยู่ใกล้คนนี้ ถ้าเราไปอยู่ใกล้เขาแล้วเราสติเกิดบ่อย แต่เขาสติพังพาบไปเลยนะ ก็ต้องสงสารเขาเหมือนกัน บางคนไปลากเขาเสีย ตัวเองดีขึ้น

หรืออาหาร บางท่านอดอาหารแล้วภาวนาดี ท่านก็อดกันทีนึงหลายๆวัน บางท่านก็ต้องทานข้าวก่อนแล้วภาวนาดี ต้องดูเอา

บางท่านก็ชอบอยู่ในถ้ำ มีน้องของหลวงพ่อคนหนึ่ง เหมือนกับพี่น้องกันนะ ความจริงไม่ได้เป็นญาติอะไรกันหรอก คือ อ๋องน่ะ ที่สัปปายะของอ๋องนะคือที่มืดๆทึบๆอับๆ แล้วภาวนาดี ชอบแบบอยู่ในถ้ำอยู่อะไรอย่างนี้ บวชอยู่ในกรุงเทพฯนะ ไม่มีถ้ำให้อยู่ ไปอยู่ในโบสถ์ โบสถ์วัดโสมฯน่ะ โบสถ์เขาไม่โตนะโบสถ์เล็กๆ ปิดประตูหน้าต่างเรียบเลยนะ กลางวันนะร้อน อบแบบคล้ายๆห้องซาวน่าอย่างนั้นแหละ อย่างนั้นภาวนาดี

อย่างหลวงพ่อที่อยู่ที่โล่งๆ ที่กว้างๆโล่งๆ แล้วก็ภาวนาดี นี้เราต้องดูตัวเราเอง

เวลาก็มีส่วนนะ ต้องสังเกตเอา บางคนภาวนาดีตอนเช้า บางคนตอนสาย ตอนบ่าย ตอนเย็น ตอนค่ำ ตอนดึก

อย่างหลวงพ่อหัดภาวนาแรกๆนะสังเกตเลย ซักสี่โมงเย็นไปแล้วจะภาวนาดี อาจจะเพราะเลิกงานก็ได้นะ มันใกล้เวลาเลิกงานแล้ว จิตใจเลยตัดเรื่องงานทิ้งเลย พอเลิกงานปุ๊บดูลูกเดียวเลย แล้วจะดูอย่างขยันขันแข็ง แล้วพอค่ำพอดึกนี่นะ มันเหนื่อยจากการทำงานทั้งวันแล้ว เป็นฆราวาสมันเหนื่อย มันดูไม่ค่อยจะไหวแล้ว ตอนค่ำตอนดึกอย่างนี้

เพราะฉะนั้นมาช่วงเวลาที่สดใสอยู่ไม่นาน ตอนเช้าสดใสจริงนะ แต่ต้องตาลีตาลานไปทำงาน แย่งชิงกันใช้ถนนใช้รถ เพราะฉะนั้นช่วงที่ปลอดโปร่งจริงๆนะ กลายเป็นช่วงเย็นๆเลิกงานแล้วหมดธุระ หมดภาระ มีช่วงเวลานิดเดียวเท่านั้นล่ะ ตอนนั้นเป็นนาทีทองของเรานะ

เพราะฉะนั้นเราต้องสังเกตตัวเอง อะไรที่ทำแล้วเกื้อกูลให้เกิดสติ ก็เอาอันนั้น อย่าไปลอกแบบกัน หลวงพ่อเลยไม่ชอบจัดคอร์สนะ จัดคอร์สมันบังคับทุกคนให้ทำในสิ่งเดียวกัน เหมือนๆกัน พร้อมๆกัน

ถ้ามันไม่ถูกจริตมันทำไปก็เหนื่อยเปล่า หรือเหนื่อยมาก ได้ผลน้อย อย่างคนนี้เป็นเวลานี้เขาควรจะเดิน พาเขานั่ง เพราะทุกคนจะต้องนั่ง ตอนนี้เป็นเวลาที่เขาควรจะหลับแล้ว ก็เรียกเขาให้ฟังธรรมะ อะไรอย่างนี้

คือ จริตนิสัยคนไม่เหมือนกัน บางคนไม่ถนัดเดินเลยก็ได้ ถนัดนั่งลูกเดียวเลย บางคนไม่ถนัดนั่งเลย นั่งแล้วหลับ ต้องเดิน เนี่ยต้องศึกษานะ ต้องสังเกตตัวเองเอา แต่เคสที่ถนัดนอนเนี่ย มีคนเดียว มีองค์เดียว ท่านภาวนาด้วยการนอน หลวงพ่อจำชื่อท่านไม่ได้ เป็นรุ่นผู้ใหญ่แล้วลูกศิษย์หลวงปู่มั่น อยู่ทางศรีสะเกษ ท่านภาวนาท่านถนัดนอน เราต้องดูตัวเอง อย่าไปลอกแบบใคร ทางใครทางมัน

แต่คำว่าทางใครทางมันเนี่ย ในหลักของการปฎิบัตินะ ต้องเป็นอันเดียวกัน คือหลักที่พระพุทธเจ้าสอน

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๙
File: 5oo314.mp3
Time: นาทีที่ ๐ วินาทีที่ ๑๕ ถึง นาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๓๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ไตรลักษณ์ของกายใจเป็นอย่างไร

mp3 (for download) : ไตรลักษณ์ของกายใจ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : นี่เราหัดภาวนานะ ลงมาดูที่กายที่ใจไปเรื่อย ถ้าดูเป็น เราจะเห็นความจริงของกายของใจ  ความจริงของเขาคือ “ไตรลักษณ์”

กายนี้ไม่เที่ยง กายนี้ทนอยู่ได้ไม่นานหรอก กายนี้เป็นก้อนธาตุ ไม่ใ่ช่ตัวเรา เป็นวัตถุ เป็นแค่เศษธุลีเล็กๆ เทียบกับโลก เทียบกับจักรวาลแล้วเล็กนิดเดียว   ใครเคยชอบไปเที่ยวทะเลเที่ยวภูเขาบ้าง? เคยไหม? รู้สึกไหม ตัวเราเล็กนิดเดียว ไปดูแล้ว ต่ำต้อยด้อยค่า นิดเดียวเอง แต่ความสำคัญตัวมันใหญ่ เราเลี้ยงความสำคัญตัวมานาน สะสมความเห็นผิดมานาน

เรามาหัดภาวนา มารู้สึกอยู่ในกาย มารู้สึกอยู่ในใจ  วันนึงเห็นความจริงของเขา กายมันไม่เที่ยงนะ กายมันเป็นทุกข์ กายมันเป็นวัตถุ เป็นก้อนธาตุ ไม่ใช่ตัวเราหรอก

จิตใจก็ไม่เที่ยง จิตใจที่มีความสุข อยู่ชั่วคราวแล้วก็หายไป  จิตใจที่มีความทุกข์ อยู่ชั่วคราวแล้วก็หายไป จิตใจที่เฉยๆ อยู่ชั่วคราวแล้วก็หายไป จิตใจที่โลภที่โกรธที่หลงอยู่ชั่วคราวแล้วก็หายไป จิตใจที่สงบที่มีปิติ มีคุณงามความดีทั้งหลายอยู่ชั่วคราวแล้วก็หายไป หรือกระทั่งจิตใจที่มีศรัทธา ศรัทธาก็อยู่ชั่วคราว รู้สึกไหม? ความเพียรก็อยู่ชั่วคราว รู้สึกไหม? เดี๋ยวก็เพียร เดี๋ยวก็ไม่เพียร เดี๋ยวก็ศรัทธา เดี๋ยวก็ไม่ศรัทธา สติก็อยู่ชั่วคราว รู้สึกไหม?

เดี๋ยวก็มีสติ เดี๋ยวสติแตก สติหายไปตั้งเป็นเดือนเลยก็มี  สมาธิก็ชั่วคราวใช่ไหม เดี๋ยวก็ตั้งมั่น เดี๋ยวก็ฟุ้งซ่าน ส่วนใหญ่ฟุ้งซ่าน สมาธิอยู่แว๊บๆ ทนอยู่ไม่นานก็หายไปเอง  มีปัญญาเห็นความจริงของกายของใจ นานๆ มีทีนึง  ภาวนาไปนี่ มีสติมีเรื่อยๆได้ แต่มีปัญญานี่ นานๆ มันจะเกิดครั้งหนึ่ง

มันทุกอย่างเลยนะ ทั้งที่เป็นกุศล ทั้งที่เป็นอกุศล ทั้งที่เป็นสุข ทั้งที่เป็นทุกข์ มันอยู่ชั่วคราว เดี๋ยวมันก็หายไป

จิตที่ไปดูรูป จิตที่เกิดที่ตา จิตไปดูรูป  จิตที่ฟังเสียง จิตที่ดูรูปอยู่ชั่วคราวแล้วก็หาย จิตที่ฟังเสียงอยู่ชั่วคราวแล้วก็หาย จิตที่คิดอยู่ชั่วคราวแ้ล้วก็หาย  ลองดูซิ เวลานั่งฟังหลวงพ่อพูด บางทีก็มองหน้าหลวงพ่อ รู้สึกไหม? มองแว๊บนึง แล้วหน้าหลวงพ่อก็เบลอๆ ไป  บางทีก็ตั้งใจฟัง ตั้งใจฟังได้สองสามคำ ประโยคนึง สองประโยค ก็ไปคิดทีนึง  ฟังไปคิดไป ฟังไปคิดไป  จิตที่ไปฟัง อยู่ชั่วคราวแล้วก็หาย จิตที่ไปคิด อยู่ชั่วคราวแล้วก็หาย  จิตที่ไปดู อยู่ชั่วคราวแล้วก็หาย

นี่เรามาเฝ้าดูของจริงนะ เห็นแต่ของไม่เที่ยง มีแล้วก็ไม่มี มีแล้วก็ไม่มี ไม่ว่าจะเป็นจิตที่สุข ที่ทุกข์ ที่ดี ที่ชั่ว หรือจิตที่ไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทุกอย่างเป็นของชั่วคราวหมด มันทนอยู่ในภาวะอันใดอันหนึ่งไม่ได้ ทนอยู่ไม่ได้ เรียกว่าเป็น “ทุกข์”

แล้วมันจะไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ หรือมันจะสุข หรือมันจะทุกข์ หรือมันจะดี หรือมันจะชั่ว เราสั่งไม่ได้ เราลองสั่งจิตเราซิ วันนี้ลองสั่งนะ  ลองทดสอบดู สั่งลงไปเลย วันนี้ห้ามโกรธ ห้ามขัดใจ ทำได้ไหม? ใครทำได้นะ เพื่อนข้างๆ ลองด่าดูทีนึง   จิตจะโกรธ ห้ามได้หรือเปล่า? ห้ามไม่ได้  จิตจะโลภ ก็ห้ามไม่ได้  จิตจะสุข จิตจะทุกข์ ก็สั่งไม่ได้  มันมีเหตุแล้วมันก็เกิด มันไม่มีเหตุ มันก็ไม่เกิดหรอก

สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุ ไม่ใช่ตามที่เราสั่ง  การที่สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุ ไม่ใช่ตามที่เราสั่ง นี่เรียกว่า “อนัตตา” ไม่ใช่สิ่งทั้งหลายไม่มีเลย  พวกเราชอบแปลอนัตตา ว่า “ว่างเปล่า”  อันนั้นมัน “สุญญตา” ไม่ใช่อนัตตา

“อนัตตาหมายถึง มันไม่อยู่ในอำนาจบังคับจริงๆ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าตัวตนถาวรจริงๆ  มีหลายนัย คำว่าอนัตตา  รวมความก็ืคือ สิ่งทั้งหลาย ถ้ามีเหตุมันก็มีขึ้นมา  ถ้าไม่มีเหตุ มันก็ไม่มี มันเป็นไปโดยเหตุ ไม่ใช่เป็นเพราะเราสั่ง

อย่างจิตจะโกรธ ก็มีเหตุให้โกรธ เช่น ต้องกระทบอารมณ์ที่ไม่ดี มันถึงจะโกรธ  ถ้ากระทบอารมณ์ดีๆ มันก็ไม่โกรธ   พอกระทบอารมณ์แล้ว ก็ต้องมีการตัดสินอารมณ์ด้วย ต้องคิดนิดนึงก่อน ถึงจะโกรธ  แล้วก็ต้องมีพื้นฐาน เป็นคนชอบโกรธ  มีอนุสัยขี้โกรธสะสมมา พออนุสัยขี้โกรธมีอยู่แล้ว พอกระทบอารมณ์ที่ไม่ดี มันผุดกิเลส ผุดโทสะขึ้นมาเลย  นี่ทุกอย่างมันเป็นไปด้วยเหตุทั้งหมดเลย ไม่มีอะไรที่เกิดโดยไม่มีเหตุ  สิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุ ถ้าเหตุดับ สิ่งนั้นก็ัดับ  พระอัสสชิสอน พระสารีบุตรสอน อย่างนี้ สอนอุปติสะ  อุปติสสะฟังแล้วเป็นพระโสดาบัน

สิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุ พระตถาคตเจ้าแสดงเหตุแห่งธรรมนั้น และแสดงความดับไปแห่งธรรมนั้น  พระตถาคตเจ้ามีปกติกล่าวอย่างนี้ สอนอย่างนี้ืเนืองๆ  สิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุ

นี่เราเฝ้าดูลงไป ไม่ใช่ตัวตนถาวร ไม่ใช่สิ่งที่บังคับได้  ดูลงมาในกาย ความจริงของมันก็อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา   ดูลงในจิต ก็อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

อนัตตาของกาย ดูไป มันไม่ใช่ตัวเราหรอก เป็นวัตถุ เป็นก้อนธาตุ อย่างนี้ ดูง่ายๆ

อนัตตาของจิต ดูซิ บังคับมันไม่ได้หรอก  มันเป็นไปตามเหตุ

เฝ้ารู้ เฝ้าดูอย่างนี้นะ  วันนึงก็เห็นความจริงเลย มันไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่าตัวตนถาวร หรือตัวตนที่แท้จริง  เราสั่งไม่ได้ตลอดเวลาหรอก  นี่เฝ้าดูลงมาที่กาย เฝ้าดูลงมาที่ใจ เพื่อวันนึงจะได้เห็นความจริง คือไตรลักษณ์

CD สวนสันติธรรมแผ่นที่ 33

521211

3.20 – 9.13

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ไม่มีใครทำจิตให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้ จิตเขาบรรลุของเขาเอง

ไม่มีใครทำจิตให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้ จิตเขาบรรลุของเขาเอง

ไม่มีใครทำจิตให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้ จิตเขาบรรลุของเขาเอง

mp 3 (for download) : ไม่มีใครทำจิตให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้ จิตเขาบรรลุของเขาเอง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ :

ใจเราอยากให้หาย ทำไมใจเราอยากให้หาย เพราะมันอยากดี อยากสุข อยากสงบ จิตใต้สำนึกนี้มันรักตัวเอง มันรักกาย รักใจนี้เหนียวแน่น คิดว่ากายกับใจเป็นเราเหนียวแน่นมาก อยากให้ดี อยากให้สุข อยากให้สงบ แล้วหาทางทำ มีความอยากเกิดขึ้น กับมีความหลงผิดว่ากายกับใจเป็นเรา ก็ไปหลงรักมันเข้า ไปยึดถือมันเข้า เสร็จแล้วก็เลยอยาก เกิดตัณหา เกิดอยากให้มันดี อยากให้มันสุข อยากให้มันสงบ เกิดการกระทำกรรมการสร้างภพ กำหนดโน้นกำหนดนี้หาทางแก้ไขหาทางรักษาไปเรื่อย สิ่งที่เกิดขึ้นมา คือ ทุกข์นั่นเอง ทุกข์แต่เกิด คือ อวิชชามีอยู่ ไม่รู้ความจริงของกายของใจ คิดว่าเป็นตัวเรา ยึดถือเหนียวแน่นว่าเป็นเรา ก็เกิดตัณหา มีอวิชชาก็เลยมีตัณหาขึ้นมา อยากให้ตัวเรามีความสุข อยากให้ตัวเราสงบ อยากให้ตัวเราดี อยากให้ตัวเราพ้นทุกข์ อยากให้ตัวเราบรรลุมรรคผลนิพพาน มีแต่คำว่า อยาก กับคำว่า ตัวเรา พอมีความอยากเกิดขึ้นจิตใจก็ดิ้นรนทำงาน ทำอย่างนี้น่าจะดีๆ ทำอย่างนี้น่าจะไม่ดี จิตใจจะทำงานดิ้นไปเรื่อยๆ

จิตใจที่ทำงาน จิตใจที่ดิ้นรน จิตใจที่เกิดภาระทางใจขึ้นมา มีความทุกข์ขึ้นมา ความทุกข์ทางใจก็เกิดเพราะว่าใจมันดิ้น พอยิ่งดิ้นแล้วก็ทุกข์นะ พอทุกข์ก็ยิ่งดิ้นอีก อยากให้หาย นี้เข้าวงจรของมัน ยิ่งดิ้นก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งทุกข์ก็ยิ่งดิ้นนะ ใครๆก็พยายาม ทำอย่างไรมันจะดี ทำอย่างไรมันจะสุข ทำอย่างไรจะสงบ ดิ้นไปเรื่อยๆน่าสงสารนะ แต่ถ้าเมื่อไหร่ละความเห็นผิดได้ ละอวิชชาได้ ตัณหาจะดับเอง ละความเห็นผิดในว่ากายกับใจเป็นตัวเรา เป็นตัวดีตัววิเศษนะ

พวกเราไม่สามารถจะเห็นกายเห็นใจเป็นตัวทุกข์ได้ ไม่ใช่ภูมิที่พวกเราจะเห็นได้ สิ่งที่พวกเราเห็นได้ขณะนี้ก็คือ กายนี้เป็นทุกข์บ้างเป็นสุขบ้าง จิตนี้เป็นทุกข์บ้างเป็นสุขบ้าง เห็นได้แค่นี้แหล่ะนะ เกินกว่านี้เห็นไม่เป็น เห็นไม่ได้ รู้ไม่ได้ด้วยใจ ตราบใดที่ยังเห็นว่า กายเป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้าง จิตเป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้าง มันก็ยังมีการดิ้นรนต่อไปอีก เรียกว่า ตราบใดไม่รู้ว่ากายกับใจเป็นทุกข์ล้วนๆ เรียกว่า ไม่รู้ทุกข์นะ ตัณหา คือ ตัวสมุทัยก็ยังมีอีก ใจมันดิ้นหาความสุข ดิ้นหนีความทุกข์ไปเรื่อยๆ เพราะยังมีทางเลือกอยู่ ถ้ามารู้กายรู้ใจมากเข้าๆ วันหนึ่งรู้แจ้งแทงตลอดลงในขันธ์ ๕ ในกายในใจ ในรูปในนามอันนี้ นี่ทุกข์ล้วนๆนะ เห็นเป็นทุกข์ล้วนๆเลย มันไม่เที่ยงมันเป็นทุกข์ล้วนๆเลย มันไม่ใช่ตัวเราเลย ใจจะวาง มันจะไม่อยากให้กายนี้ใจนี้มีความสุขอีกต่อไปแล้ว เพราะกายนี้ใจนี้ทำอย่างไรก็ไม่สุขหรอก มันเป็นตัวทุกข์ ทุกข์ล้วนๆ มันรู้ด้วยปัญญาแล้วทำให้สุขไม่ได้ พอรู้ว่าทำให้สุขไม่ได้ มันจะวางจะปล่อยวาง แต่ถ้ายังมีทางเลือก มีสุขกับมีทุกข์ มันจะเลือกเอาสุขจะเลือกหนีทุกข์ ใจก็ดิ้นไปเรื่อยๆ

นั้นอยู่ที่ความเข้าใจของเรานี่เอง ถ้าเมื่อใดเราสามารถเข้าใจรูปนามกายใจ ขันธ์ ๕ อะไรของเรานี้ ว่ามันไม่เที่ยงนะ มันเป็นตัวทุกข์แท้ๆนะ มันบังคับไม่ได้ มันไม่ใช่ตัวเราหรอก เป็นสิ่งที่อาศัยเกิดขึ้นมาชั่วคราวแล้วก็แตกสลายไป ทั้งรูปทั้งนามเป็นอย่างนี้แล้ววาง ใจจะหมดความดิ้นรน เรียกว่า ตัณหาถูกละไป รู้ทุกข์แจ่มแจ้งเมื่อใด สมุทัย คือ ตัณหาถูกละโดยอัตโนมัติ อัตโนมัติแล้วไม่ขึ้นมาอีกแล้ว เพราะรู้ทุกข์แจ่มแจ้งแล้ว

ของพวกเรา ภาวนาที่อยู่ครึ่งๆกลางๆนะไม่ใช่ปุถุชนธรรมดาๆ เราจะเห็นว่าถ้ามีความอยากแล้วมีความทุกข์ ถ้าเกิดความอยากนะใจก็ดิ้นรน ใจเป็นทุกข์ เราเห็นได้แค่นี้นะ เรายังไม่เห็นหรอกว่าที่ดิ้นรนก็เพราะว่า มันรักตัวเองๆ เพราะมันเห็นว่า กายนี้ใจนี้เป็นของดีของวิเศษ ถ้าเมื่อใดมันเห็นว่ากายนี้ใจนี้ไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตานะ มันเลิกรักตัวเอง มันก็จะเลิกดิ้นรน หมดตัณหาที่จะเที่ยวหาความสุข เที่ยวหนีความทุกข์ ตัณหาพูดย่อๆเลยนะ จริงๆแล้วก็คือ การวิ่งหาความสุข วิ่งหนีความทุกข์นั่นเอง ดิ้นรนไป พอดิ้นรนแล้วก็ทุกข์มากกว่าเก่า ใจเป็นทุกข์อึดอัดขัดข้องขึ้นมา

นั้นหน้าที่เรามีนิดเดียวนะ รู้กายรู้ใจๆ อย่างที่เขาเป็น รู้ไปเรื่อยๆ รู้จนวันหนึ่งมันอิ่ม รู้จนวันหนึ่งมันพอนะ มันพอ มันพอของมันเอง ตรงที่มันพอของมันเอง มันวางของมันเองๆ  ไม่มีใครทำจิตให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้นะ ไม่มีใครทำได้เลยสักคนเดียวในโลกนี้ จิตเขาบรรลุมรรคผลนิพพานของเขาเอง เมื่อเขามีปัญญาแก่รอบในกองทุกข์จริงๆ ต้องเห็นขันธ์ ๕ เห็นกายเห็นใจเป็นทุกข์ล้วนๆ เมื่อไหร่เขาวางของเขาเองแหล่ะ

นี่พวกเราเห็นไม่ได้ เราก็เห็นว่าร่างกายนี้เป็นทุกข์บ้างเป็นสุขบ้าง จิตนี้เป็นทุกข์บ้างเป็นสุขบ้าง เราเห็นได้แค่นี้ เห็นแค่นี้ก็ยังดี รู้สึกปัญญามันก็เกิดเป็นลำดับๆไป มันก็จะเห็นเลย ความสุขก็ชั่วคราวนะ ความทุกข์ก็ชั่วคราว กุศลก็ชั่วคราว อกุศลก็ชั่วคราว พอชั่วคราวๆไปเรื่อยในที่สุด จิตหยุดความดิ้นรน นี่พอจิตหยุดความดิ้นรน จิตจะไปเห็นธรรมะที่ไม่ดิ้นรน เห็นนิพพาน นิพพานนี่ไม่มีตัวมีตนอะไร มีความสงบ สันติ ถ้าฝึกลำดับๆไปนะ วันหนึ่งมันรู้แจ้ง รู้แจ้งในกายในใจแล้วก็พ้นแล้ว มันรู้ทุกข์นั่นแหล่ะ ละสมุทัย ทำนิโรธ คือ นิพพานให้แจ้งขึ้นมาต่อหน้าต่อตา การรู้ทุกข์จนละสมุทัย แจ้งนิโรธนี่แหล่ะ เรียกว่า มรรค เรียกว่า การเจริญมรรค การเจริญมรรคจริงๆ ก็คือ การรู้ทุกข์นั่นเอง

สวนสันติธรรม
CD: 16
File: 491124B.mp3
Time: 1.54 – 8.31

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ไม่พักและไม่เพียร คืออะไร?

mp 3 (for download) : ไม่พักและไม่เพียร คืออะไร?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ :

พักนี้นะก็คือ ขี้เกียจขี้คร้าน ปล่อยตัวปล่อยใจตามโลกไป ความเพียรนี้มันเกิดจากความโลภก่อน อยากได้ อยากรู้ อยากเห็น อยากเป็น อยากได้ อยากได้มรรคผลนิพพาน เสร็จแล้วก็เกิดความดิ้นรนในใจเรา พยายามที่จะทำอะไรสักอย่างหนึ่งที่เหนือกว่ามนุษย์ธรรมดานะ ดิ้นรน ส่วนมากก็จะดิ้นรนบังคับตัวเองเท่านั้นแหล่ะ ดิ้นรนบังคับกาย บังคับใจ จะให้มันเรียบร้อย เพราะฉะนั้นตรงที่พักอยู่กับเพียรอยู่นี้ เป็นความสุดโต่ง ๒ ด้านนะ อันนี้มันมาจากพระสูตรอันหนึ่ง มีเทวดาองค์หนึ่ง รู้สึกจะพระไตรปิฎกเล่ม ๑๖ มั้ง ไม่รู้นะ จำไม่ได้ถนัดแล้ว นานแล้วนะ มีเทวดาไปเฝ้าพระพุทธเจ้า แล้วก็ไปถามพระพุทธเจ้า บอกข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ข้ามโอฆะได้อย่างไร ข้ามห้วงกิเลสได้อย่างไร พระพุทธเจ้าบอก ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ อันนี้แกล้งชมนะ ให้กำลังใจ ความจริงเทวดามันก็ทุกข์นั่นแหล่ะนะ แต่ว่าเทวดาองค์นี้ท่านสำคัญตนว่าเป็นพระอริยะ ก็เลยมาถามพระพุทธเจ้าว่า พระองค์ข้ามได้อย่างไร ในใจก็ว่า ฉันข้ามมาแบบนี้ พระพุทธเจ้าบอก ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ เราข้ามโอฆะได้โดยไม่พักอยู่ และไม่เพียรอยู่ เทวดาฟังแล้วงงเลย ไม่พักอยู่เทวดาเข้าใจ พัก หมายถึง ขี้เกียจขี้คร้านไม่ภาวนา แต่พระพุทธเจ้าบอก ท่านข้ามโอฆะได้โดยไม่เพียรด้วย เทวดางงนะ ก็เลยถามพระพุทธเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ไม่พักไม่เพียรเป็นอย่างไร ให้พระองค์ช่วยขยายความ พระพุทธเจ้าก็ขยายความบอก ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ ถ้าเราพักอยู่เราจะจมลง ถ้าเราเพียรอยู่เราจะลอยขึ้น เราข้ามโอฆะได้ โดยไม่พัก และไม่เพียร นี้เทวดาฟังเท่านี้ได้พระโสดาบัน มีใครได้หรือยัง ฟังเหมือนเทวดาแล้วนะ ได้มั้งไหม ยังไม่ได้ ไม่ได้ต้องขยายอีกนะ เผื่อจะได้

คำว่า พักอยู่ นี้หมายถึง การที่ปล่อยตัวปล่อยใจตามกิเลส หมายถึงอะไร หมายถึง กามสุขัลลิกานุโยค เพลิดเพลินไปในอารมณ์ทางโลกๆ เพลินไปในการดู ในการฟัง ในการดมกลิ่นลิ้มรส ในการสัมผัสต่างๆนะ เพลินอยู่กับโลก นี่เรียกว่า พักอยู่ แล้วจมลงใช่ไหม ท่านบอกว่า ถ้าพักอยู่แล้วจะจมลง ก็คือ ถ้าเราหลงตามโลก ตามกิเลสไป จิตใจเราจะตกต่ำลงไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็ลงถึงอบายจนได้ แล้วก็เพียร แปลว่าอะไร เพียร หมายถึง การบังคับตัวเองนะ ผู้ปฏิบัติเกือบร้อยละร้อยนะ นี่พูดแบบสุภาพนะ ผู้ปฏิบัติเกือบร้อยละร้อย ทันทีที่คิดถึงการปฏิบัตินี้ ถ้าไม่บังคับกาย ก็บังคับใจ ยกตัวอย่าง สมมุติเราจะนั่งสมาธิ เราจะต้องเริ่มด้วยการบังคับกายก่อน ต้องนั่งให้มันเท่ๆ เสร็จถัดจากนั้นบังคับใจ เนี้ยนั่งอย่างนี้ไปเรื่อยๆนะ ท่านบอกทำแล้วจะลอยขึ้น ลอยไปไหน ลอยไปพรหมโลก เพราะฉะนั้นทำไปๆ ก็ไปสร้างภพสร้างชาติขึ้นอีก

ทางสายกลางนั้น ไม่พักอยู่ คือ ไม่หลงตามกิเลสไป ไม่เพียร คือ ไม่เอาแต่นั่งเพ่งตัวเอง อย่างบางคนดูท้อง พอง ยุบ ก็ไปเพ่งท้อง เดินจงกรมก็ไปเพ่งเท้า ไปรู้ลมหายใจก็ไปเพ่งลมหายใจ นั่นเรียกว่า เพียรอยู่ เพียรอยู่แล้วสิ่งที่ได้ ได้อะไร ได้ความดี ถ้าพักอยู่ได้ความชั่ว ทั้งดีและชั่วก็นำไปสู่ภพภูมิใหม่ ภพความชั่วก็นำไปสู่อบายภูมิ ภูมิที่ตกต่ำ ความดีก็นำไปสู่ สุขคติภูมิ ไม่ได้นำไปสู่นิพพาน แต่เราทำชั่วไม่ได้นะ ถ้าทำชั่วเราจะไปอบายภูมิ หน้าที่ของเราเดินในทางสายกลาง ทางสายกลาง ก็คือ การมีสติรู้กายตามที่มันเป็น มีสติรู้จิตใจ ตามที่จิตใจเขาเป็น ดูเข้าไปเรื่อยๆ

สวนสันติธรรม
CD: 27
File: 511018B.mp3
Time: 29.57 – 34.04

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางแยกระหว่างพุทธภูมิกับสาวกภูมิ

mp 3 (for download) : ทางแยกระหว่างพุทธภูมิกับสาวกภูมิ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : การภาวนานะ ขั้นแรกสุดเลยคือต้องรู้วิธีให้ได้ก่อน พวกเรามาเรียนวิธีนะ ชาวไฟฟ้ามาเรียนวิธีการรู้วิธีการให้รู้กายรู้ใจลงปัจจุบัน โดยไม่เผลอไป ถ้าเผลอไปไม่ได้รู้กายรู้ใจ ถ้าเพ่งไว้ก็รู้กายรู้ใจไม่ตรงความจริง เราต้องรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง ลงปัจจุบันรู้ไปเรื่อยๆ รู้ด้วยจิตใจที่เป็นกลาง

จิตใจที่เป็นกลางคือมีสัมมาสมาธิ การรู้กายรู้คือ รู้ด้วยสติ สติตามระลึก ให้รู้ขึ้นเองไม่ใช่ให้แกล้งระลึก รู้อย่างเป็นกลาง ใจเป็นกลาง สักว่ารู้ สักว่าเห็น ใจมีสัมมาสมาธิ ตั้งมั่นอยู่ห่างๆ ไม่ถลำลงไปเพ่งจ้องก็จะเห็นกายเห็นใจตรงตามความเป็นจริง เมื่อเห็นกายเห็นใจตรงตามความเป็นจริงว่ามันไม่ใช่ตัวเราหรอก แรกๆ บางคนอินทรีย์อ่อนหน่อย ก็จะเกิดความเบื่อขึ้น บางคนเกิดความเบื่อ บางคนเกิดความรู้สึกน่าสยดสยอง ในโลกนี้หาความสุขไม่ได้อีกแล้ว บางคนรู้สึกโหวงๆ ทุกอย่างว่างเปล่า ไม่รู้จะยึดอะไรดี มีหลายแบบ สติปัญญารู้ลงไปอีก เบื่อก็รู้ กลัวก็รู้ โหวงๆ ก็รู้ นะ สักว่ารู้ สักว่าเห็น ใจก็ตั้งมั่นเป็นกลางขึ้นมาอีก ก็รู้ทุกสิ่งทุกอย่างในกาย ในใจไปเรื่อยๆ เห็นว่ามันเปลี่ยนแปลงบังคับไม่ได้ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา บังคับไม่ได้เคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ รู้จนกระทั่งใจยอมรับความจริงว่า ทุกอย่างชั่วคราว สุขก็ชั่วคราว ทุกข์ก็ชั่วคราว กุศลก็ชั่วคราว โลภ โกรธ หลงก็ชั่วคราว อะไรๆ ก็ชั่วคราว พอภาวนาจนสติปัญญาเกิดว่าทุกอย่างชั่วคราว จิตจะเข้าไปสู่ความเป็นกลางต่อความปรุงแต่งทั้งปวง

ตรงที่จิตเข้าสู่ความเป็นกลางต่อความปรุงแต่งทั้งปวง สุขกับทุกข์ก็เสมอกัน ดีกับชั่วก็เสมอกัน เข้าไปถึงความเป็นกลางด้วยปัญญาเห็นว่าทุกสิ่งชั่วคราว ถ้าเป็นกลางแบบนี้เรียกว่ามีปัญญาที่เรียกว่า สังขารุเบกขาญาณ จิตจะเป็นกลางต่อทุกสิ่งทุกอย่างสุขกับทุกข์ ดีกับชั่วจะเสมอภาคกัน ไม่ใช่รักอันหนึ่ง เกลียดอันหนึ่ง พวกเรารู้สึกไหม ใจเรายังรักอันหนึ่ง เกลียดอันหนึ่งอยู่ตลอดเวลา นั่นละ ปัญญายังไม่พอ ให้รู้ลงไปอีก จนกระทั่งเห็นว่าทุกอย่างก็ชั่วคราวทั้งหมดเลย ทั้งสิ่งที่เรารัก สิ่งที่เราเกลียด พอเห็นซ้ำลงไปจนทุกอย่างชั่วคราวหมด จิตจะเป็นกลาง เมื่อจิตเป็นกลางคือจุดสูงสุดที่เราจะภาวนาได้ละ คือจุดสุดท้ายถัดจากนี้ก็คือมรรคผลจะเกิดขึ้น แต่บางคนจะไม่เกิดมรรคผล บางคนเมื่อภาวนาไป จนเป็นกลางต่อสรรพสิ่งนั้น จิตใจน้อมไปสู่มหากรุณา เห็นอกเห็นใจสรรพสัตว์ทั้งหลาย อยากช่วยสรรพสัตว์ทั้งหลาย จิตจะน้อมไปสู่พุทธภูมิ และถ้าได้พบพระพุทธเจ้าในวันนั้น ท่านก็จะพยากรณ์ให้ ว่าอีกเท่านั้น เท่านี้นะจะได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง แต่ถ้าจิตยังไม่เป็นกลาง ไม่สามารถได้รับพยากรณ์ เมื่อจิตยังกลับกลอก ยังกลัวทุกข์อยู่ ยังรักสุขอยู่ ยังไม่แน่นอน เป็นโพธิสัตว์ที่ยังไม่แน่นอน ใครอยากเป็นโพธิสัตว์ต้องภาวนาอย่างที่หลวงพ่อสอนนี่ รู้กาย รู้ใจ จนกระทั่งเป็นกลางต่อทุกสิ่งทุกอย่าง และตรงทุกจุดนั้น จิตจะเลือกของเขาเอง ถ้าจะไปพุทธภูมิ มันก็จะไปค้างอยู่ตรงนั้นล่ะ ออกมาสร้างบารมี ช่วยเหลือผู้คนไป ด้วยจิตที่เป็นกลาง มีครูบาอาจารย์องค์หนึ่ง ท่านอาจารย์สิงห์ อาจารย์สิงห์กับหลวงปู่ดูลย์เป็นเพื่อนกัน อาจารย์สิงห์ท่านได้ชื่อว่าเป็นแม่ทัพธรรมของหลวงปู่มั่น อาจารย์สิงห์เดินพุทธภูมิ มีอยู่ช่วงหนึ่งท่านอยากละ เห็นลูกศิษย์ลูกหาพ้นทุกข์ไปแล้ว ท่านไม่พ้นสักที ท่านอยากละ ท่านก็ประกาศเลยว่า ถ้าใครแก้ให้ท่านได้ ให้ท่านเลิกพุทธภูมิได้ท่านจะยอมเป็นลูกศิษย์ แม้ถ้าลูกศิษย์ของท่านแก้ให้ท่านได้ ท่านจะนับถือเป็นอาจารย์ ใจถึงนะ ไม่มีไว้หน้าไว้ตา ถ้าเราเป็นอาจารย์ เราต้องไว้หน้าใช่ไหม วางฟอร์ม ลูกศิษย์ภาวนาเก่งกว่า เราก็หลอกไปเรื่อยๆ ว่า ฉันยังเก่งกว่า ทั้งที่ไม่ได้เรื่องเลย เยอะนะ อาจารย์สิงห์ไม่มีฟอร์ม ใครแก้ให้ได้ก็เอา นับถือ ปรากฏไม่มีใครแก้ได้ จนท่านแก่ วันหนึ่งท่านก็ปรารภขึ้นมาว่าตอนนี้กำลังท่านมาก ปัญญาท่านแก่กล้า ถ้าท่านละพุทธภูมินี่ ท่านจะพ้นทุกข์ใน ๗ วัน แต่ว่าท่านไม่ละแล้ว ใจของท่านเป็นกลางต่อสรรพสิ่ง ใจเป็นกลางแล้ว มีความรู้สึกว่ากัปหนึ่งเหมือนวันเดียว จะนรก จะสวรรค์อะไร ไม่สนใจแล้ว เสมอกันหมดเลย สุข ทุกข์ ดี ชั่ว เสมอกันหมด จิตอย่างนี้มีกำลัง เดินไปพุทธภูมิไหว ถ้าพุทธภูมิเหยาะๆ แหยะๆ ไม่ได้กินหรอก พุทธภูมิแต่ปาก แต่ถ้าจิตเราเป็นกลาง เราไม่ได้มุ่งพุทธภูมิ เราไม่ได้ทำกรรมชั่วหยาบมา จิตเราจะก้าวกระโดดเกิดอริยมรรคขึ้นมา ขั้นแรกมันจะรวมลงก่อน รวมเข้า อัปปนาสมาธิ รวมเองโดยที่ไม่ได้เจตนาจะรวม ไม่ได้คิดได้ฝันที่จะรวม รวมโดยอัตโนมัติ เมื่อรวมลงมาแล้วจะเห็นสภาวธรรมเกิดดับ เกิดดับ สองขณะบ้าง สามขณะบ้าง ถัดจากนั้นจิตจะวางการรับรู้อารมณ์ ทวนกระแสเข้ามาหาธาตุรู้ เมื่อทวนกระแสเข้าถึงธาตุรู้แล้วสิ่งที่ห่อหุ้มปิดบังจิตอยู่คือ อาสวกิเลส ทั้งหลาย สังโยชน์ทั้งหลายถูกขาดสะบั้นออกไปด้วยกำลังของอริยมรรค นิพพานก็จะปรากฏเด่นดวงขึ้นมาให้เรารู้สึกได้ สองขณะบ้าง สามขณะบ้าง คนไหนซึ่งอินทรีย์ไม่แก่กล้ามาก ตอนที่จิตรวมไปทีแรก เห็นสภาวธรรมก็จะเห็นสามครั้ง แล้วพอเห็นนิพพานพอได้ผลจะเห็นสองขณะ แต่คนที่อินทรีย์แก่กล้าเห็นสภาวะทีแรกจะเห็นสองขณะ และจะมาเห็นนิพพานสามขณะ เห็นยาวต่างกัน อินทรีย์ไม่เท่ากัน ผลที่เกิดขึ้นก็ไม่เท่ากัน ถัดจากนั้นจิตจะถอยออกจาก อัปปนาสมาธิ นะ ถอยเอง ถัดจากนั้นไม่ทรงอยู่แล้วจะถอยออกมา พอถอยออกมาแล้วจะทวนกระแสกลับเข้าไปพิจารณาว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น ก็แจ่มแจ้งแล้วว่า เมื่อกี้นี้ตัวตนอะไรไม่มีอีกแล้ว ไม่มีอะไรที่เป็นตัวเป็นตนอีกเลย แต่ว่ากิเลสยังเหลืออยู่อีกเพียบเลย พระโสดาบันกับปุถุชนแทบจะไม่มีอะไรต่างกันนะ พระโสดาบันละมิจฉาทิฏฐิได้เท่านั้น ละความเห็นผิดได้ ส่วนโลภ โกรธ หลงอื่นๆ เหมือนปุถุชนนั่นเอง

สวนสันติธรรม
CD: ธรรมเทศนา ๔ วัน ในสวนสันติธรรม
File: 501020A.mp3
Time: 25.10 – 32.06

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 8 of 12« First...678910...Last »