Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

ทางวิปัสสนา (๖) จุดเริ่มต้นของการฝึกเจริญปัญญา

mp3 for download : ทางวิปัสสนา (๖) จดเริ่มต้นของการฝึกเจริญวิปัสสนา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทางวิปัสสนา

ทางวิปัสสนา

หลวงพ่อปราโมทย์ : เรามาหัดถอดตัวเอง ทำอย่างไรดี ขั้นแรกเลยนะ เราต้องรู้สึกตัวให้เป็นก่อน ถ้าใจเราลอย ใจเราฟุ้งซ่าน คิดโน่นคิดนี่นะ เราไม่สามารถเรียนรู้เรื่องตัวเราเองได้ สังเกตมั้ย เวลาที่เราใจลอย เราจะไปคิดถึงคนอื่น คิดถึงสิ่งอื่น หรือถ้าคิดถึงตัวเราเอง ก็จะไปคิดถึงเวลาอื่น เช่น คิดถึงตัวเราในอดีต คิดถึงตัวเราในอนาคต มันจะหลงไปหาสิ่งอื่นตลอด

ลองดูก็ได้ ในขณะนี้ ตั้งใจฟังหลวงพ่อ รู้สึกมั้ย ขณะที่ตั้งใจฟังหลวงพ่อเนี่ย ร่างกายเรามีมั้ย ร่างกายเรามีอยู่นะ แต่เราไม่รู้สึก เราลืมร่างกายของเราไป ในขณะนี้จิตใจของเราก็มี แต่พอมาจดจ่อมาฟังธรรมะของหลวงพ่อนะ เราลืมจิตใจของเราเอง สุขหรือเปล่าก็ไม่รู้ ทุกข์หรือเปล่าก็ไม่รู้ เป็นกุศลหรืออกุศลก็ไม่รู้

เมื่อไรใจลอยนะ เมื่อนั้นไม่สามารถรู้กาย ไม่สามารถรู้ใจ ของตัวเองในปัจจุบันได้ ใจลอยอาจจะรู้กายรู้ใจนะ แต่รู้ด้วยการคิดๆเอา คิดถึงเราเมื่อวานซืน คิดถึงเราเมื่อตอนเด็ก คิดถึงคนโน้นคิดถึงคนนี้ มันไม่ใช่ตัวจริงในปัจจุบันนี้ เมื่อไรใจลอย เมื่อนั้นลืมตัวเอง เพราะฉะนั้นเราต้องพยายามรู้สึกตัวเอง ไม่ลืมตัวเอง

นี่คือจุดตั้งต้นเลยนะ ของการที่จะเจริญปัญญา ถอดตัวเองออกเป็นชิ้นๆได้เนี่ย ขั้นแรกต้องไม่ลืมตัวเอง ถ้าเราลืมตัวเอง เราก็ถอดตัวเองออกเป็นชิ้นๆไม่ได้ เหมือนเเราจะเป็นช่างซ่อม เราลืมรถยนต์ไปนะ ไม่ได้สนใจรถยนต์เลย รถยนต์ก็กองอยู่อย่างนั้น ไม่ได้ถอดออกมาเป็นชิ้นๆเสียที

เพราะฉะนั้นขั้นแรกเลยของการปฏิบัติเนี่ย ต้องอย่าใจลอย วิธีฝึกที่จะไม่ให้ใจลอยทำอย่างไร ขั้นแรกหัดพุทโธก็ได้นะ หัดหายใจก็ได้ จะดูท้องพองยุบก๊ได้ ทำกรรมฐานอะไรก็ได้สักอย่างหนึ่ง เราถนัดพุทโธเราก็ใช้พุทโธ ถนัดรู้ลมหายใจเราก็รู้ลมหายใจ ถนัดดูท้องพองยุบเราก็ดูท้องพองยุบ ถนัดที่จะขยับมือทำจังหวะ อย่างสายหลวงพ่อเทียนขยับมือ เราก็ขยับมือไป อะไรก็ได้ หางานขึ้นมาให้จิตทำสักอย่างหนึ่ง จะพุทโธ จะรู้ลมหายใจ จะดูท้องพองยุบ จะขยับมือทำจังหวะ จะไปเดินจงกรม อะไรก็ได้ ทั้งนั้นเลย แล้วคอยรู้ทันจิต

550409.13m06-15m29

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ ห้องสุวรรณภูมิบอลรูม ชั้น ๒ อาคารบี
บจก. เตียวฮงสีลม บางพลี
วันจันทร์ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕
ระหว่างเวลา ๑๓:๐๐ – ๑๕:๐๐ น.

File: 550409.mp3 (ไทย)
File: 550409.mp3 (สหรัฐอเมริกาและยุโรป)
เสียงพระธรรมเทศนา ระหว่างนาที่ ๑๓ วินาทีที่ ๖ ถึง นาทีที่ ๑๕ วินาทีที่ ๒๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

V-Clip : วิปัสสนาคือให้รู้ มิใช่ให้กำหนด

วิปัสสนาคือให้รู้ มิใช่ให้กำหนด

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

รู้สึกตัวเพื่อตัดชีวิตให้ขาดเป็นท่อนๆ

mp 3 (for download) : รู้สึกตัวเพื่อตัดชีวิตให้ขาดเป็นท่อนๆ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

รู้สึกตัวเพื่อตัดชีวิตให้ขาดเป็นท่อนๆ

รู้สึกตัวเพื่อตัดชีวิตให้ขาดเป็นท่อนๆ

หลวงพ่อปราโมทย์ : คอยรู้ไปเรื่อยนะ มีสติรู้สึกขึ้นมา สะสมไปทีละเล็กทีละน้อยอย่างนี้ ไม่รีบร้อน ไม่ต้องไปพยายามทำสติให้เกิดตลอดเวลา เราไม่ต้องการสติตลอดเวลา เราต้องการสติทีละแว้บเดียว

เพราะงั้นเรารู้สึกตัวขึ้นแว้บแล้วหลงไปอีก เราก็รู้สึกอีกแว้บนึงแล้วค่อยหลงไปอีก แล้วฝึกอย่างนี้นะ ไม่ใช่รู้สึกๆๆไม่มีหลงเลย ถ้ารู้สึกๆๆไม่มีหลงเลยน่ะคือการทำฌาน เพราะจิตที่จะเกิดซ้ำซากมีสติซ้ำซากอยู่ได้อย่างเดียวตลอดนานๆเนี่ยคือฌานจิตเท่านั้น จิตธรรมดาๆไม่เป็นอย่างนั้นหรอก ให้รู้ขึ้นแว้บนึงแล้วหลง รู้แว้บนึงแล้วก็หลง ตรงนี้สำคัญ

ไม่ต้องฝึกให้รู้สึกตัวตลอดเวลา แต่ฝึกให้รู้สึกบ่อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ฝึกบ่อยๆไม่ใช่ให้ต่อเนื่องยาวนาน ทีละแว้บนี่แหล่ะ มันจำเป็นยังไง คนในโลกนี้นะไม่เคยมีสติ ไม่เคยรู้สึกตัว คนในโลกอยู่ในความฝันตลอดเวลา ฝันทั้งวันทั้งคืนทั้งตื่นทั้งหลับ แล้วมันจะเกิดความสำคัญผิดขึ้นมา ว่ามันมีตัวเราจริงๆ

พวกเรารู้สึกมั้ยในนี้มีเราอยู่คนนึง เราคนนี้นะกับเราตอนเด็กๆก็ยังเป็นเราคนเดิม รู้สึกมั้ยมันมีเราอยู่คนหนึ่ง เรามาตั้งแต่เด็กนะจนวันนี้ยังเป็นคนเก่าอยู่ เราคนเดิมหรอกหน้าตาต่างหากที่เปลี่ยนไปแต่ข้างในนี้มีเราที่คงเดิมอยู่คนหนึ่ง เนี่ยเพราะอะไร เพราะเราไม่เคยเห็นมันเกิดดับ เราไม่เคยเห็นจิตเกิดดับ ถ้าเราเห็นจิตเกิดดับเราจะรู้ว่าไม่มีเราหรอก ข้างในนี้

งั้นที่เราหัดรู้สึกตัวขึ้นมานะเพื่อตัดชีวิตให้ขาดเป็นท่่อนๆ ถ้าชีวิตเรายาวอย่างนี้อันเดียวเนี่ย หลง หลงตั้งแต่เกิดจนตาย ตั้งแต่นี้หลงมาเรื่ิอยๆๆจนหมดเวลาตาย เราจะรู้สึกมีเราคงที่อยู่ เหมือนเราดูการ์ตูนนะ มีโดเรมอนใช่มั้ยมีอิคคิวซัง หลวงพ่อรู้จักแค่รุ่นเนี่ยหลังจากนั้นไม่รู้จักแล้ว โดเรมอนมันเดินไปเดินมาได้ นี่เป็นภาพลวงตาจริงๆมันเป็นรูปแต่ละช็อตแต่ละช็อต รูปแต่ละรูปแต่ละรูป แล้วมันเกิดดับต่อเนื่องกันอย่างรวดเร็ว เราเลยรู้สึกมีเรา ถ้าเราเห็นรูปแต่ละรูปเกิดแล้วหายไปๆ เราจะไม่รู้สึกว่ามีโดเรมอนตัวจริงขึ้นมา โดเรมอนไม่มีจริง

การที่เราฝึกให้มีสติขึ้นมานี่ก็เหมือนกัน เราจะเห็นเลยเดี๋ยวจิตก็หลงไปเดี๋ยวจิตก็รู้สึก เดี๋ยวจิตก็หลงไปเดี๋ยวจิตก็รู้สึก พอจิตมันหลงไปคิดไปนึกไปปรุงไปแต่งนะ หลงไปทางทวารทั้งหก หลงไปทางตาหูจมูกลิ้นกาย หลงไปทางใจคือหลงไปคิด หรือบางทีก็หลงไปเพ่ง นี่หลงทางใจ แล้วตามมามีสติมันจะรู้ว่าเมื่อกี๊นี้หลงแต่จิตที่หลงนั้นดับไปแล้ว จะเห็นเลยจิตที่รู้กับจิตที่หลงเนี่ยเป็นคนละดวงกัน

การที่เราเห็นจิตที่รู้กับจิตที่หลงเป็นคนละอันกันเนี่ย เรียกว่าสันตติคือความสืบเนื่องเนี่ยขาดลงแล้ว การภาวนาจนสันตติขาดเนี่ยนะ คือการทำวิปัสสนาที่แท้จริงแล้ว งั้นเราจะเห็นจิตเนี่ยเกิดแล้วก็ดับนะ เช่นจิตที่หลงไปพอเรารู้สึกตัวเราจะเห็นเลยจิตที่หลงดับไปแล้วเกิดจิตที่รู้สึก แล้วจิตที่รู้สึกอยู่ได้แว้บเดียวก็หลงใหม่ เห็นมั้ย แล้วก็รู้สึกขึ้นมาอีกครั้งนึง คราวนี้รู้สองทีเลย รู้ว่าจิตที่รู้สึกตัวอันแรกนั้นดับไปแล้วเกิดจิตที่หลง จิตที่หลงก็ดับไปแล้วอีก เกิดมีจิตรู้สึกตัวอันใหม่

เนี่ยฝึกดูไปเรื่อยนะจะเห็นนะมีแต่เกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ ขาดเป็นช่วงๆ หรือถ้าสติระลึกรู้กายนะจะเห็นเลยร่างกายที่หายใจออกร่างกายที่หายใจเข้า ร่างกายที่ยืนเดินนั่งนอน ร่างกายที่คู้ที่เหยียดเนี่ย เกิดดับตลอดเวลา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ กรกฎาคมพ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๖
Track: ๑
File: 510717.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๖ วินาทีที่ ๓๖ ถึง นาทีที่ ๒๐ วินาทีที่ ๒๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

รู้สภาวะแล้วให้รู้ทันความไม่เป็นกลางต่อสภาวะนั้น

mp 3 (for download) : รู้สภาวะแล้วให้รู้ทันความไม่เป็นกลางต่อสภาวะนั้น

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

รู้สภาวะแล้วให้รู้ทันความไม่เป็นกลางต่อสภาวะนั้น

รู้สภาวะแล้วให้รู้ทันความไม่เป็นกลางต่อสภาวะนั้น



หลวงพ่อปราโมทย์ :
ให้เรารู้สึกกายรู้สึกใจเรื่อยๆ เมื่อเรารู้สึกนะ ต่อไป พอเห็นสภาวธรรมเกิดขึ้นนะ ทีแรกเราก็เริ่มรู้ตัวสภาวะแล้ว ถัดจากนั้น พอสติปัญญาของเราเชียวชาญขึ้น เราเริ่มเห็นสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามา เวลาที่จิตไปรู้สภาวะ เนี่ยบางทีจิตไม่เป็นกลาง แต่จิตแอบยินดียินร้ายต่อสภาวะนะ เนี่ยเราเริ่มพัฒนาการรู้ของเราให้ปราณีตขึ้นไปอีกละ เรารู้(อย่าง)ไม่เป็นกลาง รู้(โดย)ไม่เป็นกลางนะ ใช้ไม่ได้ อริยมรรคจะไม่เกิด

เพราะฉะนั้น ยกตัวอย่าง สมมุติว่า เราขับรถอยู่ มีคนปาดหน้า พอเราโกรธ เรามีสติรู้ว่าโกรธ ถัดจากนั้นเนี่ย ขาดสติอีกละ เราเกิดความโกรธตัวที่สอง ไปเกลียดความโกรธตัวแรก เมื่อไหร่มันจะดับ เมื่อไหร่มันจะหาย หรือเวลาเรามีความทุกข์เกิดขึ้น แทนที่เราจะรู้สภาวะว่า ร่างกายนี้เป็นทุกข์ หรือจิตใจเป็นทุกข์ เราไปเกลียดความทุกข์นั้นเข้า ความยินร้ายเกิดขึ้น

เพราะฉะนั้นถ้าหาก เรารู้สภาวะแล้วนะ (แล้ว)ความยินดียินร้ายเกิดขึ้น ให้มีสติรู้ทันลงไปอีกชั้นหนึ่ง ถ้ารู้ไม่ทันใช้ไม่ได้จริงหรอก ถูกกิเลสครอบงำได้อีกรอบหนึ่ง มันจะซ้อนๆ กิเลสซ้อนๆเข้าไปเรื่อย ทีนี้ถ้าเรารู้ทันนะ อย่างเห็นความโกรธเกิดขึ้น พอเรารู้ปั๊บ รู้อย่างเป็นกลางจริงๆ มันจะดับทันที

บางคนบอกว่าเห็นความโกรธแล้วทำไมมันไม่ดับ ที่มันไม่ดับเพราะจิตเป็นอกุศล จิตในขณะนั้นกำลังเกลียดความโกรธนั้นอยู่ ไม่เห็น เนี่ย กิเลสซ้อนกิเลส สติไม่เกิด

แล้วเราคอยรู้ทันนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอารมณ์แล้วนะ ก็รู้ทัน อะไรเกิดขึ้นเราก็รู้ทัน ในกายในใจ รู้ทันอารมณ์นั้น แล้วถ้าหากจิตเกิดปฏิกริยาเป็นความยินดียินร้ายขึ้นมา ให้เรารู้ทันจิตลงไปอีกชั้นหนึ่งนะ

แต่อย่างจงใจนะ ฟังหลวงพ่อพูด ฟังเล่นๆนะ ฟังเล่นๆนำร่องให้จิตมันรู้เท่านั้นแหละ ต่อไปเวลาเราไปรู้ไปเห็นสภาวะแล้ว พอความยินดียินร้ายเกิดนะ สติจะระลึกเองนะ สติระลึกเองนะ ไม่ต้องจงใจทำ บางคนจงใจนะ สมมุติมองหน้าคุณอำพล มองปั๊บ ยินดีหรือยินร้าย(วะ) เอ๊ะ!เฉยๆ เอ้ามองคุณมาลีบ้าง สวยกว่าคุณอำพล นะ มอง ฮึ ยินดีหรือยินร้าย(วะ) ดู ก็เฉยๆ เนี่ย..แกล้งมอง

เพราะฉะนั้นไม่ต้องแกล้งนะ หลวงพ่อพูดนำร่อง ให้รู้ว่าต่อไปเราต้องรู้ทัน ความยินดียินร้าย เห็นหน้าตาคุณอำพลนะ หน้าตาน่ายืมเงินหุ่นอาเสี่ย นะ เห็นในใจมีโลภะ เอ๊ะ!แต่แกคงไม่ให้หรอก ใจมีโทสะ เนี่ย พลิกอย่างนี้ก็รู้ทันนะ พอเห็นกิเลสของตัวเอง เดี๋ยวก็มีราคะ เดี๋ยวโทสะ โมโหตัวเอง ตอนนี้ชักไม่เห็นแล้ว โมโหตัวเองนี่ชักไม่เห็นแล้ว เริ่มมีปฏิฆะแล้ว เริ่มมี โทมนัส อภิฌา-ยินดี โทมนัส-ยินร้าย มีความยินร้ายเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นให้เรารู้ทันนะ ความยินดียินร้ายใดๆเกิดขึ้นให้รู้ทัน เนี่ยฝึกอยู่อย่างนี้นะ ถึงจุดหนึ่งอริยมรรคจะเกิดขึ้น


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ กรกฎาคมพ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๖
Track: ๑
File: 510717.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๒ วินาทีที่ ๓๓ ถึง นาทีที่ ๒๕ วินาทีที่ ๓๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ความสุขในธรรม เป็นความสุขที่อมตะ เป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่

mp 3 (for download) : ความสุขในธรรม เป็นความสุขที่อมตะ เป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ความสุขในธรรม เป็นความสุขที่อมตะ เป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่

ความสุขในธรรม เป็นความสุขที่อมตะ เป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่

หลวงพ่อปราโมทย์ : เราคอยรู้สึกนะ คอยรู้สึกอยู่ปัจจุบันนี้แหล่ะ รู้สภาวะไปนะ แล้ววันนึงจะได้ลิ้มรสของมรรคผลนิพพาน

เดินทางไกลในสังสารวัฏเนี่ยต้องรู้เป้าหมายของชีวิตนะ เป้าหมายของชีวิตเราเพื่อถอดถอนตัวเองออกจากกองทุกข์ให้ได้ มันเรื่องอะไรเราจะต้องมีชีวิตที่ทุกข์ตลอดกาล ทุกข์แล้วทุกข์อีก ตายแล้วตายอีก ก็ทุกข์แล้วทุกข์อีกอยู่อย่างนั้นแหล่ะ คนไม่เชื่อตายแล้วตายอีกก็ดูปัจจุบันไป มันก็ทุกข์อยู่ทั้งวันทั้งคืนอยู่แล้ว แล้วเฝ้ารู้เฝ้าดูไปนะ วันนึงใจถอดถอนความยึดถือออกไปแล้วก็ มันพ้นทุกข์ต่อหน้าต่อตาเลย เราจะมีชีวิตที่สมบูรณ์ เรียกว่าเราพบสิ่งซึ่งมีคุณค่าที่สุดในสังสารวัฏแล้วคือ ค้นพบธรรมะ นั้นเราเดินทางไกลในสังสารวัฏเนี่ยก็เพื่อแสวงหาธรรมะนั่นเอง

ส่วนคนซึ่งเค้าไม่มีสติปัญญาเค้าไม่สามารถแสวงหาธรรมะได้ เค้าจะแสวงหาอะไร เค้าแสวงหากาม กามคือความสุขความเพลิดเพลินไปทางตาหูจมูกลิ้นกาย กายกระทบสัมผัสต่างๆ เนี่ยคนทั้งหลายก็เที่ยวแสวงหาความสุขกันแบบนั้น

อีกพวกนึงก็แสวงหากามที่ปราณีตขึ้นไปอีก คือแสวงหาความสุขทางใจ เข้าสมาธิทำฌานทำอะไรไปนะก็ได้รับความสุขทางใจ เป็นราคะที่ละเอียดขึ้นไป

ส่วนผู้มีสติมีปัญญาเนี่ยภาวนาจนเราเข้าใจธรรมรู้แจ้งอริยสัจ พอรู้แจ้งอริยสัจนะพ้นทุกข์ตั้งแต่ปัจจุบัน ตั้งแต่ขณะจิตที่รู้แจ้งอริยสัจนั่นเลย พ้นทุกข์เลย

ตั้งแต่นั้น ถ้ารู้แจ้งแล้วตั้งแต่นั้นเนี่ย ไม่มีอะไรปรุงแต่งจิตอีกแล้ว จิตไม่มีการทำงานแล้ว จิตทำหน้าที่ของจิตไปเรียกว่าเป็นกริยาแต่ไม่มีการทำงานด้วยความจงใจใดๆแล้ว ทำของเค้าเองโดยอัตโนมัติ ใจก็โปร่งโล่งสบาย

งั้นหลวงพ่อขอให้คำแนะนำพวกเรานะ รีบภาวนาแล้วเป็นพระอรหันต์ไวๆเวลาที่เหลือเราจะได้มีชีวิตที่มีความสุขนะ คุ้มค่าที่สุดเลย อย่าไปมัวแต่เอร็ดอร่อยกับของกิ๊กๆก๊อกๆนะ ความสุขทั้งหลายในโลกที่ทำให้เราติดอกติดใจนั้นมันเป็นความสุขเล็กน้อย เหมือนความสุขของเด็กเล่นกรวดเล่นทรายเล่นดินเล่นโคลนอยู่ข้างถนนข้างคลองเท่านั้นเอง

ความสุขในธรรมะนะมันปราณีต มันสะอาดหมดจด ดีกว่ากันเยอะ นั้นอย่าเสียดายความสุขเล็กๆน้อยๆ เรียนรู้ธรรมะไป แล้วเราจะได้ความสุขที่ยิ่งใหญ่ และความสุขที่เป็นอมตะด้วย ความสุขในโลกไม่อมตะหรอก อยู่ได้ชั่วครั้งชั่วคราวเดี๋ยวก็หายไปแล้ว

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๗
Track: ๑๒
File: 511109.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๐ วินาทีที่ ๕๗ ถึง นาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๓๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

V-Clip : จุดแยกระหว่างความรู้สึกตัว(สติตัวจริง)กับการเพ่ง (เทคนิคสำคัญในการทำจิตตานุปัสสนา)

จุดแยกระหว่างความรู้สึกตัว(สติตัวจริง)กับการเพ่ง (เทคนิคสำคัญในการทำจิตตานุปัสสนา)

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สติคือความระลึกได้โดยไม่ได้จงใจระลึก

mp3 for download: สติคือความระลึกได้โดยไม่ได้จงใจระลึก

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

สติคือความระลึกได้โดยไม่ได้จงใจระลึก

สติคือความระลึกได้โดยไม่ได้จงใจระลึก

หลวงพ่อปราโมทย์ : สติ แปลว่า “ความระลึกได้” พวกเรารุ่นหลังๆเริ่มคลาดเคลื่อน เราไปแปลสติว่า “กำหนด” กำหนดลมหายใจเรียกว่ามีสติ กำหนดมือ กำหนดเท้า กำหนดท้อง นะ กำหนดจิตให้สงบ เรียกว่า มีสติ แค่นั้นไม่พอนะ

สติคือความระลึกได้ หมายถึงว่า สภาวะใดๆเกิดขึ้นที่กาย สติระลึกได้โดยไม่ได้จงใจระลึก อะไรเกิดขึ้นที่ใจ สติระลึกได้โดยไม่ได้จงใจระลึก ถ้าจงใจระลึกนะ เจือปนด้วยความอยาก เจือปนด้วยโลภะ ไม่ใช่สติตัวจริงหรอก

ทำอย่างไรสติที่แท้จริงจึงจะเกิด ในพระอภิธรรมสอนบอกว่า ถิรสัญญา ถอถุง สระอิ รอเรือ ถิรสัญญา การที่จิตจำสภาวะได้แม่น เป็นเหตุใกล้ให้เกิดสติ ทำไมจิตถึงได้จำสภาวะได้แม่น สภาวะคืออะไร สภาวะคือรูปธรรมนามธรรม รูปธรรม เช่น ร่างกายที่หายใจเข้า ร่างกายที่หายใจออก ร่างกายที่ยืนเดินนั่งนอน เป็นสภาวะที่เป็นรูปธรรม สภาวะที่เป็นนามธรรม เช่น ความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ รู้สึกเฉยๆ ความโลภ ความไม่โลภ ความโกรธ ความไม่โกรธ ความหลง ความไม่หลง ความฟุ้งซ่าน ความหดหู่ ความดีใจเสียใจ นี่เป็นสภาวะที่เป็นนามธรรม จิตจะเกิดสติได้ ถ้าจิตจำสภาวะได้แม่น

เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเรา ไม่ต้องทำอะไรมากๆ อย่าไปคิดนะว่าจะบังคับสติให้เกิดได้ สติเป็นอนัตตา ไม่มีใครสั่งให้เกิดได้ แต่ถ้าสติมีเหตุ คือ จิตจำสภาวะได้แม่น สติจะเกิดขึ้นโดยไม่ได้จงใจให้เกิด

หน้าที่ของเราตอนนี้ไม่มีอะไรมาก ของเราตอนนี้ หัดรู้สภาวะที่กำลังเกิดขึ้นในกายในใจบ่อยๆ หายใจออกก็คอยรู้สึกตัว อย่าใจลอย อย่าไปเพ่งอยู่ที่ร่างกาย แค่รู้สึก หายใจเข้าก็รู้สึกตัวนะ ไม่ใจลอย แล้วก็ไม่เพ่งอยู่ที่ร่างกาย ยืน เดิน นั่ง นอน ก็คอยรู้สึกตัว แต่ก็ไม่เพ่งร่างกาย จิตใจเป็นสุข จิตใจเป็นทุกข์ จิตใจเฉยๆ ก็แค่รู้ ไม่เพ่งจิตใจนะ แล้วก็ไม่ลืมเนื้อลืมตัว ถ้าลืมตัวไปก็ลืมกายลืมใจ ถ้าไม่ลืมตัวก็รู้กายรู้ใจในขณะเดียวกันอย่าไปเพ่ง ถ้าเพ่งแล้วมันนิ่ง แค่รู้ แค่ระลึก แค่ระลึก นะ

เพราะฉะนั้น อะไรเกิดขึ้นในใจคอยรู้ไปเล่นๆ รู้เล่นๆ ถึงจุดหนึ่งสติแท้ๆจะเกิดขึ้น เช่น นั่งฟังหลวงพ่อพูด รู้สึกมั้ย ขณะที่ฟังหลวงพ่อพูด ฟังแล้วก็คิด ฟังแล้วก็คิด สลับกัน ดูออกมั้ย ไม่ใช่ฟังอย่างเดียว ไม่มีใครหรอกที่ฟังอย่างเดียว ที่เราบอกว่าตั้งใจฟัง ตั้งใจฟัง จริงเราฟังสลับกับคิดตลอด แต่เราไม่เคยเห็นต่างหากล่ะ

ต่อไปนี้เราค่อยสังเกต ฟังหลวงพ่อพูด สังเกตมั้ย ฟังไป คิดไป ฟังไป คิดไป เนี่ยเราหัดดูไปนะ จิตไปฟังเราก็รู้ทัน จิตกำลังไปคิดเราก็รู้ทัน หัดรู้อย่างนี้บ่อยๆ ต่อไปพอจิตไหลไปคิดปั๊บ สติจะเกิดเอง มันจะระลึกขึ้นได้เลยว่า อ้อ.. หลงไปคิดแล้ว มีคำว่าแล้วนะ อ้อ.. หลงไปคิดแล้ว มันโกรธขึ้นมา สติระลึกได้ จะรู้เลย อ้อ.. หลงไปโกรธแล้ว มีคำว่าแล้ว หมายถึงว่า กิเลสทั้งหลายเกิดขึ้นก่อน แล้วเราก็่ค่อยรู้ว่ามันเกิด อย่าไปดักดูนะ

เมื่อตะกี้นี้มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งมาถามหลวงพ่อว่า เขาภาวนาแล้วมันผิดตรงไน ผิดตรงที่ไปดักดู ไปรอดู จะไปดูจิตนะ ก็ไปรอดู เมื่อไหร่จะมีอะไรเกิดขึ้น อย่างนี้กลายเป็นการเพ่งจิต ไม่มีอะไรให้ดูหรอก ต้องรอให้สภาวะมันเกิดก่อน เช่น มันมีปีติขึ้นมารู้ว่ามีปีติ มีความสุขขึ้นมารู้ว่ามีความสุข มันเฉยๆรู้ว่าเฉยๆ มันโลภ มันโกรธ มันหลัง ค่อยรู้เอา สภาวะเกิดแล้วค่อยรู้ สภาวะเกิดแล้วค่อยรู้

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ อาคาร ซี.พี. ทาวเวอร์
เมื่อวันศุกร์ ที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๒

File: cp tower 520724
ระหว่างนาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๐๘ ถึง นาทีที่ ๑๔วินาทีที่ ๕๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

รู้สภาวะแล้ว จิตยินดียินร้ายให้รู้ทันอีก

mp 3 (for download) : รู้สภาวะแล้ว จิตยินดียินร้ายให้รู้ทันอีก

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : คอยดูใจของเรานะเวลามันรู้สภาวะขึ้นมา เช่นมันเห็นความสุขเกิดขึ้นมา มันหลงยินดีให้รู้ทัน มันเกิดความทุกข์ขึ้นมา มันหลงยินร้ายให้รู้ทัน หรือภาวนาเจริญสตินะ สติเกิดถี่ยิบเลย พอใจรู้ทัน ช่วงนี้สติไม่เกิดเลยสติแตก เสื่อมไปกรรมฐานเสื่อม เสียใจกลุ่มใจทุรนทุราย รู้ทันลงไปว่าไม่พอใจอยู่ เนี่ย ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นนะรู้ลงไปที่ใจของเรา

เบื้องต้นแค่เห็นสภาวะก่อน เช่นร่างกายเคลื่อนไหวรู้สึก จิตใจเคลื่อนไหวรู้สึก โลภโกรธหลงเกิดขึ้นก็รู้อะไรรู้ ถ้ารู้แล้วนะต่อไปก็ลึกซึ้งขึ้นมาอีก สังเกตเข้ามาถึงจิตถึงใจ มันจะเข้ามาสังเกตได้เองแหล่ะ อย่าจงใจสังเกตนะ มันจะเห็นความยินดียินร้ายที่เกิดขึ้น

งั้นเบื้องต้นรู้สภาวะนะ ถัดมาก็รู้ความยินดียินร้ายต่อสภาวะนั้น เมื่อเรารู้ความยินดียินร้ายต่อสภาวะนั้น ความยินดียินร้ายจะดับไป ใจก็เป็นกลางขึ้นชั่วขณะ ก็ไปรู้สภาวะอีก ก็หลงยินดียินร้ายอีก รู้ทันความยินดียินร้ายอีกนะ ความยินดียินร้ายดับอีกชั่วขณะ เดี๋ยวกระทบอารมณ์ก็เกิดอีก เกิดไปจนวันนึงปัญญามันแจ้งขึ้นมาว่า ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เป็นไตรลักษณ์ เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์เป็นอนัตตา คราวนี้มันจะไม่ยินดียินร้ายของมันเองแล้ว

เบื้องต้นไม่ยินดียินร้ายเข้าไปรู้ทันความยินดียินร้ายเข้าเราจะได้ไม่ปรุงนาน พอฝึกมากเข้ามากเข้าเนี่ย มันเข้าใจความเป็นจริงของสังขารคือความปรุงแต่งทั้งปวง ทั้งรูปธรรมทั้งนามธรรม ทั้งกายทั้งใจ เข้าใจแล้วว่ามันไม่เที่ยงมันเป็นทุกข์เป็นอนัตตา มันจะหมดความยินดียินร้ายไปเอง นี่เป็นการที่มันเข้าถึงความยินดียินร้ายด้วยปัญญา ไม่ใช่ด้วยสติ

เบื้องต้นรู้ด้วยสตินะ เห็นจิตมันยินดีก็รู้ อย่างไปเห็นสาวสวยใจมันชอบนะ เราเห็นลงไปรู้ทันความชอบนี้ ใจไม่ชอบอีกแล้วอยากให้หายราคะ อยากให้หาย รู้ทันลงไปที่ความอยากให้ราคะดับอีกมันยินร้ายอีกแล้ว ถ้ารู้อย่างนี้นะอย่างนี้เรียกว่ารู้ด้วยสติ รู้ไปเรื่อยๆ ทันทีที่รู้ด้วยสตินะ ความยินดียินร้ายก็ดับ แต่ดับชั่วคราว ต่อไปพอซ้ำแล้วซ้ำอีก เห็นสภาวะเกิดดับไปเรื่อยๆ เห็นเป็นไตรลักษณ์ไปเรื่อย ต่อไปก็รู้ด้วยปัญญา เห็นว่าทุกอย่างเป็นของชั่วคราว ไม่รู้จะยินดีไปทำไม ไม่รู้จะยินร้ายไปทำไม อย่างนี้รู้ด้วยปัญญา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๗
Track: ๑๐
File: 511108A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๘ วินาทีที่ ๒๙ ถึง นาทีที่ ๑๐ วินาทีที่ ๕๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๒) ดูจิตด้วยอานาปานสติ

mp3 for download : อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๒) ดูจิตด้วยอานาปานสติ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๒) ดูจิตด้วยอานาปานสติ

อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๒) ดูจิตด้วยอานาปานสติ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ทีนี้ทำอานาปานสติแล้วดูจิตก็ได้ เห็นมั้ยกรรมฐานนี้กว้าง เห็นมั้ย ทำสมาธิได้ทุกแบบเลยนะ จนถึงเข้าอรูปนะ แต่ตรงอรูปเนี่ยทิ้งเรื่องลมไปแล้ว แล้วเข้าไปดูจิตต่อ เข้าอรูปไป จะทำโดยใช้ปัญญานำสมาธิก็ได้ ใช้สมาธินำปัญญาก็ได้ ใช้สมาธิและปัญญาควบกันก็ได้ เนี่ยอานาปานสติทำได้หมดเลย ตรงที่ใช้ปัญญานำสมาธินี้เอง เห็นร่างกายหายใจ ใจเป็นคนดู เนี่ยเราใช้ปัญญานำสมาธิไปเลย ไม่ได้เข้าฌานนะ ถ้าใช้สมาธินำปัญญาก็คือ เข้าฌานไปก่อนนะ ออกจากฌานแล้วมาพิจารณาธาตุขันธ์ แล้วได้ตัวผู้รู้ออกมา จากฌานที่ ๒ ออกมาข้างนอกเนี่ยนะ ดู ดูธาตุดูขันธ์ทำงาน ดูได้เป็นวันๆเลย อันนี้ใช้สมาธินำปัญญา ตัวผู้รู้จะเด่นดวง อดทน ทนได้นาน

พวกใช้ปัญญานำสมาธิ ตัวผู้รู้จะอยู่แว้บๆ เพราะสมาธิที่ใช้ มันก็มีสมาธิเหมือนกัน สมาธิที่ใช้เดินปัญญามันแค่ขณิกสมาธิ ไม่ถึงอุปจาระ ไม่ถึงอัปนา นะ ได้แค่ ขณิกะ ให้รู้ตัวเป็นขณะๆ จิตหนีไปแล้วรู้ทัน ก็ได้สมาธิขึ้นมา ได้มานิดเดียว แต่พอหลายๆนิดเข้านะ นิดบ่อยๆเข้า มันก็รู้ได้เหมือนกัน ก็เห็นร่างกายเป็นของถูกรู้ถูกดู จิตเป็นคนดู ตรงที่จิตเป็นคนดู ตรงนี้ล่ะ ได้ขณิกสมาธิแล้ว ตรงนี้เป็นปัญญานำสมาธิ เดินปัญญาไปก่อนแล้วสมาธิที่ถึงอัปนาฯจะเกิดทีหลัง แต่ตอนที่เดินปัญญานี้มีขณิกสมาธิอยู่

แล้วถ้าจะเดินปัญญาด้วยการดูจิตล่ะ ทำไง? หายใจไป หายใจไปแล้วจิตมีความสุข รู้ ว่าจิตมีความสุข หายใจไปแล้วจิตเครียดๆขึ้นมา รู้ ว่าจิตเครียดๆ เนี่ย ดูความเปลี่ยนแปลงของจิต หายใจไปแล้วจิตฟุ้งซ่าน รู้ทัน ว่าจิตฟุ้งซ่าน หายใจไปแล้วจิตสงบ รู้ทัน ว่าจิตสงบ นี่หายใจแล้วดูจิต หายใจแล้วจิตไหลไปอยู่ที่ลมหายใจ รู้ทัน ว่าจิตไหลไปอยู่ที่ลมหายใจ หายใจแล้วจิตตั้งมั่น สักว่ารู้ว่าเห็น ไม่ไหลเข้าไปในลมหายใจ อันนี้ก็เรียกว่า “ดูจิต”

เพราะฉะนั้นนะ หายใจนะ ดูกายก็ได้ เจริญปัญญาด้วยการดูกาย เห็นกายมันหายใจ หายใจไม่ใช่แค่เห็นว่าร่างกายมันหายใจนะ บางทีโยงไปถึงท้องพองยุบ จิตเป็นคนดู เพราะฉะนั้นถ้าทำท้องพองยุบแล้วจิตเป็นคนดู ก็ใช้ได้เหมือนกัน เราจะเห็นว่า ร่างกายที่พองที่ยุบ ไม่ใช่เรา

ถ้าหายใจไปแล้ว จิตมีความสุขก็รู้ จิตมีความทุกข์ก็รู้ อันนี้ถือว่าดูจิตล่ะ หายใจไปแล้วจิตฟุ้งซ่านก็รู้ จิตสงบก็รู้ อันนี้ก็เรียกว่าดูจิตล่ะ หายใจไปแล้วจิตตั้งมั่นอยู่ก็รู้ จิตไหลเข้าไปอยู่ที่ลมหายใจก็รู้ อันนี้ก็เรียกว่าดูจิตล่ืะ มันจะเห็นว่าจิตทุกชนิดไม่เที่ยง จิตสุขก็ไม่เที่ยง จิตทุกข์ก็ไม่เที่ยง จิตกุศลก็ไม่เที่ยง จิตอกุศลก็ไม่เที่ยง เห็นจิตไม่เที่ยงตลอดเวลาเลย เนี่ยแหละ เดินปัญญาแล้วนะ ดูจิตจะเห็นอนิจจังง่ายนะ จะเห็นแต่ของไม่เที่ยง เปลี่ยนตลอดเวลา เปลี่ยนเร็วมากเลย

541106A.19m51-23m22

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
วันอาทิตย์ที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ก่อนฉันเช้า

CD: 42
File: 541106A.mp3
นาทีที่ ๑๙ วินาทีที่ ๕๑ ถึง นาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๒๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ภาวนามีแต่หลงกับรู้สลับกันทั้งวัน

Mp3 for download: ภาวนามีแต่หลงกับรู้สลับกันทั้งวัน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ภาวนามีแต่หลงกับรู้สลับกันทั้งวัน

ภาวนามีแต่หลงกับรู้สลับกันทั้งวัน

โยม : คือรู้สึกตัวแล้วประเดี๋ยวก็จะเป็นเรื่องอื่นต่อ (หลวงพ่อปราโมทย์ : ใช่) มันก็เป็นอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ทั้งวันมีอยู่ ๒ อย่าง (โยม : ค่ะ) หลงกับรู้ หลงกับรู้ สลับกันไปเรื่อย ไม่ได้ภาวนาเพื่อจะให้รู้ตลอดเวลา

โยม : แต่คำถามคือว่า แล้วอย่างนี้ ดิฉันจะต้องไปปฏิบัติยังไงต่อ นอกจากที่เป็นอยู่อย่างนี้

หลวงพ่อปราโมทย์ : ดูหลงไปแล้วรู้ หลงไปแล้วรู้ นี่ล่ะ ดูอย่างนี้เรื่อยๆไปนะ ถึงเวลาไหว้พระสวดมนต์ ทำในรูปแบบบ้าง เช่นเดินจงกรม ถ้าไม่ถนัดเดินก็นั่งเอา นั่งดูใจที่เดี๋ยวหลงเดี๋ยวรู้ไปเรื่อยๆ ซ้อมน่ะ ซ้อมดูหลง

โยม : ก็ยังทำอย่างนี้ต่อไป

หลวงพ่อปราโมทย์ : ใช่…

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๔
File: 530422
ระหว่างนาทีที่  ๔๗วินาทีที่ ๐๔ ถึง นาทีที่ ๔๗วินาทีที่ ๓๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สมาธิที่รู้เห็นสิ่งภายนอกไม่เป็นไปเพื่อเกิดปัญญา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

Mp3 for download: สมาธิที่รู้เห็นสิ่งภายนอกไม่เป็นไปเพื่อเกิดปัญญา

สมาธิที่รู้เห็นสิ่งภายนอกไม่เป็นไปเพื่อเกิดปัญญา

สมาธิที่รู้เห็นสิ่งภายนอกไม่เป็นไปเพื่อเกิดปัญญา

ลพ.ปราโมทย์ : สมาธิที่รู้เห็นอะไรข้างนอกนี่ ไม่เป็นไปเพื่อให้เกิดปัญญา สมาธิที่ฝึกไปแล้วจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว จิตใจไม่ลืมเนื้อลืมตัว อันนี้แหละสมาธิที่ทำให้เกิดปัญญาได้

เพราะฉะนั้นต่อไปเราฝึกสมาธินะ เราอย่าฝึกให้เคลิ้ม เราฝึกให้รู้สึกตัวไว้ พุทโธๆ พุทโธไปนะ พุทโธสบาย ไม่พุทโธเพื่อบังคับให้จิตสงบ พุทโธๆ พุทโธไป หรือหายใจเข้า หายใจออกนะ หายใจไปอย่างสบาย ฝึกให้รู้สึกตัว เห็นร่างกายมันหายใจไป เห็นใจมันท่องพุทโธไป เรียกว่าทำสมถะไปนะ ทำกรรมฐานขึ้นสักอันหนึ่ง จะดูลมหายใจก็ได้ จะพุทโธก็ได้ จะดูท้องพองยุบก็ได้ จะเดินจงกรมก็ได้ นะ ทำอะไรก็ได้นะ แต่ทำไปเพื่อจะให้รู้สึกตัว ไม่ทำให้เคลิ้ม เช่น หายใจไป รู้สึกตัว ใจลอยไปแล้ว รู้ทัน หายใจไป รู้สึกตัว เอาใจไปเพ่งอยู่ที่ลมหายใจ รู้ทันนะ เราฝึกเพื่อให้ได้ความรู้สึกตัวขึ้นมาก่อน

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อวันพฤหัสบดีที่
๒๒ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๔
File: 530422
ระหว่างนาทีที่  ๑วินาทีที่ ๓๒ ถึง นาทีที่ ๑๗ วินาทีที่ ๓๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ต้องรู้ตัวเอง กรรมฐานแบบไหนเหมาะกับตัวเรา

mp 3 (for download) : ต้องรู้ตัวเอง กรรมฐานแบบไหนเหมาะกับตัวเรา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ต้องรู้ตัวเอง กรรมฐานแบบไหนเหมาะกับตัวเรา

ต้องรู้ตัวเอง กรรมฐานแบบไหนเหมาะกับตัวเรา

หลวงพ่อปราโมทย์ : งั้นเราต้องใช้อะไรช่วย ใช้โยนิโสมนสิการช่วย สังเกตตัวเองเอากรรมฐานอะไรที่เหมาะกับเรา อย่างหลวงพ่อสอนสังเกตมั้ยหลวงพ่อไม่ได้สอนบอกว่า กรรมฐานต้องแบบนี้ต้องแบบนี้ นึกออกมั้ย จะสอนหลักให้นะเสร็จแล้วเราต้องไปสังเกตเอาว่าเราใช้กรรมฐานอะไรแล้วเหมาะกับตัวเราเอง ทำแบบไหนจิตเราจะสงบได้สมถะกรรมฐาน หลวงพ่อสอนหลักให้ว่าถ้าจะทำสมถะกรรมฐานนะ ศีลต้องมีนะไม่มีไม่ได้ ต้องมีศีลรองรับไว้ก่อน ต้องรู้จักเลือกอารมณ์ที่ว่าอยู่กับอารมณ์อันนั้นแล้วจิตใจมีความสุข อารมณ์นั้นต้องไม่ยั่วกิเลส นี่อยู่อย่างมีความสุขแต่อยู่กับกิเลสอย่างนั้นใช้ไม่ได้ น้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์​อันเดียว รู้ไปอย่างสบายๆ เคล็ดลับอยู่ที่สบายๆ

สอนหลัก ส่วนพวกเราก็ต้องไปดูเอาเอง คนนี้ไปดูไฟดูด้วยใจที่สบายๆ ถือศีลไว้ก่อนแล้วก็ไปดูไฟ ดูด้วยใจสบาย ดูแล้วชอบเห็นไฟนี้ชอบ ความจริงคนจำนวนมากชอบดูไฟนะ ยิ่งไฟไหม้นี่ชอบมากเลย พวกนี้ควรจะหัดกสิณไฟไว้นะ ใครเวลาไฟไหม้ชอบไปดูมีมั้ย ในห้องนี้มีมั้ย ยกมือให้หลวงพ่อดูซิ ไม่มีเลยเหรอ แปลก เห็นเวลาไฟไหม้ทีคนแน้นแน่นชอบดูไฟ ดูไฟมันสะบัดนะ ทำกสิณไฟก็ดูเปลวไฟนะมันไหวๆ มันจะเร้าใจสนใจ ถ้าใจชอบนะใจก็จดจ่อมีความสุข บางคนไม่ชอบดูไฟ ไปดูอย่างอื่น อย่างอาจารย์มหาวิบูลย์อยู่แม่สอด แรกๆดูไฟนะเล่นกสิณไฟ ทำกสิณไฟไว้วันนึงนะนั่งไปนั่งไป นั่งหลับตาเนี่ย โหวันนี้กสิณดีจังเลยนะได้กลิ่นไฟไหม้แล้วก็ร้อนขึ้นเรื่อยๆจนเอ่ะใจลืมตานะ ไฟกำลังจะไหม้กุฏิแล้วเทียนมันล้มไปนะ หลัังจากนั้นท่านเปลี่ยนเป็นกสิณน้ำ ท่านเลยเก่งกสิณน้ำ หลวงปู่คำพันธ์ ใครเคยได้ยินชื่อหลวงปู่คำพันธ์ วัดธาตุมหาชัย เก่งปฐวีกสิณเก่งกสิณดิน

เห็นมั้ยครูบาอาจารย์แต่ละองค์นะ ลูกศิษย์อาจารย์เดียวกันแล้วนะ ครูบาอาจารย์ลงมาในรายละเอียดการปฏิบัติไม่เหมือนกันหรอก ต้องไปสำรวจตัวเองนะว่ากรรมฐานอะไรแล้วเหมาะกับตัวเอง อยู่แล้วมีความสุข อยู่แล้วรู้สึกตัวมีความสุขอยู่แล้วไม่ยั่วกิเลส ก็อยู่กับอารมณ์อันนั้นแหล่ะ ก็จะได้สมาธิได้สมถะกรรมฐาน นั้นหลวงพ่อจะสอนหลักนะ พวกเราต้องไปดูเอาเองว่าเราใช้กรรมฐานอะไรแล้วเหมาะกับตัวเอง อย่าเที่ยวเชื่อคนง่ายนะและอย่าตามอาจารย์​ หลวงพ่อทำอานาปานสติ ไม่ใช่ทุกคนต้องทำสมถะด้วยอานาปานสติ ไม่ใช่ หลวงพ่อเจริญวิปัสสนาโดยใช้จิตตานุปัสสนา ไม่ใช่ทุกคนต้องทำจิตตานุปัสสนา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

CD: แสดงธรรมเทศนา สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๑
File: 540820
ระหว่างนาทีที่ ๒๐ วินาทีที่ ๑๕ ถึงนาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๓๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

แยกธาตุแยกขันธ์ได้ เริ่มจาก มีความสุขก็รู้ มีความทุกข์ก็รู้

mp 3 (for download) : แยกธาตุแยกขันธ์ได้ เริ่มจาก มีความสุขก็รู้ มีความทุกข์ก็รู้

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

แยกธาตุแยกขันธ์ได้ เริ่มจาก มีความสุขก็รู้ มีความทุกข์ก็รู้

แยกธาตุแยกขันธ์ได้ เริ่มจาก มีความสุขก็รู้ มีความทุกข์ก็รู้

หลวงพ่อปราโมทย์ : คนจำนวนมากเลยที่สามารถแยกธาตุแยกขันธ์ได้ เห็นเลยว่าความสุขความทุกข์กับจิตใจเนี่ย เป็นคนละอันกัน ร่างกายกับจิตใจก็เป็นคนละอันกันนะ กุศลอกุศลกับจิตใจก็เป็นคนละอันกัน เขาแยกอย่างนี้ได้

เพราะฉะนั้นอย่างความสุขเกิดขึ้นก็รู้เลย ความสุขเกิดขึ้นก็เป็นแค่สภาวธรรมอย่างหนึ่งผ่านเข้ามา จิตเป็นคนไปรู้มันเข้า นี่เขาดูเก่งนะ

เบื้องต้นเราแยกไม่ออกก็ไม่เป็นไร เบื้องต้นแค่ว่าตอนนี้มีความสุขขึ้นมาก็รู้ ตอนนี้มีความทุกข์ขึ้นมาก็รู้ เบื้องต้นเอาให้ได้แค่นี้ก่อน มีความสุขขึ้นมาก็รู้มีความทุกข์ขึ้นมาก็รู้

พอชำนิชำนาญขึ้นเราจะค่อยๆสังเกตเห็นนะ ความสุขไม่ใช่จิตหรอก ความสุขเป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า ความทุกข์ก็ไม่ใช่จิตนะ จิตเป็นคนไปรู้ความทุกข์เข้า อย่างนี้ค่อยแยกออกไปอีก ฝึกไปๆจะเห็นว่า ความสุขความทุกข์มันไม่ย้อมจิต มันมาแล้วมันก็ไป มันมาแล้วก็ไป จิตไม่หลงยินดีไม่หลงยินร้ายกับมัน

จิตที่หลงยินดียินร้ายมันไหลเข้าไปเกาะไหลเข้าไปรวมกับอารมณ์ มีความสุขก็เข้าไปเกาะในความสุขนะ มีความทุกข์ก็เข้าไปเกาะในความทุกข์ ความสุขกับความทุกข์อันไหนเกาะเร็วกว่ากัน ความทุกข์เกาะเร็ว อะไรปล่อยได้ยากกว่ากัน ความสุข ความสุขปล่อยยากนะ ยากกว่าความทุกข์ ความทุกข์อยากปล่อย แต่ความสุขไม่อยากปล่อย อยากเอาไว้

เนี่ยเราเฝ้ารู้เฝ้าดูไปเรื่อยเลยนะ จิตมันไหลไปเกาะกับความสุข ก็รู้ ไหลไปเกาะกับความทุกข์ ก็รู้ มันแยกออกมา ก็รู้ ต่างคนต่างอยู่ไป ต่อไปมันก็จะเห็นเลย ความสุขความทุกข์เป็นแค่สภาวะอันหนึ่งเท่านั้นเอง มีเหตุก็เกิดขึ้น

เหตุของความสุขก็คือ จิตไปกระทบอารมณ์ที่เพลิดเพลินพอใจ พอจิตกระทบอารมณ์ที่เพลิดเพลินพอใจ ก็ได้ความสุข จิตไปกระทบอารมณ์ที่ไม่พอใจ ก็มีความทุกข์

อย่างบางคนภรรยาด่าทุกวันเลยตั้งแต่แต่งงาน ด่าทุกวันๆเลยนะ ทีแรกก็ไม่พอใจนะ อยู่ๆไปก็ชินนะ คล้ายอยู่กับน้ำนานน่ะ ชิน วันไหนภรรยาเงียบๆไปนะ ใจคอไม่สบาย ไม่รู้มันจะมาไม้ไหน เนี่ยใจมันก็แปลกๆนะ

ให้เราก็เฝ้ารู้ลงไปนะ เฝ้ารู้ลงไปที่ใจ เห็นเลยความสุขความทุกข์ทั้งหลาย มาแล้วก็ไป ความสุขความทุกข์ทั้งหลายไม่ใช่จิตหรอก เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า มีเหตุมันก็เกิด หมดเหตุมันก็ดับ บังคับมันก็ไม่ได้ ดูอย่างนี้แหละ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

CD: ศาลาลุงชิน ครั้งที่ ๔๖
File: 541218
ระหว่างนาทีที่ ๑๓ วินาทีที่ ๒๐ ถึงนาทีที่ ๑๖ วินาทีที่ ๐๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ยิ่งปฎิบัติธรรมกลับยิ่งเลวลง

mp3 (for download) : ยิ่งปฎิบัติธรรมกลับยิ่งเลวขึ้น

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม : อย่างบางคนน่ะค่ะ เอ่อ บอกว่ารู้สึกว่าพอปฏิบัติธรรมแล้วเนี่ยจะรู้สึกว่าตัวเองน่ะเลวขึ้น เลวลงหรือเลวขึ้น มันทำไมถึงเป็นอย่างนั้นน่ะคะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : เมื่อก่อนมันเลวแต่มันไม่รู้นะ พอมาปฏิบัตินะเราดูตัวเอง ฉีกหน้ากากตัวเอง เรารู้ทันตัวเอง รู้เลย โหเลวจริงๆ เลวกว่าที่นึกไว้ แต่เดิมนึกว่าเราเป็นพ่อพระแม่พระนะ ที่แท้เป็นนางแม่มดพ่อมดหรอกนะ งั้นมาหัดดูตัวจริงนะมันจะใส่หน้ากากหลอกตัวเองหลอกคนอื่น ภาวนาจะดีนะต้องซื่อๆ มีองค์ธรรมของผู้ปฏิบัตินะที่พระพุทธเจ้าท่านแยกแยะไว้ มีตัวนึงก็คือซื่อๆ ต้องซื่อในการปฏิบัติ ใส่หน้ากากอยู่ภาวนายาก  

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
แสดงธรรมเมื่อ วันพุธที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๔

CD: แสดงธรรมเทศนานอกสถานที่ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
File: 540810A
ระหว่างนาทีที่ ๗๕ วินาทีที่ ๒๕ ถึง นาทีที่ ๗๖ วินาทีที่ ๑๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สุขทุกข์อยู่ที่ใจเราเอง

mp3 (for download) : 530228B_suffering

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

สุขทุกข์อยู่ที่ใจเราเอง

สุขทุกข์อยู่ที่ใจเราเอง

โยม : พอจุดที่ไปอยู่แล้วรู้สึกว่าไม่ใช่ที่ๆ มีความสุขนะเจ้าคะ มันก็ไปอินกับความเศร้าอยู่พักนึง แล้วก็มันไม่มีกำลัง

หลวงพ่อปราโมทย์ : ที่ๆ อยู่ จุดที่อยู่หมายถึงอะไร จุดข้างในนี้หรือ

โยม : ที่ๆ เลือก สถานที่ที่เลือกไปเจ้าคะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : จะบอกให้ว่า จะไปอยู่ที่ไหนก็จะไม่มีความสุขหรอก เพราะว่าความทุกข์มันอยู่กับตัวเราเอง ไม่ว่าจุ๊จะย้ายไปอยู่ตรงไหน ความทุกข์ก็จะตามไป

โยม : แล้วตอนนี้มันก็ มันเหมือนเริ่มเห็นว่าจุดที่จะเลือกใหม่ มันก็กลัวเจ้าคะ ก็เลยจะกลับไปสู้กันอีกตั้งนึง

หลวงพ่อปราโมทย์ : ที่ไหนก็ทุกข์เหมือนกันนะ เราไม่ต้องกังวลมากหรอก เพราะว่าอะไร เพราะว่าที่ทุกข์มากๆ ก็เพราะใจเรานี่เอง ใจเราปฎิเสธสิ่งแวดล้อม เราไม่อยากได้อย่างนี้ เราก็ทุกข์สิ ถ้าเรารู้ทันเนี่ย โอ้ ความทุกข์มาเกิดขึ้นในใจเราเนี่ย เพราะใจเราไม่เป็นกลาง มีวิภวตัณหาเกิดขึ้น ไม่ชอบ เป็นตัณหา มีตัณหาก็ต้องมีทุกข์แหละ

โยม : จุ๊ก็เลยนับหนึ่งใหม่ พอีหนอณัฐบอกให้กระตุ้นความรู้สึกตัว ก็เลยเริ่มพยายามที่กลับมาทำ ก็เลยมากราบขอคำแนะนำหลวงพ่อค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : นั้นแหละ ก็แนะถูกแล้วนะ รู้สึกตัวไป รู้สึกบ่อยๆ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อวันอาทิตย์ ๒๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๓ หลังฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๔
File: 530228B
ระหว่างนาทีที่ ๔๓ วินาทีที่ ๐๓ ถึง นาทีที่ ๔๔ วินาทีที่ ๑๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตที่เดินปัญญาได้จริงต้องตั้งมั่น เป็นกลาง และมีกำลังกล้า

mp3 (for download) : จิตที่เดินปัญญาได้จริงต้องตั้งมั่น เป็นกลาง และมีกำลังกล้า

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.


จิตที่เดินปัญญาได้จริงต้องตั้งมั่น เป็นกลาง และมีกำลังกล้า

จิตที่เดินปัญญาได้จริงต้องตั้งมั่น เป็นกลาง และมีกำลังกล้า

หลวงพ่อปราโมทย์ : บทเรียนเกี่ยวกับจิตตสิกขาไม่ได้จบแค่ว่า อันไหนเป็นกุศล อันไหนเป็นอกุศล ยังลึกลงไปอีกชั้นนึง ในบรรดาจิตที่เป็นกุศลนั้นยังมี 2 ชนิด กุศลที่สงบพักผ่อนอยู่เฉยๆ กับกุศลที่ใช้เจริญปัญญา ไม่เหมือนกัน

จิตที่มีกุศลแบบสงบพักผ่อนสบาย จิตเป็นอยู่ในอารมณ์ที่เป็นบุญเป็นกุศลเนี่ยอย่างหนึ่ง อย่างเวลาเราทำบุญใส่บาตร รู้สึกมั้ย มีความสุข รู้สึกมั้ย และจิตเป็นกุศลนะแต่กุศลอย่างนี้ไม่เจริญปัญญา เป็นกุศลเฉยๆ ทำบุญทำความดีอะไรนี้ เสียสละปลื้มใจ แต่ยังไม่ถึงขั้นเจริญปัญญา

กุศลที่เจริญปัญญาได้นะ จิตที่จะเจริญปัญญาได้ต้องตั้งมั่น ตั้องตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถอนตัวออกจากปรากฎการณ์ทั้งหลายทางรูปธรรมนามธรรม เห็นรูปธรรมแสดงละคร เห็นนามธรรมแสดงละคร จิตถอนตัวออกมาเป็นผู้รู้ ผู้ดู เห็นมันแสดงทั้งวันเลย

ในร่างกายเรามีตัวละครอยู่ 28 ตัวนะ มีรูปมันมี 28 รูปแต่รูปจริงๆมี 18 รูป รูปเทียมๆ รูปไม่จริงมีอีก 10 รูป นามธรรมทั้งหลายเนี่ยมีจิตหนึ่ง จิตมีหนึ่ง จิตคือธรรมชาติที่รู้อารมณ์ เจตสิกอีก 52 เจตสิก 52 อย่างเนี่ยแยกเป็นเวทนาซะหนึ่ง สัญญาอีกหนึ่ง อีก 50 เป็นตัวสังขาร เนี่ยตัวละครนะ ตัวละครโรงใหญ่เลยนะ มีจิต มีเจตสิก มีรูปนะ

จิต ถ้าแยกออกไปอีกมีจิตอีกเยอะแยะเลย มีอีก 81 ดวง พวกเราไม่มี 89 ดวง เราไม่เคยมี เราไม่มีโลกุตตรจิต(อ่าน โล-กุต-ตะ-ระ-จิต)อีก 8 ดวง ถ้าคนใหนเป็นพระอริยะก็เคยมีโลกุตตรจิต ถ้าเป็นพระอรหันต์ผลจิตเกิดขึ้นนะก็เป็นโลกุตตระได้นะแต่อย่างปุถุชนนี่ไม่มี ไม่เคยเห็น ถ้าคนทำฌานไม่ได้นะจำนวนจิตที่มียิ่งลดลงอีก

อย่างพวกเรานี้เป็นจิตอยู่ในกาม จิตวนเวียนอยู่ในกามาวจรภูมิ เราดูจิตเท่าที่เรามี จิตที่เรามีนะเดี๋ยวก็เป็นกุศล เดี๋ยวก็เป็นอกุศลเนี่ยหัดดูไปเท่าที่มีนะ ไม่ต้องอุตริไปดูว่าจิตของพรหมเป็นแบบใหนเราต้องเลียนแบบไม่จำเป็นเลย ไม่จำเป็น เราดูของจริงในตัวเอง รวมๆแล้วสภาวะธรรมทั้งหมดนะที่จะเรียนจริงๆมี 72 ตัว เป็นนิพพานซะตัวนึง เป็นจิตซะตัวนึง อีก70 ตัวเนี่ยเป็นทั้งรูปทั้งนาม รูปนามแท้ๆนะ เราไม่ต้องเรียนเยอะขนาดนั้น

เราเรียนเท่าที่เรามี เรียนเท่าที่เรามี หัดดูของจริงนะ หัดดูไปเรื่อย ดูด้วยจิตที่ตั้งมั่น จิตที่เป็นกลาง เนี่ยจิตที่เป็นกุศลชนิดที่มันตั้งมั่น มันเป็นกลาง แล้วจิตที่เป็นกุศลที่ใช้เดินปัญญาได้จริงเนี่ยต้องเป็นกุศลที่มีกำลังกล้า

จิตที่มีกุศลนะยังมี 2 ชนิดนะ ชนิดที่ 1 มีกำลังอ่อนเอาไปทำวิปัสสนาไม่ได้จริงหรอก ชนิดที่ 2 มีกำลังกล้าต้องมีปัญญาด้วย จิตที่มีกุศลก็ยังมีอีกสองพวก พวกที่มีปัญญากับพวกไม่มีปัญญา พวกที่มีปัญญากับไม่มีปัญญายังแยกได้อีกนะ แยกเป็นพวกที่มีกำลังแก่กล้ากับพวกกำลังไม่แก่กล้า

อย่างพวกมีปัญญาเนี่ย ปัญญาอ่อนๆก็มีนะแต่ไม่ใช่ปัญญาอ่อนอย่างโลกๆนะหมายถึงกำลังของปัญญาเนี่ยไม่แก่กล้า กับพวกที่กำลังแก่กล้า จิตที่เป็นกุศลที่มีกำลังกล้าเนี่ยเป็นจิตที่เกิดอัตโนมัติเกิดได้เองเรียกว่า อสังขาริกัง เกิดเอง จิตที่ต้องน้อมนำให้เกิดกุศลเนี่ยมีกำลังอ่อนเรียก สสังขาริกัง

สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในตำหรับตำรา ต้องศึกษา รู้เองไม่ได้หรอก กระทั่งพระอรหันต์ก็ไม่รู้หมดหรอก เพราะว่าไม่ใช่ภูมิปัญญาที่จะรู้ได้ทั่วถึงขนาดพระพุทธเจ้าขนาดนั้น นั้นเราอย่าดูถูก ตำหรับตำรานะ เป็นนักปฏิบัติอย่าดูถูกปริยัติ ดูของจริง ดูของจริงลงไป เรามาฝึกจนจิตที่เป็นกุศลเกิดอัตโนมัติ                           

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๔

CD: ๔๑
File: 540911
ระหว่างนาทีที่ ๑๒ วินาทีที่ ๑๐ ถึงนาทีที่ ๑๖ วินาทีที่ ๓๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

วิธีหัดเรียนรู้จิต

mp3 (for download) : วิธีหัดเรียนรู้จิต

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

วิธีหัดเรียนรู้จิต

วิธีหัดเรียนรู้จิต

หลวงพ่อปราโมทย์ : เรียนรู้จิตนี่ใช้วิธีสังเกตเอานะ สังเกตเอา จิตใจของเราแต่ละวันแต่ละเวลาไม่เคยเหมือนกัน แรกๆหัดดูเป็นวันๆก่อน วันนี้ตื่นขึ้นมาก็สดชื่นแล้ว วันนี้เป็นวันที่แจ่มใส อีกวันเป็นวันที่เซ็ง อีกวันหงุดหงิดทั้งวันเลย นะ หัดดูอย่างนี้ก่อน หัดดูเป็นวันๆ ดูเป็นวันๆได้แล้วก็มาดูเป็นเวลา วันเดียวนี้แหละ เช้า สาย บ่าย เย็น ตอนกลางคืน จิตไม่เหมือนกัน ดูเป็นเวลา

ต่อไปชำนาญขึ้น ดูเป็นขณะ ขณะที่ตามองเห็นจิตเป็นอย่างหนึ่ง ขณะที่หูได้ยินเสียงจิตเป็นอีกอย่างหนึ่ง จมูกได้กลิ่นลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจคิดนึกปรุงแต่ง จิตเป็นอีกอย่างหนึ่งนะ เนี่ยดูความเปลี่ยนแปลง ดูความเปลี่ยนแปลงของจิตไป หัดรู้หัดดูไปเรื่อยนะ ค่อยๆสังเกตไปเรื่อย

ต่อไปก็แยกออกน่ะ จิตที่เป็นกุศลมันเป็นยังไง จิตที่เป็นอกุศลมันเป็นยังไง จิตที่เป็นอกุศลก็มีความโลภ ความโกรธ ความหลง แทรกอยู่ แรกๆก็จะเห็นแต่ว่า กิเลสหยาบๆถึงจะรู้ กิเลสละเอียดไม่รู้ หัดรู้หัดดูบ่อยๆ ต่อไปกิเลสละเอียดเกิดขึ้นก็เห็น อย่างแต่เดิมต้องโกรธแรงๆถึงเห็น ต่อมาหัดรู้หัดดูบ่อยๆ ขัดใจเล็กๆก็เห็น ตอนนี้ใครเห็นความขัดใจเล็กๆบ้าง ยกมือซิ มีมั้ย เอ่อ ดีนะ ดี จะไม่ตกนรกนะ เพราะว่าเรารู้ทันโทสะแล้ว ถ้ารู้ไม่ทันโทสะนะ ตกนรกนะ

แต่เดิมต้องโลภแรงๆนะ ต้องโลภแรงๆ อยากได้อย่างรุนแรงถึงจะเห็น เดี๋ยวนี้ใจอยากได้นิดหน่อยก็เห็นแล้ว อย่างอากาศร้อนจัดๆนะ ลมโชยมา เย็นสบาย เกิดความยินดีพอใจ เนี่ยราคะแทรกแล้วนะ ยินดีพอใจในความสุข ลมมันโชยมา ตอนนี้ใครเห็น ลมโชยมาแล้วเห็นราคะบ้าง มีมั้ย ยกมือซิ นี่น้อยกว่าโทสะนะ แต่ก็ยังเยอะอยู่

โมหะๆ โมหะนี้เป็นความฟุ้งซ่านกับความสงสัยเป็นตัวหลัก ความฟุ้งซ่าน ใครรู้จักฟุ้งซ่าน แต่เดิมต้องฟุ้งแรงๆถึงรู้นะ ต่อมาเนี่ย ใจเคลื่อนไปนิดเดียวก็เห็นแล้ว ใจไหลออกไปนิดเดียวก็เห็นแล้ว เช่น เวลาจะดูอะไรใจก็เคลื่อนไปดู เวลาฟังอะไรใจก็เคลื่อนไปฟัง มันไม่ตั้งมั่นนะ มันไหลไป มันฟุ้งซ่าน มันเคลื่อน ตอนนี้ใครเห็นจิตที่เคลื่อนได้บ้าง ยกมือซิ โอ้..ก็ยังเยอะอยู่นะ แสดงว่าเก่งเข้าขั้นแล้ว

หัดดูไป ทีแรกจะเห็นของหยาบก่อน ต่อมาก็รู้ของละเอียดขึ้นนะ ถ้าจิตมีราคะ มีโทสะ มีโมหะ อยู่ล่ะก็ จิตเป็นอกุศล ถ้าจิตไม่มีราคะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ จิตมันจะเบา มันจะนุ่ม มันจะสบาย มันโปร่ง มันโล่ง มันปราดเปรียวว่องไว ไม่หนัก ไม่แน่น ไม่แข็ง ไม่ซึม ไม่ทื่อ นะ เนี่ยหัดรู้จักไปเรื่อย

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๔

CD: ๔๑
File: 540911
ระหว่างนาทีที่ ๗ วินาทีที่ ๕๖ ถึงนาทีที่ ๑๐ วินาทีที่ ๔๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สติอัตโนมัติเกิดได้อย่างไร ?

mp3 (for download) : สติอัตโนมัติเกิดได้อย่างไร ?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

สติอัตโนมัติเกิดได้อย่างไร ?

สติอัตโนมัติเกิดได้อย่างไร ?

หลวงพ่อปราโมทย์ : อยากให้สติเกิดนะ สั่งให้เกิดไม่ได้ สติเป็นอนัตตา ต้องทำเหตุของสติ เหตุใกล้ให้เกิดสติก็คือ การที่จิตจำสภาวะได้แม่น เรียกว่า ถิรสัญญา เป็นเหตุใกล้ให้เกิดสติ จิตจะจำสภาวะได้แม่นต้องเห็นสภาวะบ่อยๆ เพราะฉะนั้นหัดรู้สภาวะไป

บางคนมาบอกหลวงพ่อสอนผิดนะ เริ่มต้นไปหัดดูสภาวะได้อย่างไร ไม่ดูสภาวะไม่รู้จักสภาวะขึ้นวิปัสสนาไม่ได้นะ อย่างไปนั่งสงบใจแล้วไปคิดพิจารณาร่างกาย ไม่เคยเห็นสภาวะของรูปนามเลย ไม่ขึ้นวิปัสสนาหรอก ได้แต่สมถะนะ เรียนต้องเรียนให้ดีนะ ไม่งั้นมั่วซั่วนะ

เพราะฉะนั้นจะต้องหัดรู้สภาวะนะ การที่เราหัดรู้สภาวะบ่อยๆนะ ร่างกายเคลื่อนไหวรู้สึก จิตใจเคลื่อนไหวคอยรู้สึก สติอัตโนมัติจะเกิด ถึงจุดหนึ่งนะ ไม่ได้เจตนาจะรู้สึก มันจะรู้สึกขึ้นเอง อะไรแปลกปลอมขึ้นในจิตนิดเดียว สติระลึกขึ้นได้เองแล้วว่ามีความแปลกปลอมเกิดขึ้น ไม่ได้เจตนาดู

ถ้าเจตนาดูจิตจะเกิดอะไรขึ้น จะว่างๆไม่มีอะไรให้ดูนะ หายไปหมดเลย เพราะฉะนั้นดูจิตนี้เจตนาดูไม่ได้นะ จงใจดูปุ๊บหายหมดเลย ว่างไปหมดเลย เจตนาดูกายอะไรจะเกิดขึ้น เหมือนกันแหละ เจตนาดูกายก็เพ่งกาย เจตนาดูจิตก็เพ่งจิต แต่เพ่งกายนี่นะกายยังกระดุกกระดิกได้นะ แต่จิตจะทื่อๆ จะกินน้ำสักแก้วหนึ่ง ขยับ เพ่งไปตลอด เพ่งไปตลอดเวลา จนไตวายไปแล้วยังไม่ได้กินน้ำเลย ดูจิตนี่นะ จะไม่มีความเคลื่อนไหวให้ดู ดูกายถ้าเพ่งอยู่นี่ยังเห็นความเคลื่อนไหวของกายได้

เพราะฉะนั้นอย่างคนที่เดินจงกรมแล้วทำวิปัสสนา เห็นรูปเคลื่อนไหวอยู่ ไม่เห็นจริงหรอก ถ้ายังเพ่งรูปอยู่นี่ใช้ไม่ได้ เห็นร่างกายหายใจแล้วยังเพ่งร่างกายที่หายใจอยู่นี่ ไม่ใช่ของจริงหรอกนะ ยังเพ่งอยู่ ยังไม่เดินวิปัสสนาจริงหรอก ดูท้องพองยุบแล้วเพ่งท้องอยู่เนี่ย ไม่เดินวิปัสสนาจริงหรอก

จิตต้องถอนตัวออกมานะ เป็นคนดู เห็นรูปเคลื่อนไหว นามเป็นคนดู ถึงจะใช้ได้ รูปมันเคลื่อนไหว จิตเป็นคนดู เห็นเจตสิกทั้งหลายเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง จิตเป็นคนดู เห็นจิตเกิดดับทางทวารทั้ง ๖ จิตก็เป็นคนดู มีจิตอีกดวงหนึ่งไปรู้จิตอีกดวงหนึ่งที่เพิ่งดับไปสดๆร้อนๆ

เนี่ยหัดรู้หัดดูนะ หัดรู้บ่อยๆ เราจะจำสภาวะได้แม่นขึ้นๆ รู้ใหม่ๆบางทีมีสภาวะบางอย่างเกิดขึ้นแต่ไม่รู้ว่าคืออะไร ใครเคยเป็นมั้ย มีอะไรบางอย่างโผล่ขึ้นมาแต่ไม่รู้ว่าคืออะไร ไม่รู้ชื่อไม่เป็นไร แต่ถ้าจิตจำสภาวะแบบนี้ได้แม่น เช่นมันขยับอย่างนี้ เคยเห็นมั้ย มันขยำๆอยู่กลางหน้าอกได้ ในตำรามีมั้ย ขยำๆ ไม่มี ตำราเขาแยกจำแนกเอาไว้เพียงพอสังเขปหรอก จริงๆแล้วเยอะแยะเลย อาการแยกย่อยแต่ละอย่างๆเยอะแยะไปหมดเลย เคยเห็นมั้ยมันออกเป็นแฉกๆอย่างนี้ เคยเห็นมั้ย เวลารู้สึกมันเขี้ยวนะ ฉึบ ฉึบ ฉึบ อย่างนี้ได้นะ แบบฟ้าแลบก็มี รู้สึกมั้ย มีต่างๆนานา มีชื่อมั้ย ไม่มีชื่อ เรารู้แต่ว่าสิ่งบางสิ่งเกิดขึ้นแล้วสิ่งนั้นหายไป รู้เท่านี้พอแล้วนะ

แต่ว่าถ้าจิตจำสภาวะอย่างนี้ได้นะ ต่อไปพอสภาวะอย่างนี้เกิด สติเกิดเอง มันนึกขึ้นได้เอง ระลึกได้เอง นี่ถ้าฝึกนะ หัดรู้สภาวะบ่อยๆไปแล้วสติจะเกิดเอง

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๔

CD: ๔๑
File: 540911
ระหว่างนาทีที่ ๑๖ วินาทีที่ ๕๑ ถึงนาทีที่ ๒๐ วินาทีที่ ๒๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ภาวนามานาน ไม่ค่อยมีพัฒนาการเลย

mp3 (for download) : ภาวนามานาน ไม่ค่อยมีพัฒนาการเลย

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม : กราบนมัสการค่ะหลวงพ่อ หนูอ่านหนังสือแล้วก็ฟังซีดีของหลวงพ่อมาสี่ปีครึ่งแล้วค่ะ แต่ว่าไม่เคยมาส่งการบ้านเลย ที่นี้หนูก็เลยสงสัยว่า ช่วงสี่ปีครึ่งที่ผ่านมา หนูทำผิดเข้ารกเข้าพงแล้วไม่รู้ตัวหรือเปล่าคะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : หนูเห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเองมั้ย

โยม : ถ้าเทียบกับตอนยังไม่ภาวนาเลยน่ะค่ะ ก็เห็นว่าเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าเทียบกับสี่ปีครึ่งที่ผ่านมา มันเหมือนกับมันมีพัฒนาการน้อยมากเลยค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : พัฒนาการอยู่ที่ความเข้าใจ พัฒนาการไม่ใช่ว่าดีมากขึ้นสุขมากขึ้นสงบมากขึ้นนะ  แต่เข้าใจความเป็นจริง เห็นไตรลักษณ์มากขึ้น คลายความยึดถือออกไป มากขึ้น มากขึ้น ศีลสมาธิปัญญาดีขึ้น ดีขึ้น พัฒนาการเค้าดูกันตรงนี้ อย่างแต่ก่อนเราทำผิดศีลหน้าตาเฉย เดี๋ยวนี้ทำผิดศีลแล้วละอายใจ เนี่ยพัฒนาแล้วนะ หรือแต่ก่อนนะ ใจฟุ้งทั้งวันทั้งคืนไม่เคยรู้เคยเห็นเลย เดี๋ยวนี้ใจยังกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวเป็นคราวๆ นี่ก็ดีขึ้นนะ แต่ก่อนไม่เคยเห็นหรอกร่างกายไม่ใช่ตัวเรา เป็นของถูกรู้ถูกดู เดี๋ยวนี้กายกับจิตแยกออกจากกันได้ นี่ก็ดีขึ้นนะ เพราะฉะนั้นเราภาวนาหาเครื่องอยู่ให้จิต ไปอยู่กับพุทโธอยู่กับลมหายใจนะทุกวัน ทำวันละสิบนาทีสิบห้านาทีก็พอ ทุกวันแบ่งเวลาไว้ซักสิบห้านาทีหรือสิบนาที สิบห้ามากไปก็เอาสิบ แล้วก็มาพุทโธ มาหายใจ ไม่ใช่ฝึกบังคับจิต แต่หายใจแล้วคอยรู้ทันจิตไป เคล็ดลับของการภาวนาอยู่ตรงนี้แหล่ะ ที่ภาวนากันล้มลุกคลุกคลานไม่ค่อยสำเร็จนะ เพราะชอบไปบังคับจิต หายใจแล้วจิตจะต้องนิ่งต้องสงบต้องดี มีคำว่าต้องเยอะแยะเลย บังคับมาก เปลี่ยนเป็นหายใจแล้วรู้ทันจิตไป หายใจแล้วจิตหนีไปคิดแล้วรู้ หายใจแล้วจิตเป็นสุขก็รู้ หายใจแล้วจิตเป็นทุกข์ก็รู้ ในที่สุดธาตุรู้ตัวรู้มันก็จะเด่นขึ้นมา จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างนะ หมุนเวียนไปเรื่อยๆ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๔

CD: ๔๐
File: 540709B
ระหว่างนาทีที่ ๑๕ วินาทีที่ ๕๙ ถึงนาทีที่ ๑๗ วินาทีที่ ๕๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อยากรู้ไวๆ ทำอย่างไร?

mp3 (for download) : อยากรู้ไวๆ ทำอย่างไร?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.


โยม : เอ่อ คำว่า รู้ไวๆ เนี่ย หมายถึงว่า เรารู้เองหรือมันกลับมาเองครับ (ผู้เรียบเรียง  : รู้ไวๆ หมายถึง มีสติเกิดขึ้นจากการรู้สภาวะธรรมต่างๆได้ไวรวดเร็ว ไม่เผลอลืมกายลืมใจนาน)

หลวงพ่อปราโมทย์ : เรารู้เอง 

โยม : เรากำหนดได้หรือครับว่า ไวหรือช้า ผมมีความรู้สึกเหมือนกับเรากำหนดไม่ได้

หลวงพ่อปราโมทย์ : อยู่ที่ซ้อม อยู่ที่การทำเหตุนะ เราต้องหัดรู้ มันถึงจะรู้ไว ดังนั้นแต่ละวันเราก็ทำในรูปแบบ พุทโธไป หายใจไป อะไรงี้ แล้วจิตไหลไปแล้วคอยรู้ไวๆ ต่อไป มันไหล กริ๊กเดียว ก็รู้แล้ว อยู่ๆจะไปสั่งให้รู้เร็ว ไม่รู้หรอก ต้องทำเหตุ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๔ หลังฉันเช้า

CD: ๔๑
File: 540730B
ระหว่างนาทีที่ ๔๖ วินาทีที่ ๐๕ ถึงนาทีที่ ๔๖ วินาทีที่ ๓๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 3 of 1212345...10...Last »