Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

วิธีการฝึกให้เกิดสติที่แท้จริง

mp 3 (for download) : วิธีการฝึกให้เกิดสติที่แท้จริง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

วิธีการฝึกให้เกิดสติที่แท้จริง

วิธีการฝึกให้เกิดสติที่แท้จริง

หลวงพ่อปราโมทย์: พวกเรารู้สึกมั้ย จิตของพวกเราส่ายตลอดเวลา ดูออกมั้ย ยกตัวอย่างมานั่งฟังหลวงพ่อเนี่ย บางทีจิตก็วิ่งมาที่หลวงพ่อ บางทีจิตก็วิ่งมาตั้งใจฟ้ง ไม่ได้ดูหน้าหลวงพ่อแล้ว แต่มาตั้งใจฟัง ฟังอยู่ ๒ – ๓ คำ นะ จิตก็จะสวิตช์ตัวเองไป ไปคิด ฟังไปคิดไป เห็นมั้ยว่าจิตมันส่ายตลอดเวลา จิตมันเปลี่ยนตลอดเวลา ถ้าเรารู้ทันนะ เราจะเห็นเลยจิตเกิดดับ เดี๋ยวจิตเกิดที่ตา เดี๋ยวจิตเกิดที่หู เดี๋ยวจิตเกิดที่ใจ จิตไปคิด เปลี่ยนๆ ปั๊บๆ ปั๊บๆ ไป คอยรู้สึกนะ คอยรู้สึกอยู่ที่กาย คอยรู้สึกอยู่ที่ใจนะ ค่อยๆฝึก ไม่ยากๆ มันง่าย ง่ายกว่าที่คิดไว้เยอะเลย

ขั้นแรกนะ อยากจะให้เกิดสติที่แท้จริงเนี่ย ทำกรรมฐานอะไรขึ้นสักอย่างหนึ่งก่อน เราจะมาฝึกรู้สึกตัวก่อน ก่อนที่เราจะเห็นความเป็นจริงของกายของใจได้ อันแรกเลย เราต้องเห็นกายเห็นใจเสียก่อน ถ้าเราลืมกายลืมใจ เราก็ไม่สามารถเห็นความเป็นจริงของกายของใจได้ เพราะฉะนั้นเราต้องรู้สึกกายรู้สึกใจให้ได้เสียก่อน การรู้สึกตัว คือการรู้สึกกายรู้ใจนี้ จึงเป็นจุดตั้งต้นของการปฏิบัติ การเจริญวิปัสสนา เป็นจุดตั้งต้นเลย

จิตของเราจะหลงตลอดเวลา เดี๋ยวหลงไปดู หลงไปฟัง หลงไปคิด หลงไปดมกลิ่น หลงไปลิ้มรส หลงไปรู้สัมผัสทางกาย เช่นนั่งๆอยู่แล้วคัน เราก็เกาใช่มั้ย ขณะที่เราเกานะ เราสบายใจละ เราไม่รู้เลยว่าร่างกายกำลังเกาอยู่ ใจกำลังสบาย เราเกาอัตโนมัติ ในขณะนั้นลืมกายลืมใจ ทำอะไรเราก็ลืมกายลืมใจตลอดเวลา เรียกว่าขาดสติ สติที่หลวงพ่อพูด หมายถึง สติปัฏฐาน เป็นสติที่รู้กายรู้ใจ ถ้าเมื่อไหร่ลืมกายลืมใจ เมื่อนั้นเรียกว่าขาดสติ เราลองมาวัดใจของตัวเองดู ว่าเราลืมกายลืมใจบ่อยแค่ไหน สังเกตมั้ย เวลาที่เราไปคิด รู้สึกมั้ย ใจจะเหมือนไหลไปนะ ความรู้สึกอยู่ที่กายที่ใจนี้จะหายไป มีร่างกาย ร่างกายก็หายไป มีจิตใจ จิตใจก็หายไป ไม่รู้ รู้แต่เรื่องที่คิด

เพราะฉะนั้นเบื้องต้นนะ วิธีง่ายๆ พวกเราหาอารมณ์กรรมฐานมาสักอย่างหนึ่ง มาเป็นเครื่องสังเกตจิตใจ เช่น คนไหนถนัดรู้ลมหายใจ ก็ไปนั่งรู้ลมหายใจ รู้เล่นๆ ไม่ใช่รู้เพื่อให้สงบ คนไหนชอบไหว้พระสวดมนต์ ก็ไปไหว้พระสวดมนต์ สวดเล่นๆนะ ไม่ใช่สวดให้สงบ คนไหนชอบดูท้องพองยุบก็ดูไป คนไหนชอบเดินจงกรมก็เดินไป คนไหนชอบอิริยาบถ ๔ ก็ดูยืนเดินนั่งนอน คนไหนชอบขยับมือทำจังหวะ ก็ทำไป แต่ทำไปเพื่อจะรู้ทันใจตนเอง

ยกตัวอย่างเช่น เราหายใจ หายใจไป หายใจเล่นๆ จิตเราวิ่งไปอยู่ที่ลมหายใจนะ เราก็รู้ทัน จิตเราวิ่งไปคิด เราก็รู้ทัน จิตเป็นสุข จิตเป็นทุกข์ จิตดีจิตร้ายอะไรขึ้นมา คอยรู้ไปเรื่อยๆ หายใจไปแล้วคอยรู้ทันจิตใจไป

หรือสวดมนต์ก็ได้นะ อรหังสัมมา.. อะไรอย่างนี้ พอสวดมนต์ไป พอใจไหลไปคิดแว้บ หนีไปคิดเรื่องอื่นแล้ว รู้ทันว่าจิตไหลไปแล้ว สวดมนต์ไปแล้วจิตสงบ รู้ว่าสงบ สวดไปแล้วจิตฟุ้งซ่าน รู้ว่าฟุ้งซ่าน สวดมนต์ไปแล้วก็คอยรู้ความเปลี่ยนแปลงของจิตไปเรื่อยๆ นี่เป็นการฝึกให้มีสติ

ดูท้องพองยุบก็ได้นะ ดูท้องพองยุบไปแล้วจิตไหลไปอยู่ที่ท้อง ก็รู้ทัน จิตหนีไปคิดก็รู้ทัน จิตไปทำอะไรก็รู้ทัน

นี่เราเข้ามาถึงการฝึกหัดแล้วนะ เพราะฉะนั้นเบื้องต้น ทุกคนหาอารมณ์กรรมฐานมาสักอันหนึ่งก่อน อารมณ์อะไรก็ได้ที่เราถนัด ที่ทำแล้วสบายใจ รู้อารมณ์อันนั้นไป เช่นรู้พุทโธก็ได้นะ สัมมาอรหังก็ได้ หายใจก็ได้ รู้ท้องพองยุบก็ได้ เดินจงกรมก็ได้ ขยับมือทำจังหวะก็ได้ อะไรก็ได้ แต่ไม่ได้ทำเพื่อให้จิตนิ่ง เราทำกรรมฐานไปแล้วเราคอยเห็นความเปลี่ยนแปลงความเคลื่อนไหวของจิตไปเรื่อยๆ เช่น เรา พุทโธๆ แล้วจิตหนีไปคิดเรื่องอื่น รู้ว่าจิตนี้ไปคิดแล้ว พุทโธๆแล้วจิตสงบ รู้ว่าสงบ พุทโธๆแล้วจิตฟุ้งซ่าน รู้ว่าฟุ้งซ่าน หายใจไป หายใจเข้าหายใจออกไป จิตวิ่งไปอยู่ที่ลมหายใจ เรารู้ทัน จิตหนีไปคิดเรื่องอื่นเรารู้ทัน จิตเป็นสุข จิตเป็นทุกข์ จิตมีปีติจิตมีความสุขอะไรขึ้นมา เราคอยรู้ทัน

ทำอะไรก็ได้นะ เบื้องต้น ทำกรรมฐานมาสักอันหนึ่งก่อน เป็นเครื่องสังเกต ปกติจิตเราจะร่อนเร่ตลอดเวลา วิ่งตลอด ดูยาก เราก็ทำกรรมฐานขึ้นมาเป็นตัวสังเกต สมมุติว่านี่เป็นพุทโธ นี่เป็นลมหายใจ เราพุทโธหรือหายใจอยู่ แล้วจิตเราวิ่งมาที่นี่ วิ่งมาที่พุทโธ วิ่งมาที่ลมหายใจ วิ่งมาที่ท้อง รู้ทันว่าจิตวิ่งมา จิตวิ่งไปที่อื่น รู้ทัน เนี่ยเราจะเห็นได้ชัด ถ้าเราไม่มีเครื่องสังเกตเลย จิตมันส่ายไปตลอด ดูยาก เพราะฉะนั้น เบื้องต้น หาอารมณ์กรรมฐานมาสักอันหนึ่งนะ อะไรก็ได้ ทำอะไรไม่เป็นเลย สวดมนต์ไปเรื่อยๆก็ได้ หรือฟังซีดีหลวงพ่อก็ได้ ฟังไปแล้วใจลอยไป รู้ ฟังไปแล้วขำขึ้นมา รู้ ฟังแล้วงงขึ้นมา รู้ หัดรู้ทันใจตัวเองบ่อยๆ

การที่เราหัดรู้สภาวะบ่อยๆนี้แหละจะทำให้เกิดสติ เพราะสติไม่ได้เกิดจากการบังคับ สติเป็นอนัตตา ไม่มีใครสั่งสติให้เกิดได้ สติมีเหตุ สติถึงจะเกิด เหตุของสติคือการที่จิตจำสภาวะได้แม่น จิตจำสภาวะได้แม่นเพราะจิตเห็นสภาวะบ่อยๆ เราหัดดูสภาวะไปนะ ทำกรรมฐานมาอันหนึ่ง แล้วคอยสังเกตความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของจิตใจเราไปเรื่อย..

เช่นพุทโธๆ จิตไหลไปคิดก็รู้ หรือสวดมนต์ อรหังสัมมา.. จิตไหลไปคิดแล้ว ก็รู้ สัมพุทโธ ภควา.. อ้าวหนีไปอีกแล้ว เราก็คอยรู้ ฝึกแบบนี้บ่อยๆ ต่อไปพอจิตเคลื่อนตัวไปนะ จิตหลงไปคิดแว้บ..เดียว สติจะเกิดเองเลย สติไม่ได้เกิดจากการสั่งให้เกิด สติเกิดขึ้นเพราะว่าจิตจำสภาวะได้แม่น ในพระอภิธรรมถึงบอกว่า ถิรสัญญา ถิรสัญญาคือการที่จิตจำสภาวะได้แม่น เป็นเหตุใกล้ให้เกิดสติ เพราะฉะนั้นเราหัดดูสภาวะไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งสติเกิด

พอสติที่แท้จริงเกิดนะ คอยสังเกตไป พอมันจะรู้สึกตัวขึ้นมา พอรู้สึกตัวขึ้นมาแล้ว คราวนี้ไม่มีแล้วว่ากรรมฐานของเราจะทำสายไหน สายกายสายจิตอะไรอย่างนี้ไม่มีอีกต่อไปแล้ว เบื้องต้นอาจจะดูมาจากกาย บางคนดูจากเวทนา บางคนดูจากจิต อันนั้นแค่จุดตั้งต้นเท่านั้นเอง คือทำกรรมฐานมาอันหนึ่งเป็นเครื่องสังเกต พอรู้ทันจิตมามากๆเข้า สติเกิดเองแล้วเนี่ย ถัดจากนั้นไม่มีสายไหนๆแล้ว มีแต่ว่าขณะนี้มีสติ หรือว่าขณะนี้ขาดสติ ขณะนี้มีสติ บางทีสติระลึกรู้กาย บางทีสติระลึกรู้เวทนา บางทีสติระลึกรู้จิต เลือกไม่ได้หรอกว่าจะรู้กายหรือรู้จิต ถ้าใครยังเลือกว่าจะรู้กายอันเดียว หรือจะรู้จิตอันเดียว จะตกไปสู่สมถกรรมฐาน เพราะฉะนั้นสติที่แท้จริงเกิดเมื่อไหร่นะ เลือกไม่ได้หรอก บางทีก็รู้กาย บางทีก็รู้เวทนา บางทีก็รู้จิต

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมที่ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
เมื่อวันพุธที่ ๒๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๒

CD: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช วันที่ ๒๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๒
File: 520429.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๘ วินาทีที่ ๕๓ ถึง นาทีที่ ๒๕ วินาทีที่ ๕๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การปฎิบัติอย่าให้เกินกายเกินใจออกไป กายกับใจนี่แหละ เป็นสนามรบของนักปฎิบัติ

mp3 (for download): กายกับใจนี่แหละ เป็นสนามรบของนักปฎิบัติ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.


การปฎิบัติอย่าให้เกินกายเกินใจออกไป กายกับใจนี่แหละ เป็นสนามรบของนักปฎิบัติ

การปฎิบัติอย่าให้เกินกายเกินใจออกไป กายกับใจนี่แหละ เป็นสนามรบของนักปฎิบัติ

หลวงพ่อปราโมทย์: ครูบาอาจารย์ทุกองค์จะสอนเหมือนๆ กัน ให้มีสตินะ มีสติสำคัญมาก มีสติรู้กายรู้ใจลงเป็นปัจจุบัน การปฏิบัตินี่อย่าให้เกินกายเกินใจออกไป ให้มาเรียนรู้กายเรียนรู้ใจตัวเองมากเข้าๆ นะให้เห็นความจริงของกายของใจให้ได้ ไม่ใช่ทำแค่ความสงบนะ ทำแค่ความสงบก็ได้แต่ความสงบ ไม่เกิดปัญญา เราทำความสงบเนี่ยเพื่อให้ใจมีกำลัง ได้พักผ่อน จิตใจตั้งมั่นมีกำลัง เมื่อจิตใจเรามีกำลังแล้วเนี่ย ให้ออกมารู้กายออกมารู้ใจตัวเองให้ได้ กายกับใจนี่แหละเป็นสนามรบของนักปฏิบัติ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันพุธที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๙

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๗
ลำดับที่  ๑
File: 491129
ระหว่างนาทีที่ ๒ วินาทีที่ ๕๔ ถึง นาทีที่ ๓ วินาทีที่ ๓๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

วิปัสสนาเลยการคิด แต่บางคนต้องอาศัยการคิดกระตุ้นให้จิตเดินปัญญา

mp 3 (for download) : วิปัสสนาเลยการคิด แต่บางคนต้องอาศัยการคิดกระตุ้นให้จิตเดินปัญญา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

วิปัสสนาเลยการคิด

วิปัสสนาเลยการคิด

หลวงพ่อปราโมทย์: การที่เห็นไตรลักษณ์ด้วยการเปรียบเทียบเอานะ เมื่อก่อนยังหนุ่มตอนนี้แก่อะไรอย่างนี้ ยังไม่ขึ้นวิปัสสนาเลย นี่ เห็นไตรลักษณ์แล้วนะ แต่เป็นการเห็นด้วยการคิดเอา ไม่ใช่วิปัสสนานะ ตัวนี้เขาเรียก “สัมมัสสนญาณ” ยังไม่ขึ้นวิปัสสนา ต่อเมื่อเห็นรูปนามเกิดดับต่อหน้าต่อตาได้นั้นล่ะ มันจะขึ้นวิปัสสนาจริงๆ ไม่คิดแล้วนะ วิปัสสนาเนี่ยเลยการคิดไป

แต่บางคนทำไมต้องคิดก่อน ตรงนี้ถ้าเราไม่เรียนให้ดีนะเราจะสับสน ครูบาอาจารย์บางท่าน ท่านก็บอกว่าทำความสงบแล้วให้คิดพิจารณาไป อันนั้นยังไม่ได้ขึ้นวิปัสสนา แต่เป็นการกระตุ้นให้จิตเดินปัญญา ไม่ให้จิตติดเฉย จิตสงบ จิตเฉยอยู่เฉยๆไม่เดินปัญญา เช่น สงบแล้วก็เฉยอยู่อย่างนั้น หรือตื่นขึ้นมา ตั้งมั่น รู้เนื้อรู้ตัว แล้วพอใจอยู่ในความรู้สึกตัว แล้วก็ติดอยู่ในความรู้สึกตัว ไม่เดินปัญญา อย่างนี้ครูบาอาจารย์จะกระตุ้น ให้คิดพิจารณาไป พิจารณากาย พิจารณาความตาย พิจารณา ขน ผม เล็บ ฟัน หนัง อะไรอย่างนี้ พิจารณากระตุ้นให้จิตมันทำงาน ไม่ให้จิตมันติดเฉย เป็นอุบาย อุบายไม่ให้จิตติดเฉย

พอจิตมันเคยมองในมุมของไตรลักษณ์บ้างแล้วโดยคิดนำไปก่อน พอจิตมันคุ้นเคยที่จะมองในมุมของไตรลักษณ์แล้วเนี่ย ต่อไปมันจะมองได้เอง ตรงที่มันมองได้เองนี้แหละ มันจะขึ้นวิปัสสนาจริงๆล่ะ ทีนี้บางท่าน ท่านพิจารณานานนะ เป็นปีๆเลย แล้วเสร็จแล้วจิตมันเดินของมันเอง แว้บเดียวสั้นๆนะ ท่านเกิดได้ผลอะไรขึ้นมานะ ท่านก็เลยสรุปบอกว่า ได้ผลเพราะว่าคิดมายาวๆนี่เอง นะ ไม่รู้หรอกว่าได้ผลตรงที่วับเดียวนั้นน่ะ

ทีนี้ถ้าเราเรียนสักหน่อยนะ มันจะไม่ปนกัน ระหว่างสมถะกับวิปัสสนา ตรงที่ยังคิดอยู่ยังเป็นสมถะอยู่ ตรงที่เห็นตามความเป็นจริง ความเกิดดับตามความเป็นจริงนั้นขึ้นวิปัสสนา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันศุกร์ที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๓ หลังฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๖
Track: ๑๖
File: 530917B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๔ วินาทีที่ ๓๔ ถึง นาทีที่ ๑๖ วินาทีที่ ๓๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สติคือความระลึกได้

mp3 (for download): สติ คือ ความระลึกได้

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

สติคือความระลึกได้

สติคือความระลึกได้

หลวงพ่อปราโมทย์ :

สติแท้ๆ เป็นความระลึกได้ สติมันระลึกถึงรูปธรรมนามธรรม สติทำหน้าที่ระลึก สติไม่ได้ทำหน้าที่กำหนด สติคือความระลึกได้ สติไม่ได้แปลว่าความกำหนดได้ สติเป็นความระลึก อะไรทำให้สติเกิดขึ้น ในพระอภิธรรมก็สอนนะ ถิรสัญญาคือการที่จิตจำสภาวะธรรมได้แม่นยำเป็นเหตุใกล้ให้เกิดสติ ถิรสัญญาคือการที่จิตจำสภาวะธรรมได้แม่น หน้าที่เราต้องหัดรู้สภาวะไปเรื่อยๆ นะ ความโกรธเกิดขึ้นก็รู้ ความโลภเกิดก็รู้ ความหลงเกิดก็รู้ ร่างกายยืนอยู่ก็รู้ เดินอยู่ก็รู้ นั่งอยู่ก็รู้ นอนอยู่ก็รู้ เป็นสุขก็รู้ เป็นทุกข์ก็รู้ เฉยๆ ก็รู้ อะไรเกิดขึ้นในกายในใจคอยรู้ไปเรื่อยๆ อย่าไปแทรงแซง ให้ตามรู้ไปเรื่อย ๆ ต้องตามรู้นะ

ในสติปัฏฐานท่านถึงใช้คำว่ากายานุปัสสนา กายานุปัสสนา การตามเห็นกายเนืองๆ เวทนานุปัสสนา การตามเห็นเวทนาเนืองๆ จิตตานุปัสสนา การตามเห็นจิตเนืองๆ ธัมมานุปัสสนา การตามเห็นสภาวะธรรมเนืองๆ ตามเห็นเนืองๆ ตามเห็นบ่อยๆ ก็จะจำสภาวะได้แม่น พอมันจำสภาวะได้แม่นสติจะเกิดเอง สติจะเกิดโดยไม่ได้จงใจให้เกิด ไม่ได้กำหนด ไม่ได้อะไรทั้งสิ้น มันเกิดเอง ถ้าสติตัวจริงตัวแท้เกิดเนี่ย สมาธิที่เป็นสัมมาสมาธิชนิดที่เป็นขณิกสมาธิก็จะเกิดได้ เพราะอะไร เพราะทันที่สติเกิด จิตจะเป็นกุศล จิตที่เป็นกุศลเนี่ยมีความสุขอยู่ในตัวเอง ความสุขเป็นเหตุใกล้ให้เกิดสมาธิ ใจมันจะเกิดสมาธิมาอัตโนมัตินะ แต่จะอยู่ชั่วขณะ เรียกว่าขณิกสมาธิ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๑๖ กุมภาพันธ์
พ.ศ.๒๕๕๑

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๔
File: 510216A
ลำดับที่ ๑
ระหว่างนาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๓๓ ถึง นาทีที่ ๑๓ วินาทีที่ ๒๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เข้าถึงความบริสุทธิ์ด้วยปัญญาที่เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของรูปของนาม

mp3 for download : เข้าถึงความบริสุทธิ์ด้วยปัญญาที่เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของรูปของนาม

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

เข้าถึงความบริสุทธิ์ด้วยปัญญาที่เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของรูปของนาม

เข้าถึงความบริสุทธิ์ด้วยปัญญาที่เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของรูปของนาม

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าจิตตั้งมั่นจริง มันจะเห็นเลย ไอ้ที่เดินอยู่นี้ ร่างกายมันเดิน ไม่ใช่เราเดิน ที่นั่งอยู่นี้ร่างกายมันนั่งไม่ใช่เรานั่ง ที่นอนอยู่นี้ร่างกายมันนอนไม่ใช่เรานอน ที่ยืนร่างกายมันยืนไม่ใช่เรายืน มันเป็นของมันเอง ไอ้ที่โลภอยู่นะจิตมันโลภไม่ใช่เราโลภ ที่โกรธอยู่จิตมันโกรธไม่ใช่เราโกรธ ที่หลงอยู่จิตมันหลงไม่ใช่เราหลง เห็นอย่างนี้เลย

เห็นไปเรื่อยๆ เห็นแต่ว่ารูปธรรมนามธรรมเขาทำงาน ไม่ใช่เราทำงาน เวลาโกรธขึ้นมา ตอนนี้รู้สึกมั้ย เวลาโกรธมันจะเป็นเราโกรธ แต่พอเรามีสติรู้สึกมั้ย เราจะเห็นความโกรธอยู่ต่างหาก เราเป็นจิตเป็นคนดูอยู่ เห็นมั้ยความโกรธเป็นคนดูอยู่ ความโกรธมันเกิดขึ้น ความโกรธเป็นสภาวะอันหนึ่ง ไม่ใช่เราแล้วนะ นี่ค่อยๆแยกออกมา

พอฝึกไปแล้ว จะเห็นว่าตัวเราไม่มี มีแต่สภาวธรรมที่เป็นแต่รูปธรรมนามธรรมนะ ฝึกมากๆไป วันหนึ่งปัญญาพอนะ ก็เกิดอริยมรรคขึ้นมา จนเข้าถึงความบริสุทธิ์ก็ด้วยปัญญาที่เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของรูปของนามนี้แหละ พระพุทธเจ้าจึงบอก บุคคลถึงความบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา ไม่ได้ถึงความบริสุทธิ์ด้วยศีล ไม่ได้ถึงความบริสุทธิ์ด้วยสมาธินะ แต่ถึงความบริสุทธิ์ด้วยปัญญา

ลำพังมีศีลนะ ก็บริสุทธิ์บ้าง สกปรกบ้าง มีสมาธิ เดี๋ยวสมาธิก็ยังเสื่อม ให้มีปัญญาเข้าใจ จิตมันเข้าใจนะ ไม่ใช่เราเข้าใจ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๒ ก่อนฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๐
File: 520426A.mp3
ลำดับที่ ๔
ระหว่างนาทีที่ ๑๘ วินาทีที่ ๓๖ ถึง นาทีที่ ๒๐ วินาทีที่ ๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

วันหนึ่งเห็นความจริงของกายของใจ ก็ปล่อยวาง มีความสุข

mp3 for download : วันหนึ่งเห็นความจริงของกายของใจ ก็ปล่อยวาง มีความสุข

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

happiness2.jpg

happiness2.jpg

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าหลวงพ่อหยิบพัดนี้ขึ้นมา ทำอย่างไรจะปล่อยวางพัดได้เนี่ย เหมือนที่พวกเราทำอยู่ตอนนี้ ทำอย่างไรจะปล่อยกายปล่อยจิตได้นะ จับไว้แน่นเลยจะไปปล่อยอะไร ถ้าเมื่อไรหันมาดู อุ๊ย..นี่มันกิ้งกือนี่ มันก็โยนแล้ว มันไม่เอาแล้ว นี่รู้สึกว่าพัดนี้ท่าทางจะแพง อันหนึ่งตั้ง 3-4 บาท แพง หวง ก็ไม่ปล่อยสิ

ถ้าเมื่อไรเห็นความจริงนะ ทั้งกายทั้งใจ ไม่ใช่ของดี มีแต่ทุกข์ทั้งนั้นเลยนะ มันจะทิ้งของมันเอง ไม่ต้องเชิญให้ทิ้ง มันจะรีบทิ้ง ทิ้งแบบหัวซุกหัวซุนเลย เหวี่ยงทิ้งเลย พอเราปล่อยวางไปได้ ไม่ยึดถือกายไม่ยึดถือใจ เราจะเข้าถึงธรรมะที่พ้นจากความยึดถือกายยึดถือใจ ธรรมะชนิดนี้นะมีความสุขที่สุดเลย เป็นบรมสุขที่แท้จริง เป็นความสุขที่ไม่อิงอาศัยคนอื่น ไม่อิงอาศัยสิ่งอื่นเลย เป็นความสุขเป็นความเต็มอิ่มอยู่ในตัวเอง

ทำไมล่ะ เรามีโอกาสที่จะเข้าถึงสภาวะอย่างนี้นะ เราเป็นชาวพุทธ เรามีโอกาสเข้าถึงสภาวะที่ว่านี้กันทุกๆคน ทำไมเราไม่ตั้งใจศึกษาปฏิบัติ ศึกษาว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร วิธีปฏิบัติทำอย่างไร นี่ ศึกษาให้ได้อันนี้ พอศึกษารู้วิธีปฎิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ลงมือรู้กาย ลงมือรู้ใจ ด้วยจิตที่ตั้งมั่นแล้วเป็นกลางไป รู้ไปเรื่อยนะ วันหนึ่งก็เห็นความจริงของกายของใจก็ปล่อยวาง ก็มีความสุข

แค่เริ่มต้นนะ ปล่อยได้บ้าง หยิบเอาไว้บ้าง ก็มีความสุข พวกเรารู้สึกมั้ย บางคนภาวนามาช่วงหนึ่ง บางทีก็ปล่อยออกไปมันก็มีความสุขนะ ไปคว้าเข้ามาใหม่มันก็มีความทุกข์อีก หยิบๆปล่อยๆไปเรื่อยๆ ยังปล่อยได้ไม่หมด วันหนึ่งปัญญามันแจ้ง เห็นอริยสัจจ์ เห็นเลยว่ากายนี้ใจนี้เป็นตัวทุกข์ล้วนๆ มันปล่อยหมดเลยคราวนี้ พอปล่อยหมดก็ข้ามภพข้ามชาตินะ

ใครรู้แจ้งอริยสัจจ์ก็ข้ามภพข้ามชาติ ไม่เวียนว่ายตายเกิดอีกแล้ว ไม่รู้แจ้งอริยสัจจ์ ยังเห็นว่ากายนี้ใจนี้เป็นของดีของวิเศษอยู่ ยังเที่ยวแสวงหากายหาใจอยู่ ก็ยังไปเกิดเรื่อยๆไป


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๒ หลังฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๐
File: 520426B.mp3
ลำดับที่ ๕
ระหว่างนาทีที่ ๗ วินาทีที่ ๒๓ ถึง นาทีที่ ๙ วินาทีที่ ๒๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ยากมากที่จะเห็นจิตเกิดดับ ต้องอาศัยรู้เจตสิกอาศัยรู้ความรับรู้ทางอายตนะ

mp3 for download : ยากมากที่จะเห็นจิตเกิดดับ ต้องอาศัยรู้เจตสิกอาศัยรู้ความรับรู้ทางอายตนะ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ยากมากที่จะเห็นจิตเกิดดับ ต้องอาศัยรู้เจตสิกอาศัยรู้ความรับรู้ทางอายตนะ

ยากมากที่จะเห็นจิตเกิดดับ ต้องอาศัยรู้เจตสิกอาศัยรู้ความรับรู้ทางอายตนะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : เพราะฉะนั้นภาวนาไปนะ อย่าไปเพ่งใส่จิต ภาวนาแล้วก็รู้จิตแต่ละดวงๆนะ รู้โดยอาศัยรู้ผ่านเจตสิกบ้าง อาศัยผ่านอายตนะที่จิตมันเกิดดับอยู่บ้าง เราจะเห็นว่าจิตเองก็เกิดดับ ยากมากที่จะเห็นจิตเกิดดับ อาศัยรู้เจตสิก อาศัยรู้ความรับรู้ทางอายตนะ ก็จะเห็นจิตเกิดดับได้ ถึงวันหนึ่งก็จะแจ้ง จิตมันก็เกิดดับเหมือนกัน จิตก็ไม่เที่ยงเหมือนกัน จิตก็เป็นทุกข์เหมือนกัน จิตก็เป็นอนัตตาเหมือนกัน

จิตจะเกิดที่ตา หรือเกิดที่หู หรือเกิดที่ใจ เราก็สั่งไม่ได้ ยกตัวอย่างนั่งฟังหลวงพ่อพูด รู้สึกมั้ย บางทีมองหน้าหลวงพ่อ บางทีก็ตั้งใจฟัง บางทีก็สลับไปคิด ฟังไปคิดไปๆ เห็นมั้ยว่าจิตมันฟังบ้างจิตมันคิดบ้าง เลือกได้มั้ย เลือกไม่ได้ เนี่ยดูของจริงลงไปอย่างนี้ เห็นเลยมันเลือกไม่ได้ มันสั่งไม่ได้ จิตมันสุข หรือจิตมันทุกข์ ก็เลือกไม่ได้ใช่มั้ย จิตมันดีหรือจิตมันชั่วก็เลือกไม่ได้ ดูลงไปอย่างนี้ เราจะเห็นว่าแต่ละอันๆ มันเลือกไม่ได้เลย จิตมันเกิดดับ

เนี่ยเฝ้ารู้ลงไปนะ อย่างนี้เรียกว่าเราดูจิตตัวเองอยู่ ไม่ได้ดูลอยๆ เฉยๆ เป็นผู้รู้อยู่เฉยๆ แต่ดูโดยมันร่วมอยู่กับเจตสิก มันร่วมกับอายตนะ ต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้มาช่วย ถึงจะเห็นว่าจิตแต่ละดวงนั้นเกิดแล้วดับทั้งสิ้น

เฝ้ารู้เฝ้าดูไปนะ ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี ดูไปสบายๆ ดูไปเรื่อยๆ วันหนึ่งก็แจ้งขึ้นมานะ จิตไม่ใช่เรา ถ้าจิตไม่ใช่เรา จะไม่มีอะไรเป็นเราอีกแล้ว เพราะในบรรดาขันธ์ ๕ ทั้งหลายเนี่ย กายไม่ใช่เราดูง่ายที่สุดเลย ฝึกกับหลวงพ่อเดือนเดียวก็เริ่มเห็นแล้วว่า กายไม่ใช่เรา ฝึกว่าจิตไม่ใช่เรา ดูกันแรมปีนะ ดูกันไปเรื่อย อย่าไปท้อถอยนะ วันนี้ยังไม่เห็นไม่เป็นไร ดูไปเรื่อย

ต่อมามันจะเริ่มเห็นน่ะ บางวันก็เป็นเรา บางขณะเป็นเรา บางขณะไม่เป็นเรา เริ่มเห็นแว้บๆแล้ว ตัวเราเกิดขึ้นชั่วคราวแล้วก็แว้บ..ก็หายไป แต่พอเผลอเมื่อไหร่นะ ก็รู้สึกว่าจิตเป็นเราขึ้นมาอีกนะ ต้องดูไปเรื่อยจนวันหนึ่งเกิดอริยมรรค โสดาปัตติมรรคตัดฉับเข้าให้ หลังจากนั้นจิตไม่เป็นเราอีกแล้ว ไม่มีเงาแห่งความเป็นเราเกิดขึ้นในจิตอีกต่อไป นี่ละแล้วเป็นสมุจฺเฉทปหานฺ* ฝึกเอานะ ฝึกเอา ไม่ได้ยากหรอก ง่ายสุดๆเลย ถูกเขาด่าแล้วโมโห รู้ว่าโมโหไป เห็นจิตมันโมโหไม่ใช่เราโมโห ดูอย่างนี้ เห็นร่างกายมันยืนไม่ใช่เรายืน แต่ไม่ใช่คิดเอานะ

หลวงพ่อพูดให้ฟังเนี่ยไม่ใช่พูดให้คิด แต่พูดนำร่องให้จิตของพวกเรา พวกเราเองมีหน้าที่ฝึกรู้สึกตัวไปเรื่อยๆ อย่าเผลออย่าเพ่ง รู้สึกเรื่อยๆ รู้กายบ้างรู้ใจบ้าง รู้เล่นๆไป เดี๋ยววันหนึ่งจะเห็นเลย ร่างกายที่ยืนเดินนั่งนอน ไม่ใช่เรายืนเดินนั่งนอน จิตที่สุขที่ทุกข์ที่ดีที่ชั่วไม่ใช่เราดีเราชั่วเราสุขเราทุกข์อะไร เห็นกายเห็นใจมันทำงาน

ที่พูดเนี่ยพูดนำร่องให้จิตมันฟัง มิใช่พูดให้พวกเราจำใส่สมองนะ จำใส่สมองไปแล้วกิเลสจะเอาไปกินหมดเลย พูดให้ฟังเล่นๆไปอย่างนั้นไม่ต้องซีเรียส ให้หัดมีสติรู้กายรู้ใจของเราไปเรื่อยๆ ดูมันทำงานไป ดูกายดูใจไป แล้วจิตที่มันเคยได้ยินธรรมะนำร่องไว้อย่างนี้ เดี๋ยววันหนึ่งมันจะเฉลียวมาเห็นเอง มันเฉลียวนะ ไม่ใช่ฉลาด มันเฉลียวมาเห็นเองว่า กายนี้ที่กำลังเคลื่อนไหวไม่ใช่เราหรอก จิตที่กำลังทำงานอยู่นี้ไม่ใช่เรา มันเห็นเองนะ

พวกเราก็มีหน้าที่รู้สึกตัว รู้กายรู้ใจ ไม่ลืมมันนาน ไม่เพ่งมันไว้ รู้สึกไป ส่วนธรรมะนี้หลวงพ่อก็พูดนำร่องให้จิตมันรู้ไว้นะ เดี๋ยววันหนึ่งมันจะเห็นด้วยตัวของเราเอง

เอ้า.. เชิญไปทานข้าว นิมนต์เลยครับ

*สมุจเฉทปหาน การละกิเลสได้โดยเด็ดขาดด้วยอริยมรรค
อ้างอิงจาก : พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๒

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๐
File: 520418.mp3
ลำดับที่ ๑
ระหว่างนาทีที่ ๒๖ วินาทีที่ ๔ ถึง นาทีที่ ๒๙ วินาทีที่ ๔๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

รู้ด้วยใจ ตายแล้วความรู้นี้ไม่หาย

mp3 for download : รู้ด้วยใจ ตายแล้วความรู้นี้ไม่หาย

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

รู้ด้วยใจ ตายแล้วความรู้นี้ไม่หาย

รู้ด้วยใจ ตายแล้วความรู้นี้ไม่หาย

หลวงพ่อปราโมทย์ : จนเข้าถึงความบริสุทธิ์ก็ด้วยปัญญาที่เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของรูปของนามนี้แหละ พระพุทธเจ้าจึงบอก บุคคลถึงความบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา ไม่ได้ถึงความบริสุทธิ์ด้วยศีล ไม่ได้ถึงความบริสุทธิ์ด้วยสมาธินะ แต่ถึงความบริสุทธิ์ด้วยปัญญา ลำพังมีศีลนะ ก็บริสุทธิ์บ้าง สกปรกบ้าง มีสมาธิ เดี๋ยวสมาธิก็ยังเสื่อม ให้มีปัญญาเข้าใจ จิตมันเข้าใจนะ ไม่ใช่เราเข้าใจนะ

ยกตัวอย่างเวลาเราฟังธรรมะนะ เราฟังแล้วก็จดนะ จดๆไว้ ท่องๆไว้ เหมือนฟังเลคเชอร์เนี่ย อันนี้เราเข้าใจ สมองมันเข้าใจ แต่ถ้าจิตเข้าใจ มันจะซาบซึ้งเลย ฝังลึกเข้าไปนะ ข้ามภพข้ามชาติ ในความรู้ชนิดนี้

หลวงพ่อมีเพื่อนเป็นนักอภิธรรมเยอะ บางคนก็มาบอกว่าเรียนอภิธรรมมากๆไว้ ชาติหน้าจะได้รู้ธรรมะง่าย มันข้ามภพข้ามชาติ โถ.. โม้ พอสอบเสร็จก็ลืมแล้ว ไม่ทันจะข้ามภพข้ามชาติหรอกนะ เนี่ยจำด้วยสมอง หรือพอแก่หน่อยก็ลืมแล้ว

ไม่เหมือนการภาวนานะ เราเห็นความโลภ ความโกรธ ความหลง ผุดขึ้นในใจ เห็นความสุข ความทุกข์ ผุดขึ้นมาหายไปๆ เรารู้ของเราอยู่อย่างนี้เรื่อย.. มันรู้ด้วยใจ มันจะฝังเข้าไปในใจ ตายแล้วความรู้นี้ไม่หายนะ สะสมไปอีก ชาติหน้าเราภาวนาง่ายกว่านี้อีก คนที่เขาภาวนาง่ายๆในชีวิตนี้ เพราะเขายากมาก่อน ไม่ใช่อยู่ๆก็บุญพาวาสนาส่งนะ ใส่บาตรมาเยอะ ชาตินี้บรรลุพระอรหันต์ไว ไม่ใช่นะ หรือเคยเจอพระพุทธเจ้า ไปใส่บาตรพระพุทธเจ้า แล้วก็ สา..ธุ นิพฺพาน ปจฺจโย โหตุ ชาตินี้กินๆนอนๆแล้วก็บรรลุ ไม่มีทางหรอก ไม่มีของฟรี ไม่มีของฟลุ้คหรอก

เราทำบุญใส่บาตร ผลคืออะไร เราละความโลภของเรา เมื่อความโลภลดลงก็ภาวนาง่าย ต้องอย่างนี้ถึงจะฉลาด ทำบุญใส่บาตรแล้วหวังว่าจะเกิดปัญญา นี่คนละเรื่องกันเลย เหมือนอยากได้ลูกมะม่วงแล้วไปทำนา อะไรอย่างนี้ ไม่ได้หรอก คนละเรื่องกัน ก็ทำเหตุกับผลให้ตรงกันนะ

อยากให้เกิดปัญญา ก็มีสติรู้กายรู้ใจ ด้วยจิตที่ตั้งมั่นเป็นกลางไป ส่วนศีลและสมาธิเป็นเครื่องสนับสนุน ทำเหตุกับผลให้พอดีกัน ถามว่าเมื่อไหร่พอดีล่ะ ให้ทำไปเรื่อยๆ มีหน้าที่ก็ทำไปเรื่อย.. คล้ายๆเรากินข้าวนะ เรากินข้าวเรารู้มั้ย เมื่อไหร่จะอิ่ม เรายังไม่รู้ ใช่มั้ย เราค่อยๆกินไปเรื่อยๆ ถึงเวลาหนึ่งมันก็อิ่ม ถามว่าอิ่มของแต่ละคนเท่ากันมั้ย ไม่เท่ากันน่ะ แต่ละคนกินเท่านี้ไม่อิ่มเท่ากัน บางคนต้องกินเยอะๆถึงจะอิ่ม บางคนกินนิดๆหน่อยๆก็อิ่ม บางคนไม่ทันจะกินก็อิ่ม ก็มีนะ พวกกินไม่ลงแล้ว เบื่อ

เราภาวนาไปนะ จนใจเราอิ่ม จนใจเราพอ ใจเราพอแล้วเขาก็ตัดของเขาเอง ไม่มีใครสั่งจิตให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้ จำไว้นะ ไม่มีใครทำจิตให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้ จิตที่เจริญสติเจริญปัญญาจนแก่รอบนั้นแหละ เขาบรรลุมรรคผลนิพพานของเขาเอง เราสั่งเขาไม่ได้

เพราะฉะนั้นไม่รีบร้อนนะ เราทำเหตุ เราเจริญสติ เจริญปัญญาไปเรื่อย รู้กายรู้ใจด้วยจิตที่ตั้งมั่นแล้วก็เป็นกลางเรื่อยไป ทุกอย่างที่ปรากฎขึ้นในกายในใจ คอยรู้เท่าที่รู้ได้ ไม่ใช่รู้ตลอดเวลา รู้ตลอดเวลาไม่ได้เพราะสติไม่ได้เกิดตลอดเวลา


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๒ ก่อนฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๐
File: 520426A.mp3
ลำดับที่ ๔
ระหว่างนาทีที่ ๑๙ วินาทีที่ ๓๓ ถึง นาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๑๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

วิธีการเริ่มต้นภาวนาของผู้มาใหม่

mp3 for download : วิธีการเริ่มต้นภาวนาของผู้มาใหม่

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ธรรมะนะ ฟังด้วยการเปิดใจกว้างๆ ทำใจสบายๆ ถ้าฟังด้วยใจที่ปิดกั้นตัวเอง ก็เรียนอะไรใหม่ๆยาก ฟังด้วยใจที่เปิดกว้าง ฟังไปก่อน แล้วค่อยเอาไปพิจารณาดู ไปลองทำดู ยังไม่ต้องเชื่อนะ เชื่อง่ายไม่ฉลาด แต่ถ้าฟังอะไรแล้วไม่เชื่อเลยก็ไม่ฉลาด ใครเขาพูดอะไรให้ฟังพูดธรรมะ หลวงพ่อพูดธรรมะให้ฟัง ก็ฟังไว้ก่อน แล้วเอาไปลองทำดู ทำแล้วเห็นผลอย่างไรนะ เรารู้ด้วยตัวของเราเอง อย่างนี้ค่อยเรียกว่าฉลาดหน่อย ถ้าพูดอะไรแล้วก็เชื่อตลอดเลยก็ไม่ฉลาดหรอก กลายเป็นคนงมงาย ขาดปัญญา พูดอะไรแล้วก็ไม่เชื่อเลย ก็ไม่ฉลาดนะ ฟุ้งซ่าน

เพราะฉะนั้นฟังไว้แล้วเอาไปลองปฏิบัติ ลองดูสิว่าเราจะเจริญสติ เราจะหัดรู้สภาวะไปเรื่อยๆ จนสติที่แท้จริงเกิดขึ้นมา พอสติที่แท้จริงเกิดขึ้นมาแล้วลองดูสิ จิตมันจะเป็นอย่างไร มันเป็นกุศลหรือมันเป็นอกุศล จิตทีเป็นกุศลเป็นอย่างไร จิตที่เป็นอกุศลเป็นอย่างไร ลองดูของเราเอง

เบื้องต้นก็หัดรู้สภาวะไป ลองดู ร่างกายหายใจออกคอยรู้สึก ร่างกายหายใจเข้าคอยรู้สึก ร่างกายยืน ร่างกายเดิน ร่างกายนั่ง ร่างกายนอน คอยรู้สึกไปนะ ร่างกายมีความสุขมีความทุกข์ ก็คอยรู้สึก จิตใจมีความสุขมีความทุกข์ จิตใจเฉยๆ ก็คอยรู้สึก มีเฉยๆเกินขึ้นมาอีกอันหนึ่งนะ จิตใจจะมีราคะหรือไม่มี มีโทสะหรือไม่มี มีโมหะหรือไม่มี ฟุ้งซ่านหรือหดหู่ คอยดูเรื่อยๆไปนะ หัดรู้จักสภาวะแต่ละอย่างๆที่เกิดขึ้นในกายในใจเรื่อยๆไป

ลองไปทำดูนะ แล้วดูสิ หัดรู้สภาวะอย่างนี้แล้วสติจะเกิดหรือไม่เกิด ถ้าหัดรู้สภาวะแล้วสติไม่เกิดนะ ก็หลวงพ่อปราโมทย์โกหกหลอกลวง ถ้าหัดรู้สภาวะสักเดือนหนึ่ง อย่าไปคิดเอานะ ให้รู้สภาวะไม่ใช่ให้คิดเรื่องสภาวะ แล้วก็ไม่ได้ให้เพ่งสภาวะ ไม่ใช่ไปเพ่งร่างกาย เพ่งลมหายใจ เพ่งมือ เพ่งเท้า เพ่งท้อง ให้แค่รู้สึกอยู่ในกาย รู้สึกอยู่ในใจ คอยรู้สึกตัวบ่อยๆ ต่อไปสติมันจะเกิดได้เอง นี่คำท้าพิสูจน์ข้อที่ ๑ ไปหัดรู้สภาวะดูสิว่าสติจะเกิดหรือไม่เกิดนะ

พอสติเกิดแล้วนะ หัดรู้ต่อไปอีก ดูไป ดูด้วยใจที่เป็นกลาง ใจที่เป็นกลางก็คือ ก่อนจะรู้ ไม่ใช่อยากรู้ ให้สภาวะเกิดขึ้นก่อนแล้วค่อยรู้เอา ระหว่างรู้ไม่ถลำลงไปรู้นะ รู้อยู่ห่างๆ เหมือนเรายืนอยู่บนตลิ่ง บนริมแม่น้ำ เราเห็นอะไรต่ออะไรไหลผ่านไปในแม่น้ำ เราดูอยู่ห่างๆ เราอย่ากระโดดลงไปในแม่น้ำ

รู้แล้วก็ไม่เข้าไปแทรกแซงนะ เช่น พอเราเห็นสาวสวยขึ้นมา เราไม่ต้องพยายามจะไม่เห็น เพราะตามันมองเห็น ตามันมองเห็นเราก็รู้นะ พอรู้แล้วจิตเกิดราคะขึ้นมา เห็นสาวสวยเห็นหนุ่มหล่อ จิตเกิดราคะขึ้นมาก็ให้คอยรู้ ไปหัดรู้อย่างนี้เรื่อยๆ อย่าเข้าไปแทรกแซง ไม่ใช่ว่าพอจิตมีราคะขึ้นมาก็หาทางแก้ไข จิตมีโทสะก็หาทางแก้ไข อันนั้นไม่เรียกว่า “รู้ด้วยความเป็นกลาง” แต่เป็นการรู้แล้วยังเข้าไปแทรกแซง เรารู้แล้วจบลงที่รู้ รู้แล้วไม่เข้าไปแทรกแซงนะ เนี่ยพอเรามีสติเกิดแล้วเราก็รู้อันโน้นรู้อันนี้ไป

วิธีรู้ก็คือ รอให้สภาวะเกิดก่อนแล้วค่อยรู้นะ อย่าอยากรู้ อย่าเที่ยวแสวงหาว่าจะดูอะไรดี ให้สติมันระลึกเอง ระหว่างรู้อย่ากระโดดลงไป อย่าถลำลงไปจ้อง ถ้าถลำลงไปมันจะจ้อง มันเป็นการเพ่ง พอรู้แล้วนะ ไม่เข้าไปแทรกแซง อะไรจะเกิดขึ้น จะเป็นความสุขหรือเป็นความทุกข์ จะเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ให้รู้ไปเรื่อยๆด้วยใจที่เป็นกลาง ไม่ใช่ว่าพอความสุขเกิดขึ้นอยากให้อยู่นานๆ กุศลเกิดขึ้นก็อยากให้อยู่นาน หรือพอใจอยากให้เยอะกว่านี้อีก อกุศลเกิดขึ้นอยากให้หายไป ความทุกข์เกิดขึ้นอยากให้ดับไปเร็วๆ อะไรอย่างนี้ อย่างนี้เรียกว่าไม่เป็นกลาง

ถ้าเราไม่เป็นกลางเมื่อไหร่เราจะเข้าไปแทรกแซงนะ เราไม่ได้รู้ตามความเป็นจริงแล้ว แต่จะรู้ไปแล้วก็เข้าไปแทรกแซง เห็นความทุกข์เกิดขึ้นมา พอรู้ว่ามันทุกข์นะ ก็หาทางทำอย่างไรจะให้หาย ภาวนาอยู่ ภาวนายังไม่เป็น ไปบังคับตัวเอง จิตมันแน่นขึ้นมา หาทางทำอย่างไรจิตจะหายแน่นอะไรอย่างนี้ หรือว่าจิตมันจะหลง จิตมันจะต้องคิด จิตมีหน้าที่คิด พอจิตคิดไปเราก็มาคิดต่อ ทำอย่างไรจิตจะไม่คิด หาทางแทรกแซงตลอด ถ้าเราแทรกแซงอยู่ เราจะไม่มีคำว่า “สักว่ารู้” หรอกนะ

ให้เรารู้อย่างที่เขาเป็นนะ ก่อนจะรู้ไม่ต้องอยากรู้ ระหว่างรู้ก็ไม่ต้องอยากรู้ให้ชัดจนถลำลงไปจ้อง รู้แล้วก็ไม่ต้องไปอยากแก้ไข หรืออยากควบคุม รู้แล้วจบลงที่รู้ รู้แล้วสักว่ารู้ เนี่ยใครทำได้อย่างนี้นะ ท้าพิสูจน์ มีสติรู้ทุกสิ่งทุกอย่างในกายในใจด้วยจิตที่เป็นกลาง ไม่เข้าไปแทรกแซง ไม่เผลอไป ไม่เพ่งไว้ นี่เป็นคำท้าพิสูจน์อีกคำหนึ่งนะ ลองดูสิ ทำไปแล้วเราจะเกิดความเปลี่ยนแปลงในตัวเองมั้ย


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๒ ก่อนฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๐
File: 520426A.mp3
ลำดับที่ ๔
ระหว่างนาทีที่ ๐ วินาทีที่ ๒๑ ถึง นาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๑๓

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

วิธีพุทโธเพื่อรู้ทันใจ

mp3 (for download) : วิธีพุทโธเพื่อรู้ทันใจ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

วิธีพุทโธเพื่อรู้ทันใจ

วิธีพุทโธเพื่อรู้ทันใจ

หลวงพ่อปราโมทย์ ถ้าถนัดพุทโธ ก็หัดจากพุทโธได้นะ หัดพุทโธต่อไป พุทโธ..อย่าขี้เกียจนะ พุทโธทุกวัน พุทโธบ่อยๆ พุทโธจนใจมันพุทโธของมันเอง ทีนี้พอเราพุทโธๆเนี่ย ไม่ใช่พุทโธเลื่อนลอยนะ พุทโธเพื่อจะคอยรู้ทันใจตัวเอง เคยมั้ย พุทโธๆ แล้วหนีไปคิดเรื่องอื่น เราก็พุทโธของเราไป พอใจมันหนีไปก็รู้ทัน พุทโธไปเรื่อยๆ บางวันใจสงบ รู้ว่าใจสงบนะ พุทโธไปแล้วใจฟุ้งซ่าน รู้ว่าฟุ้งซ่าน สรุปแล้วก็คือเราจะหัดพุทโธเพื่อจะรู้ทันใจตนเอง อย่างนี้พอเข้าใจมั้ย ลองทำนะ

คล้ายๆเราเอาพุทโธเป็นกระสอบทราย ซ้อมชกน่ะ จนกระทั่ง จิตใจของเราเนี่ย เคลื่อนไหวไปทางไหน เรารู้ทันหมดเลย พุทโธๆ หนีแว้บไปแล้ว รู้ทัน พุทโธๆ แล้วเพ่งแล้ว รู้ทัน พุทโธแล้วสงบ สุข ปีติอะไรเกิดขึ้น รู้ทันใจของเราเรื่อยๆ พุทโธเพื่อจะรู้ทันใจ

คำว่าพุทโธ หรือพุทธะ แปลว่าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ก็คือตัวจิตของเรานั่นเอง เราท่องพุทโธๆเพื่อจะเข้ามารู้ให้ถึงจิตถึงใจตนเอง พอเรารู้ถึงจิตถึงใจตนเอง เราก็พร้อมที่จะปฎิบัติแล้วในชีวิตจริงๆ

ยกตัวอย่างเราออกมาอยู่ข้างนอกนี้ พอตาเรามองเห็นสาว ใจเราวิ่งไปหาเขาแล้ว เรารู้ทันเลยใจมันวิ่งไปแล้ว เราเดินๆอยู่ใจลอยแว้บไป เราเคยพุทโธแล้วรู้ทันว่าใจลอยนะ พอเรามาอยู่ข้างนอกไม่ได้พุทโธนี่แหละ พอใจลอยแว้บ..นะ มันจะรู้ทันว่าใจลอย ในที่สุดเราจะรู้ทันใจตนเอง จะสุขจะทุกข์ จะดีจะชั่ว เราก็จะรู้ทันไปเรื่อยๆ เมื่อรู้ทันไปเรื่อยๆ ต่อไปปัญญาจะเกิด เราจะเห็นเลยว่าจิตนี้เป็นของไม่เที่ยง เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย จิตนี้เป็นอนัตตา บังคับไม่ได้ เดี๋ยวมันจะดีเราก็สั่งให้ดีไม่ได้ มันจะร้ายเราก็ห้ามมันก็ไม่ได้ มันจะใจลอย มันจะไปคิด ก็ห้ามมันไม่ได้ เนี่ยเฝ้ารู้จนเห็นเลย มันไม่ใช่ตัวเรา ถ้าเห็นว่าไม่ใช่ตัวเรา ก็ได้ธรรมะเบื้องต้นแล้ว

อย่างนี้พอไหวมั้ย พุทโธนะ อย่าขี้เกียจนะ อันตรายอุปสรรคสำคัญของนักปฎิบัติ คือขี้เกียจแหละ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สวนโพธิญาณอรัญวาสี
ต.หนองตากยา อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี
เมื่อวันอังคารที่ ๓ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๙ หลังฉันเช้า

CD สวนสันติธรรมแผ่นที่ ๑๑
ลำดับที่ ๒
File: 490103B
นาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๔๖ ถึงนาทีที่ ๒๕ วินาทีที่ ๕๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ไม่ต้องรู้ให้ทันตลอด แต่รู้บ่อยๆ

mp3 for download : ไม่ต้องรู้ให้ทันตลอด แต่รู้บ่อยๆ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ไม่ต้องรู้ให้ทันตลอด แต่รู้บ่อยๆ

ไม่ต้องรู้ให้ทันตลอด แต่รู้บ่อยๆ

โยม : เห็นความรู้สึกครับ ก็เห็นความรู้สึกได้มากขึ้นเลย

หลวงพ่อปราโมทย์ : เอ้อ… อย่าไปกดไว้นะ ยังกดอยู่

โยม : ครับ บางทีก็ทัน บางทีก็ไม่ทันครับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : นั่นแหละ ดูไปอย่างนั้นแหละ ไม่ต้องทันตลอดหรอก รู้บ้างเผลอบ้าง แต่ว่ารู้บ่อยขึ้นๆ มีอีกมั้ย ใครอยู่วัด…


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๒ หลังฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๐
File: 520426B.mp3
ลำดับที่ ๕
ระหว่างนาทีที่ ๑๒ วินาทีที่ ๑๕ ถึง นาทีที่ ๑๒ วินาทีที่ ๓๓

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ความเป็นตัวตนเกิดจากความคิดเท่านั้นเอง

mp3 for download : ความเป็นตัวตนเกิดจากความคิดเท่านั้นเอง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ความเป็นตัวตนเกิดจากความคิดเท่านั้นเอง

ความเป็นตัวตนเกิดจากความคิดเท่านั้นเอง

หลวงพ่อปราโมทย์ : ดูลงไปนะ เวทนาไม่ใช่เรา ความสุขไม่ใช่เรา ความทุกข์ไม่ใช่เรา โทมนัสเกิดขึ้นในใจไม่ใช่เรา โสมนัสเกิดขึ้นในใจไม่ใช่เรา อุเบกขาเกิดขึ้นในใจไม่ใช่เรา ดูลงไปอีก ความโลภไม่ใช่เรา ใครเห็นความโลภเป็นเรา ไม่มีใครเห็นความโลภเป็นเราเลยแต่ชอบคิดว่าเราโลภ

เราโลภยังดูยากเลย ชอบคิดว่าคนอื่นโลภ ดูง่ายไหม โอ๊ย.. ไอ้นี่โลภมากนี่ รวยสี่หมื่นเก้าพันล้านแล้วยังไม่พอ จะเอาห้าหมื่นล้าน อะไรอย่างนี้นะ ดูคนอื่นโลภดูง่ายนะ ดูเราโลภดูยากขึ้นละ พอเราโลภนะ เราก็บอกว่า นี่ขยันหมั่นเพียร รู้จักหา รู้จักเก็บออม เป็นคุณธรรม พอเราโลภก็เป็นอย่างนี้ ดูคนอื่นโลภง่ายที่สุดนะ ดูเราโลภก็ยากขึ้นมาหน่อย ดูความโลภที่มันไม่ใช่เราเนี่ยนะ อัศจรรย์แล้วคราวนี้ ความโลภไม่ใช่เราหรอก ความโลภเป็นสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามาในใจ ไม่ใช่เรา จะเห็นเลย ความโลภไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่คน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา

เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่เราดูไปจนถึงตัวสภาวะแท้ๆ รูปธรรมนามธรรมแท้ๆ ดูไปถึงตัวรูปแท้ๆ รูปจะไม่มีเรา ดูไปถึงตัวเวทนาแท้ๆ เช่น ความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ ความรู้สึกสุขทุกข์จะไม่ใช่เรา ดูไปถึงตัวสังขารแท้ๆ เช่น ความโกรธ ใครเห็นความโกรธเป็นเรา ไม่มีนะ ถ้าเห็นตัวความโกรธแล้วจะรู้ว่าตัวความโกรธไม่ใช่เรา แต่ถ้าไม่มีปัญญาเห็นตัวความโกรธ ความโกรธครอบงำจิต จะรู้สึกว่าเราโกรธ

เราโกรธก็ไม่ค่อยเห็นอีก จะเห็นคนที่ทำให้เราโกรธ รู้สึกไหม ส่วนใหญ่ได้แค่นี้ เห็นไอ้นี่มันขับรถปาดหน้าเรา เห็นไอ้คนที่ขับรถปาดหน้า ไม่เห็นความโกรธในใจของตัวเอง ถ้าสามารถย้อนมาเห็นความโกรธในใจของตัวเองได้นะ จะเห็นอีก ความโกรธไม่ใช่เราหรอก เป็นสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามา

เราภาวนานะ แยกธาตุแยกขันธ์ออกไป หรือแยกรูป แยกเวทนา แยกสังขาร แยกจิตเป็นผู้รู้ผู้ดูออกมา เพื่ออะไร? เพื่อจะได้จะได้ถอนความเห็นผิด ว่าขันธ์ทั้งหลายนี้เป็นตัวเรา ขันธ์มันเป็นตัวเราขึ้นมาเพราะสัญญามันหลอก สัญญาที่วิปลาสมันหลอก แล้วก็ความคิดมันเกิดขึ้นมา สัญญามันเข้าไปหลอก มันหลอกว่ามีเรา สัญญามันเพี้ยนอยู่

เพราะฉะนั้นดูลงมา รูปไม่ใช่เรา เวทนาไม่ใช่เรา สังขารไม่ใช่เรา จิตไม่ใช่เรา ดูไปเรื่อย.. ทีแรกจะเห็นก่อนนะ พอจิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู จะเห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ความรู้สึกสุขทุกข์ไม่ใช่เรา กุศล-อกุศลทั้งหลายไม่ใช่เรา แต่ยังรู้สึกว่าจิตเป็นเราอยู่

ปุถุชนจะรู้สึกว่าจิตเป็นเราอยู่ แต่ว่าถ้าฝึกไปมากเข้าๆ จิตหลุดออกจาก “โลกของความคิด” ได้อย่างแท้จริง อยู่ใน “โลกแห่งความรับรู้” ได้จริงๆ ไม่ใช่อยู่ในโลกของความว่างเปล่านะ อยู่ในโลกของความรู้สึก โลกของความรับรู้ จะรู้สึกเลย ถ้าไม่มีความคิดอยู่นะ ถ้าจิตไม่หลงไปอยู่ในโลกของความคิด ความเป็นตัวตนจะไม่เกิดขึ้น ความเป็นตัวตนเกิดจากความคิดเท่านั้นเอง คิดไปตามสัญญาที่เพี้ยนๆของเราเอง ความเคยชินมันไปหมายว่า นี่เราๆ ร่างกายเป็นเรา ไอ้โน่นเรา ไอ้นี่เรา คิดอย่างนี้ หมายรู้ผิดๆอย่างนี้นะ ก็คิดไปตามความเคยชิน ก็คิดไปตามการหมายรู้ว่ามีเราขึ้นมาจริงๆ

ค่อยฝึกนะ เบื้องต้นจะเห็นรูป เห็นร่างกาย เห็นเวทนา เห็นสังขาร ไม่ใช่เรา ฝึกกับหลวงพ่อสักเดือน สองเดือน จะเห็นตรงนี้แล้ว มันไปยากอยู่ตรงที่ยังเห็นว่าจิตยังเป็นเราอยู่


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๓


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๓
ลำดับที่ ๗
File: 530606A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๒ วินาทีที่ ๑๖ ถึง นาทีที่ ๒๕ วินาทีที่ ๔๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ภาวนาเป็นแล้วทำไมกิเลสเกิดบ่อยขึ้น?

mp 3 (for download) : ภาวนาเป็นแล้วทำไมกิเลสเกิดบ่อยขึ้น?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ภาวนาเป็นแล้วทำไมกิเลสเกิดบ่อยขึ้น?

ภาวนาเป็นแล้วทำไมกิเลสเกิดบ่อยขึ้น?

โยม : จะขอคำแนะนำจากหลวงพ่อครับ ถึงเรื่องวิธีการฝึกจิตแล้วก็ดูสติน่ะครับ ไม่ทราบว่าทำถูกวิธีหรือเปล่า เพราะว่าปัญหาของตัวเองก็คือมีโทสะค่อนข้างมาไวแล้วไม่ค่อยทัน

หลวงพ่อปราโมทย์ : อะไรนะ โทสะอะไรนะ

โยม : โทสะน่ะครับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ทำไม โทสะทำอะไร

โยม : คือมาค่อนข้างไว เหมือนกับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : แล้วไง

โยม : คือ รู้ครับ แต่มารู้ทีหลังทุกทีครับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : รู้ทีหลังก็ถูกแล้ว คนที่ภาวนาเป็นน่ะนะ กิเลสจะเกิดบ่อย คนที่ภาวนาไม่เป็นไปเพ่งไว้นะ ทั้งวันเลยไม่เกิดกิเลส มันนิ่งลูกเดียว เราอย่ากลัวกิเลส แต่ว่าอย่าผิดศีล ๕ นะ เบื้องต้นต้องมีศีล ๕ ไว้ก่อน เพราะว่าต่อไปนี้เวลาเราเจริญวิปัสสนาเนี่ย เราจะไม่เก็บกด

คนซึ่งทำสมถะเนี่ยนะ ไม่ต้องถือศีลมากก็ได้นะ เพราะว่ามันเก็บกด ไม่ได้ไปทำชั่วอะไรหรอก วันๆก็ซึมกระทืออยู่อย่างนี้นะ ไม่ยุ่งกับใคร ทั้งวันอยู่อย่างนี้ ไม่ได้เรื่องหรอก แต่พอเราไม่ได้เก็บกด เราปล่อยเนี่ย ความชั่วในส่วนลึก ที่เรียกว่าอนุสัยทั้งหลายเนี่ย จะผุดขึ้นมาอย่างอิสระ ตากระทบรูปปุ๊บ ไม่ได้เก็บกดนะ โทสะพุ่งแล้ว กระทบสาวปุ๊บราคะขึ้นแล้ว จะขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นตรงนี้แสดงว่าเราไม่ได้กดไว้แล้ว เป็นการที่กิเลสเกิดบ่อย

พอมีกิเลสเกิดบ่อยเราก็มีสติรู้ทัน เราจะเห็น ต่อไปมันก็เกิดปัญญา เห็นมั้ยกิเลสจะเกิดก็ห้ามมันไม่ได้นะ เกิดมาแล้วเรารู้ทันมันไป กิเลสก็เกิดแล้วก็ดับ อย่าไปฝึกดับกิเลสนะ แต่ฝึกเห็นกิเลสเกิดแล้วดับ ไม่ใช่ฝึกดับกิเลส คนละเรื่องกันเลย

โยม : คือดูไปเรื่อยๆแล้วมันจะค่อยลดเองใช่มั้ยครับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : อยากลดเหรอ

โยม : อ๋อ.. คือที่รู้สึกก็คือรู้ว่าน้อยกว่าเมื่อก่อนครับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : คือกิเลสจะเกิดบ่อยกว่าแต่ก่อน แต่กิเลสจะเบา ทำไมมันเบา เพราะเรารู้เร็ว กิเลสเหมือนไฟไหม้บ้านนะ ถ้าปล่อยให้ไหม้หลายนาทีเนี่ย จะไหม้เยอะ ถ้าคนมันมาวางเพลิง มาขีดไฟแช็คปุ๊บ เราเห็นแล้วถีบมันเปรี๊ยง ไฟไม่ติดละ ดังนั้นกิเลสเนี่ย พอเรามีสติรู้เร็ว กิเลสมันก็อ่อน กิเลสจะเกิดบ่อยนะ ไหววับรู้สึก วับรู้สึก วับรู้สึก ไม่ต้องทำอะไรมัน


CD: บ้านอารีย์ วันที่ ๑๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๑
File: 510914.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๔๓ วินาทีที่ ๑๖ ถึง นาทีที่ ๔๕ วินาทีที่ ๓๒
 

 

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

หลวงพ่อไม่ได้สอนสิ่งที่ถูก หลวงพ่อบอกให้รู้สิ่งที่ผิด

mp3 (for download): หลวงพ่อไม่ได้สอนสิ่งที่ถูก หลวงพ่อบอกให้รู้สิ่งที่ผิด

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อไม่ได้สอนสิ่งที่ถูก หลวงพ่อบอกให้รู้สิ่งที่ผิด

หลวงพ่อไม่ได้สอนสิ่งที่ถูก หลวงพ่อบอกให้รู้สิ่งที่ผิด

หลวงพ่อปราโมทย์ : สิ่งที่ผิดมี ๒ อัน หลวงพ่อไม่ได้สอนสิ่งที่ถูกนะ หลวงพ่อบอกให้รู้แต่สิ่งที่ผิด สิ่งที่ถูก ถ้าเราไม่ผิดมันก็ถูกเอง สิ่งที่ผิดอันแรกก็คือใจลอยไป เราเผลอๆ เราเหม่อๆ เราคิดไปทั้งวัน ในโลกมีแต่คนหลง คนทั้งโลกเลย ตื่นขึ้นมา ตื่นแต่ตัว แต่ใจจะคิดๆ ฝันๆ ไปทั้งวัน ไม่รู้ตัวเอง อีกพวกหนึ่งคือนักปฏิบัติ จะชอบไปเพ่งเอาไว้ ไปบังคับไว้ ไปประคองไว้ ไปกำหนดเอาไว้ ใจก็จะนิ่งๆ ทื่อๆ ร่างกายก็แข็งๆ ใจก็แข็งๆ

ในความสุดโต่งมี ๒ อัน ถ้าเราไม่หลงผิดไปสุดโต่ง ๒ ด้านนี้ เราจะถูกอัตโนมัติเลย เพราะไม่มีทางเลือกอย่างอื่นละ ถ้าไม่สุดโต่งข้างซ้ายข้างขวา ก็เข้าตรงกลางเลย ทางสายกลางเราก็ไม่ต้องไปค้นคว้า ไม่ต้องไปหามัน แค่ใจเราลอยไปเรารู้ทัน เราก็จะตื่นขึ้นมาในฉับพลันนั้น


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สวนโพธิญาณอรัญวาสี
ต.หนองตากยา อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี
เมื่อวันอังคารที่ ๓ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๙ หลังฉันเช้า
CD สวนสันติธรรมแผ่นที่ ๑๑
ลำดับที่ ๒
File: 490103B
นาทีที่ ๓ วินาทีที่ ๕๐ ถึงนาทีที่ ๔วินาทีที่ ๔๖

 

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตแสวงหาอยู่ตลอดเวลา

จิตแสวงหาอยู่ตลอดเวลา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

จิตแสวงหาอยู่ตลอดเวลา

จิตแสวงหาอยู่ตลอดเวลา

หลวงพ่อปราโมทย์: ธรรมะของพระพุทธเจ้านะ อัศจรรย์ เปลี่ยน..จริงๆเลย เหมือนมีมนต์เปลี่ยนใจ

โยม: ขอส่งการบ้านในรอบปี สรุปที่ปฏิบัติมาปีนี้น่ะค่ะหลวงพ่อ

หลวงพ่อปราโมทย์: โห..ตั้งปีเลย เอ้า..

โยม: สรุปในปีนี้ที่ปฏิบัติมานะคะ หนูก็เริ่มเห็นว่า ขันธ์เนี่ยมันทำงานคนละส่วน คนละส่วนกันน่ะค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์: ดี

โยม: กายใจ มันก็แยกกันน่ะค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์: เอ้อ…

โยม: แล้วก็ ที่เห็นก็คือสมมุติ เวลาที่หนูจิตแอบไปคิดทีไรเนี่ย ก็จะเห็นว่ามันเกิดเวทนา แล้วก็.. พอเกิดเวทนามันก็จะมีอัตตาตัวตนพุ่งขึ้นมาเป็นระยะๆ ค่ะ เท่าที่เห็นน่ะค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์: ก็ดี

โยม: แล้วก็เห็นว่าจิตเนี่ย มันแสวงหานู่นนี่อยู่ตลอดเวลา มันไม่เคยพอใจกับที่มันเป็นอยู่เลยน่ะค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์: สังเกตมั้ย.. มันหิวอยู่ตลอดเวลา

โยม: ใช่ค่ะ เห็นอย่างนั้นน่ะค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์: มันหิวตลอดเวลาเลย จิตน่ะ ดีที่เห็น

โยม: ค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์: ดูสิ แล้วสุขตรงไหน

โยม: มันไม่ มันบางที ตอนนั้นก็ยังรู้สึกว่ามันสุข แต่ว่ามันก็ เดี๋ยวมันก็ดับไปแล้ว มันก็

หลวงพ่อปราโมทย์: ถ้าไม่หลงโลกไม่สุขหรอก โลกนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ แต่ถ้าพูดอย่างนี้นะ คนนึกว่าศาสนาพุทธมองโลกแง่ร้าย ถ้าพระพุทธเจ้าบอกโลกนี้เต็มไปด้วยความทุกข์แล้วท่านจบคำพูดของท่านแค่นี้นะ เนี่ยมองโลกแง่ร้าย แต่ท่านบอกวิธีที่จะพ้นจากมันด้วย พ้นจากมันแล้วจะพบบรมสุขนะ เพราะฉะนั้นไม่ใช่การมองโลกในแง่ร้ายเลย ถ้าแบบไม่มีทางออก โอ้ย..ทุกข์แน่นอน ทุกข์แน่นอนอย่างนี้ มองอย่างนี้หดหู่ เพราะฉะนั้น ยิ่งเราภาวนานะ เรายิ่งเห็นทุกข์ ยิ่งเห็นทุกข์จิตใจยิ่งเบิกบาน มีความสุขมากขึ้นๆๆ เพราะจิตห่างโลกออกไปเรื่อยๆ ไปฝึกต่อไป

โยม: หลวงพ่อคะ ขอความเมตตาหลวงพ่อช่วยชี้แนะว่า ที่ปฏิบัติอยู่นี่ถูกทางมั้ย หรือว่า…

หลวงพ่อปราโมทย์: อย่าไปกด อย่าไปข่มจิตนะ

โยม: ยังกดอยู่ใช่มั้ยคะ

หลวงพ่อปราโมทย์: ยังกดอยู่ ตอนนี้ก็กดอยู่

โยม: ตอนนี้กดใช่มั้ยคะ

หลวงพ่อปราโมทย์: ใช่

โยม: หลวงพ่อคะ หนูอยากให้หลวงพ่อชี้สภาวะให้หน่อยได้มั้ยคะ

หลวงพ่อปราโมทย์: อยาก..รู้มั้ย อย่างเมื่อตะกี้นี้ ตอนที่บอกหลวงพ่อ อยาก หนูอยากให้หลวงพ่อชี้สภาวะ จิตมันพุ่งมาที่หลวงพ่อ ดูออกมั้ย

โยม: ค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์: จิตมันวิ่งชื้ดมาเลย นะ เนี่ยก็คอยรู้ไป เนี่ยก็สภาวะ นะ อย่างตอนนี้จิตไหลไปคิดทราบมั้ย

โยม: ทราบค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์: นะ นี่ก็สภาวะ นะ เนี่ยพยักหน้าเห็นมั้ย

โยม: เห็นค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์: เห็นมั้ย นี่ก็สภาวะ

โยม: หลวงพ่อคะ หนูมีพัฒนาการที่ดีขึ้นมั้ยคะ หนูคิดว่าหนูมีนะคะ

หลวงพ่อปราโมทย์: ดีขึ้น มาเรียนกับหลวงพ่อแล้ว มีพัฒนาการที่เลวลง อย่างนี้ใช้ไม่ได้นะ

โยม: กราบขอบพระคุณค่ะหลวงพ่อ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันศุกร์ที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๒ หลังฉันเช้า
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๓
File: 521204B.mp3
ลำดับที่ ๔
ระหว่างนาทีที่ ๔๖ วินาทีที่ ๒๑ ถึง นาทีที่ ๔๘ วินาทีที่ ๕๗

 

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา

mp3 for download: สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา

สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา

หลวงพ่อปราโมทย์: หลวงพ่อไปเรียนกับหลวงปู่ดูลย์นะ ท่านสอนให้ดูจิตตัวเอง ไปเรียนเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๕ ไปหาท่าน กลับมานะ มาดูอยู่ ๓ เดือน ดูนะ จิตหนักๆก็แก้มันให้เบาๆ จิตไม่สบายก็ทำให้มันสบาย จิตเป็นอย่างนี้ แก้อย่างนี้ๆ แก้ไปเรื่อย จัดการจนกระทั่ง แหมใจเราสบาย เก่ง เรารู้สึกเก่งแล้วนะ ไปหาหลวงปู่ดูลย์ครั้งที่ ๒ ใช้เวลา ๓ เดือนละ

ไปถึง ไปส่งการบ้านท่าน ท่านบอกว่าดูผิดแล้ว ไปยุ่งกับอารมณ์ ไปแทรกแซงมัน ไปดัดแปลงสภาวะ ไปดัดแปลงอารมณ์ เช่น มันโลภขึ้นมา ทำอย่างไรจะหายโลภ มันโกรธทำอย่างไรจะหายโกรธ มันใจลอยทำอย่างไรจะไม่หลงเลย รีบพุทโธๆ ถี่จะให้ไม่หลงเลย พยายามแทรกแซงมัน หนักๆ ก็หาทางทำให้เบา พยายามจะเอาดี

ท่านบอกว่านี่ไม่ได้ปฏิบัติหรอก ไม่ได้ดูจิตหรอก แต่ไปแทรกแซงมัน ไปบังคับจิต ให้ไปดูใหม่ หลวงพ่อมาดูใหม่ ๔ เดือน รู้แล้วล่ะว่า เราต้องไม่แทรกแซง มันโลภก็รู้ มันโกรธก็รู้ มันหลงก็รู้ มันฟุ้งซ่าน มันหดหู่ มันดีใจ มันเสียใจ มันกลัว มันอิจฉา มันกังวล มันมีความสุข มันมีความทุกข์ มันมีอะไร รู้ลูกเดียวเลย

หลวงพ่อรู้อยู่อย่างนี้ ๔ เดือน ใช้เวลา ๔ เดือนเอง ไม่มากอะไร พวกเราไปฝึกเอานะ บางคนอาจจะเดือนหนึ่ง เข้าใจแล้ว ดูไปเรื่อย เราจะเห็นเลย ทุกอย่างเกิดแล้วดับ ทุกอย่างเกิดแล้วดับ ใหม่ๆ เรายอมรับไม่ได้นะ ความทุกข์เกิดเนี่ย เรายอมรับไม่ได้ เราอยากให้ดับเร็วๆ ความสุขเกิดเราก็ยอมรับความจริงไม่ได้ เราอยากให้ความสุขอยู่นานๆ ทั้งๆ ที่ทุกอย่างมันดับไปตามเหตุ ตามผล ตามเวลาของมัน เพราะฉะนั้นเราดูของจริงในใจเราเรื่อยๆนะ วันหนึ่งปัญญามันเกิด มันจะเห็นเลยว่า ทุกอย่างเกิดแล้วดับหมดเลย ถ้าทุกอย่างเกิดแล้วดับ ใจยอมรับความจริงตรงนี้ ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นในชีวิตเรา เราจะไม่กลุ้มใจแล้ว

แฟนเราทิ้ง ต้องกลุ้มใจมั้ย เห็นมั้ย มีแฟนมันก็ของชั่วคราวนะ มันไม่ทิ้งเราวันนี้ ไปแต่งงานกับมันนะ วันหนึ่งมันก็ตายไป หรือไม่เราก็ตายจากมัน ก็ต้องทิ้งกันอยู่ดีแหละ ทุกอย่างมันชั่วคราวนะ เพียงแต่ชั่วคราวบางอันมันหลายสิบปีหน่อย หลายสิบปีแห่งความทุกข์ทรมาน

เพราะฉะนั้นไม่มีหรอกของถาวร ถ้าเมื่อไหร่ใจของเรายอมรับความจริงตรงนี้ได้นะ ใจเราจะทุกข์น้อยมากเลย เพราะฉะนั้นพวกเด็กๆหลวงพ่อให้การบ้านแล้วนะ ไปดูใจของเราบ่อยๆ ให้เห็นเลยว่าทุกอย่างในใจเรานี้ชั่วคราว อย่าคิดเอานะ ดูของจริง ดูความโลภเกิดขึ้น ดูสิ เธอจะอยู่ได้นานมั้ย ดูเรื่อยๆ แต่อย่าจ้องใส่นะ ถ้าจ้องมันจะนิ่งไปหมดเลย ไม่ดี แค่รู้สึก แค่รู้สึกเอาเท่านั้น ความโกรธเกิดขึ้นมาก็รู้ อ้อ..มันโกรธแล้วนะ อย่าไปจ้องใส่ตัวความโกรธนะ แค่รู้อย่าไปเพ่งใส่ เวลาเพ่งใส่เนี่ยจิตเราจะเคลื่อนเข้าไปเกาะนิ่งๆ อันนี้ใช้ไม่ได้

เราแค่รู้ ใจอยู่ต่างหากนะ เราเห็นความโกรธ เหมือนคนเดินผ่านหน้าบ้าน เห็นความโลภ ความหลง ความสุข ความทุกข์ เหมือนคนเดินผ่านอยู่ห่างๆ เราดูอยู่สบายๆ อย่าเข้าไปคลุกวงใน ดูแบบวงนอกไว้ ดูอย่างนี้เรื่อยๆ วันหนึ่งปัญญามันเกิด ปัญญามันสรุปได้เลย จิตจะเข้าใจความจริงนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของชั่วคราว

ถ้าวันใดที่เราเห็นว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา” ใจยอมรับความจริงตรงนี้ได้เมื่อไหร่ เรียกว่า “พระโสดาบัน”

เราอย่าไปวาดภาพพระโสดาบันเอาไว้ลึกลับนะ คือ นั่งสมาธิเก่ง เดินจงกรมโต้รุ่งได้ ไม่จำเป็นหรอก พระโสดาบันบางองค์พิการ เดินไม่ได้ก็มี ไม่ใช่ต้องเดินได้ตลอด บางองค์ก็นอนเป็นอัมพาต นอนป่วยอยู่ เขาก็ภาวนาของเขาได้ ไม่จำเป็น มันอยู่ทีว่า เขามีสติรู้ทันทุกอย่างที่เกิดขึ้นในใจของเขาไหม ถ้าเขามีสติรู้ทันทุกอย่างที่เกิดขึ้นในใจของเขา โดยที่เขาไม่เข้าไปแทรกแซง ไม่ไปเพ่งจ้อง ไม่แทรกแซง ไม่เพ่งจ้องนะ แล้วก็ไม่แทรกแซง ไม่นานเขาก็จะเห็นความจริงว่า ทุกอย่างชั่วคราว ทุกอย่างเกิดแล้วดับ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๒ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๐
File: 520528A.mp3
ลำดับที่ ๑๒
ระหว่างนาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๑๑ ถึง นาทีที่ ๒๗ วินาทีที่ ๑๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เราคิด หรือ จิตคิด?

mp 3 (for download) : เราคิด หรือ จิตคิด?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

เราคิด หรือจิตคิด

เราคิด หรือจิตคิด

โยม: เมื่อวาน หลวงพ่อบอกว่า อย่าคิดมาก ก็ สรุปแล้ว ทำไม่ได้ค่ะ หมายความว่า มันไม่สามารถทำได้

หลวงพ่อปราโมทย์: ไม่ๆ อย่าคิดมากของหลวงพ่อ หมายถึงว่า อย่าไปช่วยมันคิด ส่วนจิตเนี่ย มันคิดทั้งวันอยู่แล้ว ต่อไปนี้พอจิตมันไหลไปคิดนะ รู้ทันแว้บเลย อย่าไปช่วยมันคิด ภาษามนุษย์นะ บางทีไม่ค่อยสื่อนะ ลำบาก ตัวสภาวธรรมก็คือ ปล่อยให้จิตมันคิดไป แล้วมีสติรู้ทัน อย่าไปช่วยมันคิด

สมมุติว่า อยู่ๆมันคิดถึงยายชีคนนี้อยู่วัด อยู่กับเรา ที่ ที่อื่นนะ เกลี๊ยดเกลียดมัน อยู่ๆ ก็คิดถึงมันนะ ให้มีสติรู้ว่าไปคิดถึงเขาละ ให้มีสติรู้ว่าโทสะเกิด ให้รู้อย่างนี้นะ ไม่ใช่ไปช่วยเขาคิด

ช่วยเขาคิดมีหลายแบบนะ ช่วยเพิ่มกิเลส ไปช่วยแบบสู้กิเลส ช่วยเพิ่มกิเลสก็คือ ป่านนี้มันคงตายไปแล้ว มันทำชั่วมาก ช่วยแบบเพิ่มกิเลสตัวเอง อีกช่วย อีกช่วยหนึ่ง ช่วยข่มกิเลส อย่าไปโกรธเขาเลยน่ะ เขาหลงผิดไปชั่วครั้งชั่วคราว อีกหน่อยเขาคงจะดี เห็นมั้ย ขณะที่ไปช่วยคิดเพื่อจะไปสู้กิเลส ลืมตัวเองอีกแล้ว

เพราะฉะนั้นเรา ใจของเรานะ เหมือนเรืออยู่ในแม่น้ำทอดสมอไว้ ไม่ไหลตามน้ำไป ไม่ต้านน้ำ ให้น้ำไหลผ่านไป ปล่อยให้ความคิด ให้จิตใจนี่แหละทำงานไปตามปกติ ไม่ไปต้านมัน ปล่อย มีหน้าที่รู้ลูกเดียว แต่อย่าไปคล้อยตามมัน พอรู้เรื่องมั้ย สำนวนนี้ หรือต้องเปลี่ยน เปลี่ยนสำนวน

โยม: เข้าใจค่ะ เวลาที่มันมีความคิดเกิดน่ะค่ะ มัน มันเห็นเหมือนว่า มี หมายความว่าความคิด กับสิ่งที่มันคิด มันคนละอย่างกัน

หลวงพ่อปราโมทย์: ใช่.. แล้วคนที่รู้ว่าคิด ก็มีอยู่ต่างหาก นะ มัน ขันธ์นะกระจายตัวออกไป เห็นมั้ยเรื่องราวที่คิดอันหนึ่ง ใจที่คิดอันหนึ่ง ให้รู้อาการที่ใจคิดนะ ไม่ใช่รู้เรื่องที่คิด รู้เรื่องที่คิดเป็นการรู้อารมณ์บัญญัติ คนที่ไม่ภาวนาก็รู้เหมือนกัน หมาก็รู้นะ อย่างไอ้เหลืองมันคิดได้นะ หมาก็ฝันเป็นนะ เออ.. ไม่ใช่ว่าหมาฝันไม่เป็น คิดไม่เป็น

เพราะฉะนั้น ไปรู้เรื่องราวที่คิดที่ฝันเนี่ย กระทั่งสัตว์ก็ทำเป็น ตัวสำคัญคือ รู้..ว่าใจไปคิด เนี่ย ที่หลวงพ่อเทียนสอนน่ะ รู้ว่าจิตไปคิดน่ะได้ต้นทางแล้ว

พอเรารู้ว่าจิตไปคิด จิตจะหลุดออกจากโลกของความคิด มาเกิดโลกของความรู้สึกตัวขึ้นมา จะตื่นขึ้นมา พอตื่นขึ้นมา มันให้เห็นกายที่เคลื่อนไหวอยู่นี่ ที่ขยับอยู่เนี่ย ท่านให้ขยับไปเรื่อย เห็นกายที่เคลื่อนไหวอยู่นี่ไม่ใช่ตัวเราเลย เห็นทันทีนะ ไม่ต้องคิดเลยว่าเป็นเรามั้ย จะเห็นทันทีว่าไม่ใช่เรา

และถ้าจิตเคลื่อนไหว ทำงานขึ้นมา ก็จะเห็นทันทีว่าไม่ใช่เราอีก ตัวเราไม่มี เพราะฉะนั้น ถ้าใจหนีไปคิด ให้รู้ว่าไปคิดนะ ให้รู้อาการที่ใจหนีไปคิด ไม่ใช่รู้เรื่องที่คิดนะ ถ้ารู้เรื่องที่คิดเป็นสมมุติบัญญัติ หมามันก็รู้เหมือนกัน ไม่เห็นบรรลุอะไร แต่ถ้ารู้อาการที่ใจคิดเนี่ย รู้อารมณ์ปรมัตถ์ เรารู้จิตที่คิด การรู้อารมณ์ปรมัตถ์นี่เป็นการทำวิปัสสนา เราจะเห็นเลย จิตจะคิดห้ามมันไม่ได้นะ มันคิดของมันเอง มันทำงานได้เอง มันไม่ใช่ตัวเราหรอก


หลวงพ่อปราโมทย์ แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๐

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๐
Track: ๑๕
File: 500615A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๓๒ วินาทีที่ ๘ ถึง นาทีที่ ๓๕ วินาทีที่ ๒๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อยู่กับลมหายใจ พอจิตทิ้งลมหายใจไป เราก็รู้ว่าหลงไปแล้ว

mp3 for download: อยู่กับลมหายใจ พอจิตทิ้งลมหายใจไป เราก็รู้ว่าหลงไปแล้ว

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

อยู่กับลมหายใจ พอจิตทิ้งลมหายใจไป เราก็รู้ว่าหลงไปแล้ว

อยู่กับลมหายใจ พอจิตทิ้งลมหายใจไป เราก็รู้ว่าหลงไปแล้ว

โยม: อยู่ที่วัดเนี่ย ไม่มีอะไรกระทบแรงๆค่ะ เพราะฉะนั้นก็จะตามรู้กายรู้ใจไป เห็นแต่ความหลง ส่วนใหญ่แล้วก็จะหลงอยู่บ่อยมาก

หลวงพ่อ: หลงนานมั้ย

โยม: อืม.. ก็ระยะหนึ่ง พอรู้สึกตัวก็กลับมาดูค่ะ

หลวงพ่อ: คือ.. เวลาหลงเนี่ยนะ ถ้าเรามีเครื่องอยู่ มีวิหารธรรมเนี่ย จะไม่หลงนาน แต่ถ้าเราไม่มีเครื่องอยู่ จะหลงนาน เพราะฉะนั้นการที่เรามีวิหารธรรมไว้อันหนึ่ง มีเครื่องอยู่ไว้อันหนึ่ง อะไรอย่างนี้ จะช่วย เช่นเราอยู่กับพุทโธ พุทโธ พุทโธ นะ พอจิตทิ้งพุทโธไป เราก็รู้ว่าหลงไปแล้ว

หรือเราอยู่กับลมหายใจ พอจิตทิ้งลมหายใจไป เราก็รู้ว่าหลงไปแล้ว รู้บ่อย บ่อย บ่อย บ่อย ต่อมาจิตไหลไปเนี่ย รู้เองเลย นะ มันจะรู้อัตโนมัติ มันจะเร็ว ค่อยฝึกเอา

โยม: ทีนี้อย่างเมื่อวานนี้

หลวงพ่อ: ยกไมค์อย่างนี้

โยม: เมื่อวานนี้ค่ะ มีเจ็บหลัง ก็คอยตามดู แล้วก็อยากรู้ว่า ไม่ได้ ไม่ได้ ตามดูว่าจะเป็นยังไง ตามดูอยู่ห่างๆ สักพักหนึ่ง มันก็หายไป ใจก็ไปคิดอย่างอื่น

หลวงพ่อ: รู้สึกมั้ย ร่างกายมันอยู่ห่างๆ เนี่ย ดูออกหรือยัง

โยม: นิดหน่อยค่ะ

หลวงพ่อ: รู้สึกมั้ย ร่างกายไม่ใช่ตัวเรา ดูมั้ย ดูได้มั้ยอันนี้

โยม: ยังดูไม่เห็นค่ะ

หลวงพ่อ: ยังไม่เห็นก็ดูไปเรื่อยๆนะ

โยม: ค่ะ แต่ที่เรียนรู้อย่างหนึ่งคือ ถ้าเกิดทำอะไรรีบๆน่ะ จะตามดูกายดูใจไม่ได้

หลวงพ่อ: ใช่สิ มันรีบ ลุกลี้ลุกลน แล้วหลงไป นะ

โยม: และถ้ามีอะไรมากระทบกาย แรงๆเนี่ย คือ อย่างปฎิบัติอยู่ แล้วแมลงตอมเยอะเนี่ย จะรู้แล้วว่ารำคาญ แต่พอรู้ปุ๊บ มือปัดทันทีเลย ยังไม่ทันได้เห็นเลย ก็ไป..

หลวงพ่อ: ไม่เป็นไร อย่าปัดให้มันตายก็แล้วกัน แต่แมลงวัดนี้ไว ปัดไม่ถูกหรอก มันเป็นแมลงหวี่ แมลงหวี่น่ากลัวนะ น่ากลัวกว่าแมลงวันอีก เวลากัดเนี่ย มันเป็นสัตว์ที่กินเนื้อนะ เพราะฉะนั้นถ้ามีแผลนิดนึงมันจะแทะ แทะ แทะ แทะ เข้าไป แล้วก็จะเป็นแผลติดเชื้อ ลามไปเรื่อยๆ เอ้า ต่อไป เชิญยกมือ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๑ หลังฉันเช้า
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๓
File: 521204B.mp3
ลำดับที่ ๔
ระหว่างนาทีที่ ๑๔ วินาทีที่ ๕๙ ถึง นาทีที่ ๑๖ วินาทีที่ ๕๙

 

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เราเกิดมาทำไม?

mp 3 (for download) : เราเกิดมาทำไม?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: ชาวพุทธมีบุญนะ ชาวพุทธนั้นเป็นคนมีบุญ เรารู้ว่า อะไรเป็นสาระแก่นสารของชีวิต อะไรเป็นสาระ อะไรไม่ใช่สาระ อะไรมีประโยชน์ อะไรไม่มีประโยชน์ อะไรอยู่ในลู่ในทาง อะไรนอกลู่นอกทาง ชาวพุทธที่ดีจะรู้สิ่งเหล่านี้ เพราะฉะนั้นเราจะไม่ได้มีชีวิตแบบตามยถากรรม

คนซึ่งไม่มีหลักของทางจิตใจนั้น เหมือนมีชีวิตตามยถากรรม อยู่ไปวันๆหนึ่ง เกิดมาก็โตไป กินข้าวแล้วก็โตไป ตามยถากรรมนะ เรียนหนังสือตามยถากรรม ออกมาทำงาน มีครอบครัว มีลูกมีเมีย แย่งชิงกันไป แล้วก็แก่ไปตายไป ตามยถากรรม ไม่มีอะไร นะ ไม่มีอะไรในชีวิตเลย ไร้สาระ

พวกเราได้ฟังธรรม ที่พระพุทธเจ้าสอน เรารู้ว่าอะไรเป็นสาระเป็นแก่นสาร ทุกคนเกิดมา เรามีเป้าหมายในชีวิต เรารู้ว่าเราเกิดมาทำไม เรารู้กระทั่งว่า “ทำไมถึงเกิดมา” รู้ลึกซึ้งนะ

หลวงพ่อเคย คราวหนึ่งไปนั่งอยู่กับหลวงปู่เทสก์ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งนะ สงสัยชีวิตจะมีความทุกข์มาก ร้องไห้นะ ร้องโฮ โฮ โฮ มา มาหาหลวงปู่

“หลวงปู่.. ทำไมหนูต้องเกิดมา..”

“เพราะไม่รู้.. เพราะไม่รู้”

“ทำไมหนูต้องเกิดมา..” ซ้ำอีก หลวงปู่ก็บอก “เพราะไม่รู้..”

“หลวงปู่ไม่รู้แล้วใครจะรู้..” ว่าอย่างนี้

ความจริงท่านตอบให้เรียบร้อยแล้วนะ เพราะความไม่รู้ ถึงเกิดมานะ เกิดอะไร เกิดทุกข์นั่นแหละ จะเกิดอะไร

คนไหนความจำดีๆ เกิดระลึกชาติได้ บางคนระลึกชาติได้ ความจำดีๆ แล้วจะรู้สึกเลยว่า ชาติไหนที่ไม่ได้เจอพระพุทธศาสนานะ ชีวิตมันวังเวง มันรู้สึกวังเวงนะ มันไม่ได้ชั่วนะ จะชั่วจะดีมันก็แต่ละคนมันก็อบรมของตัวเองมา กระทั่งคนดีๆนั้นแหละ ชาติใดไม่ได้เจอพระพุทธศาสนา มันรู้สึกวังเวง ไม่รู้ว่าอยู่ไปทำอะไร ก็ทำคุณงามความดีไปนั้นแหละ แต่ไม่รู้เป้าหมายของชีวิต

พระพุทธเจ้ามาสอนเรานะ ให้เรารู้ว่าเป้าหมายของชีวิตเรานี้คืออะไร บางคนก็ถาม เกิดมาทำไม เกิดมาทำอะไรก็ช่างมันเถิดนะ แต่ว่าจริงๆ ทุกคนมีเป้าหมายของชีวิตที่จะต้องพัฒนาจิตใจของตัวเองไปสู่ความพ้นทุกข์ให้ได้

ทำไมเราต้องมีชีวิตที่อมอยู่กับความทุกข์ เหมือนคนอมโรค เรื่องอะไรต้องทำอย่างนั้น เราสามารถมีชีวิตที่มีความสุขได้ คนไหนได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้านะ จะได้รับประโยชน์ ได้รับความสุข

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้า เวลาท่านจะส่งพระสาวกไปประกาศพระศาสนาเนี่ย ท่านก็บอกพระสาวก มอบหมายหน้าที่ให้ บอกว่า ให้ไปประกาศธรรมะ ที่งามในเบื้องต้น ในท่ามกลาง ในที่สุด เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข ของมหาชนจำนวนมาก

เห็นมั้ย สิ่งที่จะได้จากการฟังธรรมนะ คือ ประโยชน์ ความสุข ประโยชน์หมายถึงว่าอะไร หมายถึงต้องมีชีวิตที่ดีขึ้น แล้วก็ไม่ใช่มีชีวิตที่ดีขึ้นแบบเป็นทุกข์ด้วย ต้องมีความสุขด้วย

บางคนเข้าใจผิด เห็นศาสนาพุทธสอนเรื่องความทุกข์เยอะ ก็เลยว่าศาสนาพุทธเนี่ย มองโลกแง่ร้าย ความจริงไม่ได้มองโลกแง่ร้าย ท่านให้เรียนรู้ปัญหา ชีวิตมันมีปัญหานะ เรียนรู้ลงมา เรียนรู้ลงมา ชีวิตมีความทุกข์ ก็เรียนรู้ลงมา ความทุกข์อยู่ในกายในใจ รู้อยู่ที่กายที่ใจนี้ เรียนรู้ไปเรื่อยๆนะ แล้วก็ความทุกข์มันจะค่อยๆ หายไป

แต่เดิมหลวงพ่อพูดอย่างนี้นะ พูดแล้วก็ ต้องออมๆหน่อย พูดมากไม่ได้ ถึงวันนี้หลวงพ่อกล้าพูดเต็มปากเต็มคำ เพราะหลวงพ่อมีพยานเยอะแยะเลย ว่าถ้าศึกษาปฏิบัติธรรมแล้วจะมีความสุข มีความสุขมากที่สุดเลย

อย่างคนที่ได้ศึกษาได้ฟังธรรมกับหลวงพ่อนะ สักพักเดียว ไม่นานหรอกนะ บางคนฟังครั้งเดียว สองครั้ง บางคนปฏิบัติตามดูจิตดูใจสักเดือนหนึ่ง บางคนแค่ฟังซีดีนะ แล้วก็คอยสังเกตจิตใจตนเองไปเรื่อยๆ ก็มาบอกหลวงพ่อเรื่อยๆเลยว่า จิตใจของเขาเปลี่ยนไป เคยมีความทุกข์มากก็ทุกข์น้อยนะ เคยทุกข์นานๆก็ทุกข์สั้นๆ เนี่ย หลวงพ่อมีพยานเยอะนะ ว่าปฏิบัติธรรมแล้วมันพ้นทุกข์จริงๆ ไม่ใช่หลับหูหลับตาทำไปเถอะ ทุรนทุรายลำบากไปสารพัดนะ แล้วหวังว่าชาติหน้ามันจะสบายกว่านี้ ตายแล้วมันจะดีกว่านี้

ศาสนาพุทธไม่ได้อนาถาถึงขนาดที่ว่า ต้องตายก่อนแล้วถึงจะดี เราสามารถดีได้ในปัจจุบัน สามารถมีความสุขได้ในปัจจุบัน พิสูจน์ได้ด้วยตัวเองเลยเห็นมั้ย ถ้าหากบอกว่า เอ้า..ทำดีไปนะ สร้างคุณงามความดีสารพัดไป เดี๋ยวชาติหน้าจะดี พิสูจน์ยาก ใช่มั้ย พิสูจน์ยาก

แต่ธรรมะของพระพุทธเจ้านะ ผู้ปฎิบัติสามารถเห็นได้ด้วยตัวเอง ในชีวิตนี้แหละ เห็นในปัจจุบันนี้แหละ บางคนศึกษาธรรมะเพียงเดือน สองเดือน ก็เปลี่ยน ตัวเองเปลี่ยนแปลง ที่วัดหลวงพ่อนี้มีมารายงานเยอะแยะเลย ชีวิตจิตใจนี้เปลี่ยน ตัวเองรู้สึกได้ คนในบ้านรู้สึกได้

มีผู้หญิงคนหนึ่งนะมาเรียนสองสามครั้งมั้ง เสร็จแล้วก็ วันหนึ่ง พาพี่สาวมาด้วย พี่สาวตามมา แล้วไปเล่าให้แม่ชีนุชฟัง พี่สาวก็บอกเลยเนี่ย คนนี้เหรอ เมื่อก่อนร้าย เห็นแก่ตัว ไม่ดีอย่างโน้น ไม่ดีอย่างนี้นะ แหมบรรยายต่อหน้าเลยนะ ไม่ดีอย่างโน้นอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ดีขึ้น ก็เลยต้องมาฟังธรรมบ้าง เพราะว่ามันเปลี่ยนจริงๆ เปลี่ยนคนได้นะ ธรรมะของพระพุทธเจ้านะเปลี่ยนคนได้ และคนที่จะเปลี่ยนได้คือคนซึ่งลงมือศึกษาปฎิบัตินี่ล่ะ เปลี่ยนจริงๆ

พวกศาสนาอื่นนะ สมัยพุทธกาล ถึงกับเตือนกันว่าอย่ามาฟังธรรมของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ามีมนต์เปลี่ยนใจ ถ้ามาพบพระพุทธเจ้าแล้วเปลี่ยนใจ เลิกนับถือศาสนาเก่าๆ

ทำไมล่ะ เพราะว่าศาสนาพุทธนี้สมบูรณ์ด้วยเหตุด้วยผล พิสูจน์ได้ด้วยตัวของเราเอง เส้นทางที่จะพิสูจน์ก็ไม่ได้ยากลำบากเกินไป แค่มีสติขึ้นมาแล้วรู้สึกกายรู้สึกใจไป กายเป็นอย่างไรก็รู้ว่าเป็นอย่างนั้น จิตเป็นอย่างไร รู้ว่าเป็นอย่างนั้น ตามรู้ตามดูอย่างนี้เรื่อยๆ รู้สึกตัวไปแล้วคอยรู้ไปเรื่อยๆ ชีวิตจิตใจจะเปลี่ยน แล้วก็เปลี่ยนอย่างรวดเร็วด้วย


CD: ศาลาลุงชิน ครั้งที่ ๒๓
File: 510817.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๐ วินาทีที่ ๑๐ ถึง นาทีที่ ๗ วินาทีที่ ๒๓

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ธรรมะไม่ได้อยู่ที่วัด ไม่ได้อยู่กับพระ ธรรมะอยู่ที่ตัวของเราเอง

mp3 (for download) : ธรรมะไม่ได้อยู่ที่วัด ไม่ได้อยู่กับพระ ธรรมะอยู่ที่ตัวของเราเอง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ธรรมะอยู่ที่ตัวเราเอง

ธรรมะอยู่ที่ตัวเราเอง

หลวงพ่อปราโมทย์ : จริงๆ การปฎิบัติ มันไม่ใช่อะไรลึกลับหรอกนะ เราชอบไปวาดภาพการปฎิบัติธรรม คือ การต้องทำอะไรยากๆ ทำอะไรแปลกๆ อะไรอย่างนี้ ต้องไปอยู่วัด ต้องอดข้าว ต้องอะไรต่ออะไร เราวาดภาพเยอะไปนิดนึงนะ

การปฏิบัติธรรมจริงๆ ก็คือ การที่เราคอยรู้ตัวไว้ รู้กายรู้ใจ รู้กายรู้ใจของเราไปเรื่อยๆ เพราะกายกับใจนี้จะสอนธรรมะเรา ธรรมะไม่ได้อยู่ที่วัด ไม่ได้อยู่กับพระ ธรรมะอยู่ที่ตัวเราเอง เราเรียนเรื่องตัวเราเอง จนกระทั่งเราสามารถมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ อย่างทุกข์น้อยๆ วัตถุประสงค์ คือ จะเรียนเพื่อให้มันทุกข์น้อยๆ หรือจะเรียนเพื่อให้มันไม่ทุกข์ ไม่ใช่เรื่องลึกลับอะไร นี่เราจะเรียนเพื่อพ้นทุกข์ ความทุกข์ก็อยู่ที่กายกับใจเรานี่เอง ให้เราเรียนลงที่กายที่ใจ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แสดงธรรมที่สวนโพธิญาณ
หนองตากยา ท่ามวง กาญจนบุรี
เมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๘
CD สวนสันติธรรมแผ่นที่ ๙
ลำดับที่ ๑๕
File: 480821A
นาทีที่ ๐ วินาทีที่ ๓๕ ถึงนาทีที่ ๑ วินาทีที่ ๓๑
 
 

 

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 6 of 12« First...45678...Last »