Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

ทางวิปัสสนา (๗) สมาธิมีสองชนิด ฝึกเพื่อวัตถุประสงค์คนละอย่างกัน

mp3 for download : ทางวิปัสสนา (๗) สมาธิมีสองชนิด ฝึกเพื่อวัตถุประสงค์คนละอย่างกัน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทางวิปัสสนา

ทางวิปัสสนา (๖) จุดเริ่มต้นของการฝึกเจริญปัญญา

หลวงพ่อปราโมทย์ : ตรงนี้แหละที่เป็นข้อแตกต่างอย่างยิ่งนะ ระหว่างการทำสมาธิแบบเอาความสงบเป็นที่ตั้ง กับทำสมาธิชนิดที่จะทำให้จิตถอยยออกมาเป็นผู้รู้ผู้ดูเพื่อจะเดินปัญญา สมาธิมันมี ๒ ชนิด

สมาธิชนิดแรก สงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว จิตของเราปกติฟุ้งซ่าน หนีไปโน้นหนีไปนี้อยู่ตลอดเวลา เรามาอยู่กับพุทโธไม่ให้จิตหนี มาอยู่กับพุทโธไม่ให้จิตหนีไปไหนเลย จิตสงบอยู่กับพุทโธ ได้สมถกรรมฐาน ได้ความสงบ เรารู้ลมหายใจไม่ให้จิตหนีไปไหนเลย อยู่กับลมหายใจอย่างเดียว เราได้ความสงบได้สมถกรรมฐาน

แต่จะฝึกให้จิตตั้งมั่น ไม่ลืมตัวเอง ต้องฝึกอีกแบบหนึ่ง ทำสมาธิอีกชนิดหนึ่ง สมาธิมี ๒ ชนิด สมาธิที่จิตสงบ อยู่ในอารมณ์อันเดียว มีชื่อทางวิชาการ ชื่อว่าอารัมณูปนิชฌาน อารัมณะคืออารมณ์นั่นเอง จิตนี้แน่วแน่อยู่ในอารมณ์อันเดียว เช่นอยู่กับพุทโธอย่างเดียวไม่หนีไปไหน ไม่นึกไม่คิดอะไร อยู่กับพุทโธ หายใจก็สงบอยู่กับลมหายใจอย่างเดียว ไม่คิดไม่นึกไม่หนีไปไหน อย่างนี้ได้ความสงบเฉยๆ

มีสมาธิอีกชนิดหนึ่ง ชื่อลักขณูปนิชฌาน สมาธิชนิดนี้จิตตั้งมั่นขึ้นมาเป็นคนดู จิตไม่หลงไปในโลกของความคิด ไม่หลงเผลอไป ไม่ไหลไป แต่ตั้งมั่นขึ้นมา วิธีฝึกก็ใช้พุทโธ ใช้ลมหายใจ เหมือนที่ใช้ฝึกทำความสงบนั่นแหละ แต่ปรับวิธีนิดหนึ่ง ถ้าจะทำความสงบเราก็พุทโธให้จิตอยู่กับพุทโธ หายใจให้จิตอยู่กับลมหายใจ ดูท้องพองยุบให้จิตไปอยู่ที่ท้อง เนี่ยจิตได้ความสงบ แต่ถ้าจะฝึกจิตให้ตั้งมั่นนะ หัดพุทโธไปแล้วจิตหนีไปคิด รู้ทัน หายใจไปจิตหนีไปคิด รู้ทัน ไม่ได้บังคับจิตว่าห้ามไปไหน ไม่ได้บังคับจิตว่าต้องอยู่ที่เดียวนิ่งๆ

550409.15m29-17m24

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ ห้องสุวรรณภูมิบอลรูม ชั้น ๒ อาคารบี
บจก. เตียวฮงสีลม บางพลี
วันจันทร์ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕
ระหว่างเวลา ๑๓:๐๐ – ๑๕:๐๐ น.

File: 550409.mp3 (ไทย)
File: 550409.mp3 (สหรัฐอเมริกาและยุโรป)
เสียงพระธรรมเทศนา ระหว่างนาที่ ๑๕ วินาทีที่ ๒๙ ถึง นาทีที่ ๑๗ วินาทีที่ ๒๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางวิปัสสนา (๖) จุดเริ่มต้นของการฝึกเจริญปัญญา

mp3 for download : ทางวิปัสสนา (๖) จดเริ่มต้นของการฝึกเจริญวิปัสสนา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทางวิปัสสนา

ทางวิปัสสนา

หลวงพ่อปราโมทย์ : เรามาหัดถอดตัวเอง ทำอย่างไรดี ขั้นแรกเลยนะ เราต้องรู้สึกตัวให้เป็นก่อน ถ้าใจเราลอย ใจเราฟุ้งซ่าน คิดโน่นคิดนี่นะ เราไม่สามารถเรียนรู้เรื่องตัวเราเองได้ สังเกตมั้ย เวลาที่เราใจลอย เราจะไปคิดถึงคนอื่น คิดถึงสิ่งอื่น หรือถ้าคิดถึงตัวเราเอง ก็จะไปคิดถึงเวลาอื่น เช่น คิดถึงตัวเราในอดีต คิดถึงตัวเราในอนาคต มันจะหลงไปหาสิ่งอื่นตลอด

ลองดูก็ได้ ในขณะนี้ ตั้งใจฟังหลวงพ่อ รู้สึกมั้ย ขณะที่ตั้งใจฟังหลวงพ่อเนี่ย ร่างกายเรามีมั้ย ร่างกายเรามีอยู่นะ แต่เราไม่รู้สึก เราลืมร่างกายของเราไป ในขณะนี้จิตใจของเราก็มี แต่พอมาจดจ่อมาฟังธรรมะของหลวงพ่อนะ เราลืมจิตใจของเราเอง สุขหรือเปล่าก็ไม่รู้ ทุกข์หรือเปล่าก็ไม่รู้ เป็นกุศลหรืออกุศลก็ไม่รู้

เมื่อไรใจลอยนะ เมื่อนั้นไม่สามารถรู้กาย ไม่สามารถรู้ใจ ของตัวเองในปัจจุบันได้ ใจลอยอาจจะรู้กายรู้ใจนะ แต่รู้ด้วยการคิดๆเอา คิดถึงเราเมื่อวานซืน คิดถึงเราเมื่อตอนเด็ก คิดถึงคนโน้นคิดถึงคนนี้ มันไม่ใช่ตัวจริงในปัจจุบันนี้ เมื่อไรใจลอย เมื่อนั้นลืมตัวเอง เพราะฉะนั้นเราต้องพยายามรู้สึกตัวเอง ไม่ลืมตัวเอง

นี่คือจุดตั้งต้นเลยนะ ของการที่จะเจริญปัญญา ถอดตัวเองออกเป็นชิ้นๆได้เนี่ย ขั้นแรกต้องไม่ลืมตัวเอง ถ้าเราลืมตัวเอง เราก็ถอดตัวเองออกเป็นชิ้นๆไม่ได้ เหมือนเเราจะเป็นช่างซ่อม เราลืมรถยนต์ไปนะ ไม่ได้สนใจรถยนต์เลย รถยนต์ก็กองอยู่อย่างนั้น ไม่ได้ถอดออกมาเป็นชิ้นๆเสียที

เพราะฉะนั้นขั้นแรกเลยของการปฏิบัติเนี่ย ต้องอย่าใจลอย วิธีฝึกที่จะไม่ให้ใจลอยทำอย่างไร ขั้นแรกหัดพุทโธก็ได้นะ หัดหายใจก็ได้ จะดูท้องพองยุบก๊ได้ ทำกรรมฐานอะไรก็ได้สักอย่างหนึ่ง เราถนัดพุทโธเราก็ใช้พุทโธ ถนัดรู้ลมหายใจเราก็รู้ลมหายใจ ถนัดดูท้องพองยุบเราก็ดูท้องพองยุบ ถนัดที่จะขยับมือทำจังหวะ อย่างสายหลวงพ่อเทียนขยับมือ เราก็ขยับมือไป อะไรก็ได้ หางานขึ้นมาให้จิตทำสักอย่างหนึ่ง จะพุทโธ จะรู้ลมหายใจ จะดูท้องพองยุบ จะขยับมือทำจังหวะ จะไปเดินจงกรม อะไรก็ได้ ทั้งนั้นเลย แล้วคอยรู้ทันจิต

550409.13m06-15m29

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ ห้องสุวรรณภูมิบอลรูม ชั้น ๒ อาคารบี
บจก. เตียวฮงสีลม บางพลี
วันจันทร์ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕
ระหว่างเวลา ๑๓:๐๐ – ๑๕:๐๐ น.

File: 550409.mp3 (ไทย)
File: 550409.mp3 (สหรัฐอเมริกาและยุโรป)
เสียงพระธรรมเทศนา ระหว่างนาที่ ๑๓ วินาทีที่ ๖ ถึง นาทีที่ ๑๕ วินาทีที่ ๒๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ศีลที่พระอริยะชมเชย

mp 3 (for download) : ศีลอะไรสำคัญที่สุด?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ศีลตัวที่ต้องเรียนให้มากนะคืออินทรียสังวรศีล ศีล ๕ ศีล  ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ เนี่ยเรียกว่าปาฏิโมกขสังวรศีล

ถ้าเราเรียนอินทรียสังวรศีลได้เนี่ยเราจะได้ศีลหมดเลย อินทรียสังวรศีลเนี่ยเมื่อตามองเห็นรูปความยินดียินร้ายเกิดที่จิต มีสติรู้ทัน ถ้ารู้ไม่ทันกิเลสจะครอบงำจิต ถ้าถูกกิเลสครอบงำจิต ศีลก็เสียไป เมื่อหูได้ยินเสียงความยินดียินร้ายเกิดที่จิตให้มีสติรู้ทัน ถ้ารู้ไม่ทันกิเลสครอบงำศีลขาดอีกแล้ว

ศีลคือความเป็นปกติของจิตที่ไม่ถูกกิเลสครอบงำ เมื่อใจไปรู้ธรรมารมณ์่เช่นไปรู้ความคิดใจไปรู้ความคิด กิเลสเกิดขึ้นที่จิตคือความยินดียินร้ายเกิดที่จิตให้มีสติรู้ทัน เพราะฉะนั้นถ้าเมื่อไรเรามีสติคอยรู้ทันจิตใจของเราเรี่อยๆ อินทรียสังวรศีลจะเกิดขึ้นแล้ว ศีลข้างนอกมันเกิดขึ้นเอง

ยกตัวอย่าง อย่างหนุ่มๆเห็นสาวสวยเค้าก็มีสามีแล้วอะไรเงี้ย แต่ใจมันรัก ใจมันมีราคะมันรักเค้า มีสติรู้ทันราคะครอบงำใจไม่ได้ ไม่ไปเป็นชู้กับเค้า เดินตามหลังคนไปเห็นเค้าทำโทรศัพท์มือถือตกอุ๊ยรุ่นนี้ถ่ายรูปได้ด้วยสวยอยากได้ อยากได้เห็นว่าอยากได้น ะกิเลสครอบงำใจไม่ได้ ก็ไปเรียกเจ้าของมาเอาคืนได้ ไม่ไปเอาของเค้า ข้อผิดศีลข้อลักข้อขโมยก็ไม่มี ความโกรธเกิดขึ้นที่จิตมีสติรู้ทันความโกรธครอบงำใจ ไม่ได้ไม่ไปด่าใครหรอก ไม่ไปฆ่าไม่ไปตีใครหรอก

งั้นถ้ารักษาศีลโดยการมีสติรู้ทันเข้าถึงจิตถึงใจอย่างแท้จริง ศีล ๕ เนี่ยเกิดขึ้นอัตโนมัติ เพราะงั้นศีลที่เกิดจากอินทรียสังวรจนเป็นอัตโนมัติเนี่ย เป็นศีลที่พระอริยะชมเชย เรียกว่าอริยกันตศีล ดีกว่าศีลที่เป็นข้อๆ ถือโดยไม่ได้อยากจะถือ แต่อยากเป็นคนดีก็เลยต้องถือด้วยความจำใจ ส่วนศีลของผู้ปฏิบัติเนี่ยนะเราเห็นเลยว่า ถ้าจิตใจเราเศร้าหมองถูกกิเลสครอบงำมันไม่มีความสุข ไม่ดี สกปรก จิตใจก็ไม่ถูกกิเลสครอบงำ บริสุทธิ์สะอาดผุดผ่องอยู่ มีความสุขอยู่ จิตใจจะรักษาศีลของมันเอง

ถ้ารักษาศีลให้ถึงใจ รักษาง่าย ศีลเกิดขึ้นโดยง่าย ถ้ารักษาศีลอยู่ที่มือที่เท้าที่ปากนะ ถือยากนะ อย่างอยากด่าเค้าแทบจะขาดใจแล้ว อยากด่าเต็มทีพยายามไม่ด่า ลำบาก แต่ถ้ามีสติรู้ว่ามันโกรธเค้าแล้ว เห็นความโกรธเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป มันไม่ด่าเองน่ะ แต่ว่าศีล ๕ จำเป็นนะต้องถือไว้ก่อนขั้นต่ำเป็นเครื่องป้องกันตัว เอาศีล ๕ ไว้ก่อน


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๘ หลังฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๗
Track: ๑๑
File: 480130B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๔๑ วินาทีที่ ๓๖ ถึง นาทีที่ ๔๔ วินาทีที่ ๔๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

บรรลุธรรมเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับอินทรีย์

mp 3 (for download) : บรรลุธรรมเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับอะไร?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : กรรมฐานก็เลยมีหลายแบบ ทั้งแบบที่ปฏิบัติลำบาก กับแบบปฏิบัติสบาย

บางทีคนกิเลสเยอะๆอาจจะบรรลุเร็วก็ได้ เพราะบรรลุเร็วบรรลุช้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนกิเลสนะ บรรลุเร็วบรรลุช้าขึ้นอยู่กับอินทรีย์แก่หรืออินทรีย์อ่อน สติมีบ่อยมั้ย สัมมาสมาธิเกิดขึ้นมั้ย สามารถรู้การเกิดดับของรูปนามกายใจได้มั้ย ถ้าทำได้ก็เรียกว่าอินทรีย์แก่กล้า ก็บรรลุเร็ว

เพราะฉะนั้นบางคนกิเลสหนาด้วย อินทรีย์แก่กล้าด้วย ทำทุกขาปฏิปทาจริง แต่บรรลุเร็ว ในคัมภีร์พูดถึงพระโมคคลา ปฏิบัติลำบาก ท่านง่วงนอนมาก กิเลสครอบงำมาก นิวรณ์ครอบงำมาก ปฏิบัติลำบาก ท่านก็เดินจงกรมปฏิบัติหามรุ่งหามค่ำไป แล้วท่านก็บรรลุเร็ว ๗ วันท่านก็บรรลุแล้ว เพราะอินทรีย์ท่านก็กล้าด้วย

เพราะฉะนั้นมันไม่ล้างกันนะ ระหว่างกุศลกับอกุศล ไม่ใช่กิเลสเยอะแล้วอินทรีย์ต้องอ่อนเสมอไป ไม่แน่ บางคนมันทำทั้งสองอย่างเลย กิเลสก็ทำนะ ปฏิบัติก็ขยันทำนะ อย่างพระสารีบุตรนะ กิเลสท่านเบาบาง ท่านปฏิบัติง่าย ท่านนั่งฟังพระพุทธเจ้าเทศน์ให้คนอื่นฟัง ตามรู้ตามดูไป แล้วก็บรรลุเร็วด้วยนะ อินทรีย์ท่านแก่กล้าด้วย

ทีนี้พวกเราก็ดูจังหวะของตัวเองนะ ดูเอา ทำอย่างไรสติปัญญาเกิดบ่อย เอาอันนั้น


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๗ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๗
Track: ๑
File: 471121A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๕๕ ถึง นาทีที่ ๘ วินาทีที่ ๓๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อยู่ตรงไหน ก็ปฏิบัติตรงนั้น

mp 3 (for download) : อยู่ตรงไหน ก็ปฏิบัติตรงนั้น

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ที่จริงการปฏิบัตินะ เราอยู่ตรงไหน เราก็ปฏิบัติตรงนั้น ยกตัวอย่างบางคนค้าขาย บางคนค้าขายแล้ววันนี้ไม่มีลูกค้าเลย โห.. ใจคอไม่ค่อยสบายเลย ไม่มีลูกค้า รู้ว่า(ใจ)ไม่สบายนะ วันนี้ลูกค้ามาเยอะเลย ดีใจ รู้ว่าดีใจ วันนี้ลูกค้ามาเยอะมากเลย จนเหนื่อยแล้วเหนื่อยอีก อยากจะพักแล้ว ไม่รู้จะ โอ๊ย.. มันจะบ้าซื้ออะไรทั้งวันทั้งคืน ชักรำคาญแล้วนะ รู้ว่ารำคาญ

บางคนเลี้ยงลูกก็ปฏิบัติได้นะ เห็นลูกวิ่ง..หัวเราะมา มันน่ารักจังเลย รู้สึกรัก รู้ทันว่าใจมันรัก เห็นลูกเป็นไข้ไม่สบาย เป็นกังวล รู้ว่ากังวล เพราะฉะนั้นทำอะไรเราก็ปฏิบัติได้ ดูหนังดูละครก็ปฏิบัติได้นะ ดูข่าวดูอะไรก็ทำได้ ดูหนังแล้วเห็นนางเอกสวย เห็นพระเอกหล่อ ใจเราชอบ รู้ว่าชอบ เห็นผู้ร้าย เกลียดมัน รู้ว่าเกลียด

เนี่ย มันจะต่างกับคนทั่วๆไปนิดเดียว คนทั่วๆไปดูหนังนะ พระเอกอย่างโน้น นางเอกอย่างนี้ มัวแต่รู้เรื่องหนัง ผู้ปฏิบัติน่ะดูหนังแล้วก็มาดูใจ ดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัว ดูใจของเราบ้าง

โยม : ทีนี้ก็อยากจะปฏิบัติให้จริงจังอะไรอย่างนี้

หลวงพ่อปราโมทย์: อันนี้ล่ะจริงจังสุดขึดแล้ว ส่วนอย่างนี้ไม่จริงจังเท่าไหร่.. วันหนึ่งจะนั่งได้กี่ชั่วโมง ปฏิบัติน่ะ ทำตั้งแต่ตื่นจนหลับเลยเนี่ย จริงจังมั้ย? ตั้งแต่สมัยก่อนนะ พวกเก่าๆฟังแล้วฟังอีก รับราชการอยู่ ตื่นนอมาวันจันทร์นะ พอนึกได้ว่าวันจันทร์ ใจกระทบความคิด นึกขึ้นได้ว่าวันนี้วันจันทร์นะ ใจแห้งแล้งเลย พอตื่นมาวันศุกร์ นึกขึ้นได้ว่าวันนี้วันศุกร์นะ ใจมันสดชื่นเลย สดชื่นก็รู้ แห้งแล้งก็รู้ นี่ละปฏิบัติแล้วนะ ยังไม่ได้ลงจากที่นอนเลย อากาศหนาวๆอย่างนี้จะไปอาบน้ำในตุ่ม ตามองเห็นตุ่มน้ำ เนี่ยตาเห็นรูป ตาเห็นตุ่มน้ำ ใจนี้สยองเลย ใจสยองรู้ว่าสยอง จะทานข้าว รู้ว่าอันนี้อร่อย พอใจ อันนี้ของไม่อร่อย ไม่พอใจ เห็นมั้ย ลิ้นกระทบรส ความรู้สึกก็เปลี่ยน เนี่ย ภาวนาตามรู้อย่างนี้

ออกมาจากบ้านจะไปขึ้นรถเมล์ เห็นรถเมล์ไม่มาสักที มีแต่คนรอเยอะแยะเลย ไม่สบายใจ รู้ว่าไม่สบายใจ นี่ก็ปฏิบัตินะ รถเมล์มาดีใจ รถเมล์ไม่ยอมจอด ชักโมโหอะไรอย่างนี้ เฝ้ารู้ความรู้สึก เนี่ยทำอย่างนี้ทั้งวันเลย ตั้งแต่ตื่นจนหลับนั่นแหละ ยกเว้นเวลาที่ทำงานที่ต้องคิด เวลาทำงานที่ต้องคิด ต้องรู้เรื่องงาน เพราะรู้เรื่องงานเป็นการรู้อารมณ์บัญญัติ ไม่ใช่เวลาเจริญวิปัสสนา รู้เรื่องงานก็มีสมาธิในการทำงาน จดจ่อในงานไป ทีนี้ทำงานไปสักช่วงหนึ่ง ชักเบื่อแล้ว เบื่อไม่ใช่งานแล้ว เบื่อเป็นกิเลสแล้ว มีสติรู้ว่ามันเบื่อ หรือทำงานไป วันนี้ คนเขาชม present งาน คนเขาชมเราดีใจ รู้ว่าดีใจ เสนองานไปไม่ผ่าน ชักหงุดหงิด รู้ว่าหงุดหงิด ส่วนเวลาคิดงานนั้นต้องคิดนะ ไม่ใช่เวลาเจริญสติ

เนี่ย อาตมาทำอยู่อย่างนี้ กลับมาบ้านตอนเย็นน่ะ ก่อนจะนอนนั้นแหละ ถึงจะได้ไหว้พระ สวดมนต์ ทำสมาธิ เดินจงกรม นิดๆหน่อยๆ เพราะเป็นฆราวาสใช่มั้ย เดินจงกรมทั้งวัน ใครเขาจะให้เงินเดือนเรานะ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๘ หลังฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๗
Track: ๗
File: 480116B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๕ วินาทีที่ ๓๔ ถึง นาทีที่ ๒๙ วินาทีที่ ๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การเจริญสติเหมือนพายเรือทวนน้ำ

mp 3 (for download) : การเจริญสติเหมือนพายเรือทวนน้ำ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : มีครูบาอาจารย์องค์หนึ่งท่านเล่าให้ฟังว่า วันที่เผาศพหลวงปู่มั่น ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นนะที่ท่านพ้นทุกข์พ้นร้อนไปแล้วมาร่วมงานเผาศพ มีตั้ง ๓๗ องค์ ที่เข้าใจธรรมะเบื้องต้นนะมีนับไม่ถ้วน มาถึงวันนี้นะท่านเล่าว่า กว่าจะเข้าใจธรรมะซักองค์หนึ่งๆนะอยู่กันจนแก่เลย เพราะสิ่งยั่วยวนมันเยอะ ใจไม่แข็งจริงอยู่ไม่ไหวนะภาวนายาก

พวกเราต้องเข้มแข็งนะสิ่งยั่วยุมันเยอะ สิ่งหลอกลวงมันเยอะ สิ่งที่จะทำให้ใจเรากระเพื่อมขึ้นกระเพื่อมลงมันเยอะ อย่างตอนหลวงพ่อเด็กๆนะ พอตกค่ำลงเนี่ย แต่ละบ้านอย่างมากก็เปิดวิทยุ วิทยุก็ไม่มีอะไรมากหรอกนะมีดนตรีไทยกะน้องกะแน้งอะไรงั้นไป ไอ้สิ่งจะมายั่วยุอะไรไม่ค่อยมีนะ อย่างมากก็มีโฆษณา ซึ่งโฆษณาแบบฟังแล้วเราก็ไม่อยากซื้อ ยาปดงพระสังข์ขี่ลิงอะไรเงี้ยนะ ยาตะขาบ ๙๙ ตัวอะไรเงี้ยสมมติ ฟังแล้วก็งั้นๆน่ะมันไม่ยั่วกิเลส ตกค่ำลงใช่มั้ยคนเปิดวิทยุคนยังทำงานได้

ต่อมาพอโทรทัศน์เข้ามาเนี่ย ทำงานไม่ได้แล้วต้องนั่งเฝ้าหน้าจอ วิถีชีวิตมันค่อยๆเปลี่ยน โทรทัศน์ตอนหลังๆนี้ยิ่งโฆษณาเก่งขึ้นเรื่อยๆ ดูแล้วกิเลสมากขึ้นเรื่อยๆ แค่ดูละครก็ตบกันหนักหนาสาหัสนะ สมัยโบราณละครนางอิจฉาก็แค่กระแนะกระแหนกัน ลองไปดูเรื่องสี่แผ่นดินสิ แม่อุ่น คุณอุ่นว่าแม่พลอยอะไรงี้เค้าว่ากระแนะกระแหน เดี๋ยวนี้ต้องตบกันกรี๊ดๆกร๊าดๆใช่มั้ยตบกันหนักๆยิ่งดี เนี่ยสิ่งที่ยั่วให้อารมณ์เราแกว่งนี้เยอะมากเลย ยั่วกิเลส

งั้นไม่แปลกหรอกนะที่กิเลสเราจะรุนแรง สิ่งที่ยั่วยุมันเยอะ แล้วใจของเราไม่ได้แข็งพอที่จะอยู่ท่ามกลางความยั่วยุโดยไม่กระเพื่อมหวั่นไหว นี้เราต้องฝึกตัวเอง เราจะไปเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมไม่ได้ เราไม่ได้เป็นคนกำหนดสิ่งแวดล้อมนั้นใช่มั้ย ทำไมบ้านเมืองต้องมีสภาพอย่างนี้ ดูข่าวการเมืองก็เกิดกิเลสใช่มั้ย ดูเศรษฐกิจก็เกิดกิเลสกังวลอะไรงี้ ดูข่าวอะไรๆก็มีแต่เรื่องปวดหัวทั้งนั้นเลย ดูโฆษณาก็เต็มไปด้วยความอยาก ฟังเพลงอย่างกับหมากัดกันฟังไม่รู้เรื่อง อะไรก็ไม่รู้ เนี่ยมีแต่สิ่งยั่วยุอย่างเงี้ย

เพราะงั้นยากเหลือเกินนะที่คนรุ่นนี้ซักคนหนึ่งเนี่ยจะเข้าใจธรรมะขึ้นมา คนที่จะเข้าใจธรรมะได้เนี่ยต้องใช้เวลาส่วนใหญ่เวลาว่างๆส่วนใหญ่ เวลาทำมาหากินก็แล้วไปเถอะแต่เวลาส่วนใหญ่ที่เหลือเนี่ยต้องเอามาเจริญสติ การเจริญสติเหมือนพายเรือทวนน้ำนะ ไม่ใช่พายเรืออยู่ในน้ำนิ่ง เหมือนพายเรือทวนน้ำ หยุดเมื่อไหร่ถอยเมื่อนั้น ถอยไปใช่มั้ย เอ้า เดี๋ยวมีแรงมาพายใหม่ พายมาถึงตรงนี้ เอ้าหมดแรงถอยไปอีกแล้ว ถอยขึ้นถอยลงอยู่อย่างนี้นะหลายๆครั้งจะไม่มีแรงที่จะไปต่อแล้ว หมดไปหนึ่งชาติแล้ว งั้นต้องอดทนมากนะ การที่จะขยันพากเพียร ตื่นขึ้นมาคอยรู้สึกกายตื่นขึ้นมาคอยรู้สึกใจไว้นะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันศุกร์ที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๖
Track: ๔
File: 510801.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๘ วินาทีที่ ๒ ถึง นาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๒๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ต้องปฏิบัติตั้งแต่ตื่นจนหลับ

mp 3 (for download) : ต้องปฏิบัติตั้งแต่ตื่นจนหลับ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ไปส่งการบ้านครูบาอาจารย์นะ พวกพระชอบมาฟัง บางทีมีชีมาฟังด้วย เมื่อก่อนเดินเข้าวัดป่าสาละวัน ไปหาหลวงพ่อพุธนะ จะผ่าน มีกุฎิแม่ชีอยู่หลังหนึ่ง พอแกเห็นเราเท่านั้นแหละ แกคว้าสมุดโน้ตมาเลย รีบมาเลย รีบจ้ำๆๆ มานั่งฟัง บางทีพระก็ฟัง

ไปหาหลวงปูเทสก์นะ บางที เข้าไปกราบท่านนะ โยมเข้าไปวันหนึ่งเป็นร้อย ในมณฑปที่ท่านอยู่ พระอุปัฏฐากจะให้หลวงพ่อนั่งข้างๆท่านก่อน นั่งหลบๆมุมๆก่อน เอ้า..โยมคณะที่หนึ่ง ถวายของ คณะที่สองถวาย สาม สี่ ห้า เอ้าหมดทุกคณะแล้ว หลวงปู่จะให้พร รับพร เอ้า หลวงปู่จะพักผ่อน เชิญโยมกลับ เนี่ยใช้เวลาไม่นานนะ สิบกว่านาที คนเป็นร้อยๆนะ กลับไปหมด พระปิดประตูเลย หลวงพ่อก็จะอยู่กับหลวงปู่ ทีนี้พระจะมานั่งฟัง คราวหนึ่งอาจารย์อินทร์ถวายยังเคยมานั่งฟัง

เสร็จแล้วพอ พูดกับหลวงปู่เสร็จนะ ออกมาข้างนอก บางทีพระมาตามมา พระถาม โยมทำได้ยังไง โยมปฏิบัติยังไง พระทำตั้งสิบปี ยี่สิบปี ไม่ได้นะ ก็บอกว่า ผมทำตลอดเลย ผมไม่เคยหยุด ทำตั้งแต่ตื่นน่ะ ทำตั้งแต่ตื่นไม่มีเถลไถลเลยนะ ไม่ใช่ว่าห่างไกลครูบาอาจารย์แล้วไม่ภาวนา เวลา พอถึงเวลามาหาครูบาอาจารย์ มาปั่นการบ้านหน้าวัดแบบคนยุคนี้ ไม่มีหรอกนะ มาปั่นกันอยู่แถวนี้แหละ ผ่านโค้งดารามาแล้วมาปั่นกันใหญ่ บางคนมาลอกการบ้านเพื่อน มาฟังๆเขาว่าถามยังไงแล้วหลวงพ่อชม ก็ลอกแบบกัน หลวงพ่อไม่มี(ไม่เคยทำ)อย่างนั้นนะ

หลวงพ่อทำการบ้านจริงๆ ดูของเรา ดูทุกวัน ทุกวัน ทุกวันะ ไม่มีใครควบคุมหรอก ดูเอา จึงได้ผล เพราะฉะนั้นถึงรู้เลยว่าการภาวนาเนี่ยนะ ความฉลาดปราชญ์เปรื่อง ไบรต์ รู้ปริยัติเยอะ อะไรอย่างนี้ ช่วยอะไรไม่ได้ คิดมากช่วยอะไรไม่ได้ พวกนี้มีแต่ถ่วง เจริญสติให้มาก มีสติรู้กาย มีสติรู้ใจ ตั้งแต่ตื่นเลย ตั้งแต่ตื่นจนหลับไปเลย จนชำนิชำนาญนะ นอนหลับไปแล้วนี่ พลิกซ้ายพลิกขวา รู้ตัวทั้งคืนเลย รู้สึกหมดเลย จิตจะขยบเขยื้อน รู้หมดเลย ทั้งวันทั้งคืน ทั้งหลับทั้งตื่น ฝึกของเราไปเรื่อยๆ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันศุกร์ที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๖
Track: ๔
File: 510801.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๐ วินาทีที่ ๑๙ ถึง นาทีที่ ๒๒ วินาทีที่ ๔๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ต้องอดทนและช่างสังเกต

mp 3 (for download) : ต้องอดทนและช่างสังเกต

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : อดทนนะ อดทนแล้วก็ช่างสังเกต ให้สองตัว ช่างสังเกตไม่ได้แปลว่าฟุ้งซ่าน ไม่ใช่คิดเตลิดเปิดเปิง ช่างสังเกตหมายถึงลงมือภาวนาไปเนี่ยแล้วสังเกตจิตสังเกตใจของเราไปเรื่อย ใจเราไปติดไปล็อคอะไรอยู่ที่ไหน ถ้าภาวนาไปแล้วจิตเหมือนกันมาตั้งหลายวันแล้วเนี่ย ทำผิดแน่ๆเลย ต้องไปติดอยู่ที่ใดที่นึง ต้องช่างสังเกต

ถ้าภาวนาแล้ว แหม มันฟุ้งซ่านตลอดเวลาเลย ดูไปดูไปถ้าช่างสังเกตจะรู้ว่าใจไม่ชอบ ใจเราเองแหล่ะหงุดหงิดปฏิเสธมัน มันเลยยิ่งฟุ้งใหญ่ เนี่ยค่อยๆสังเกตไป ช่วงไหนราคะรุนแรงนะอีกช่วงถัดไปโทสะก็รุนแรง ไม่ต้องตกใจเป็นเรื่องปกติ ช่วงไหนสงบมาก อีกช่วงนึงฟุ้งรุนแรง ไม่ต้องตกใจเป็นเรื่องปกติ เนี่ยค่อยๆสังเกตของเราไป

แล้วดูไปเรื่อยๆจะพบแต่คำว่าธรรมดา ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฎขึ้นมานี่ธรรมดาทั้งสิ้นเลย มีเหตุมันถึงได้เกิดนะ ไม่มีเหตุมันไม่เกิดหรอก
ใจจะยอมรับความจริงในทุกสิ่งทุกอย่าง ใจเป็นกลางอดทนดูไปเรื่อย ด้วยสติปัญญา ช่างสังเกตอันไหนถูกอันไหนผิด อันไหนที่ขัดกับคำสอนของพระพุทธเจ้า ภาวนาแล้วมันเที่ยง ภาวนาแล้วมันเป็นสุขภาวน าแล้วมันรู้สึกบังคับได้ อันนั้นน่ะผิดแน่นอน ถ้าภาวนาแล้วเห็นไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตานะถึงจะถูก

เนี่ยช่างสังเกตนะแล้วก็อดทนนะ วันนี้ให้สองตัวนะอดทนไว้พากเพียรดูไปแล้วก็คอยสังเกตตัวเองไปเรื่อย แต่ไม่ใช่คิดฟุ้งซ่านตลอดนะ คิดฟุ้งซ่านใช้ไม่ได้เลย

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันศุกร์ที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๖
Track: ๔
File: 510801.mp3 (ประเทศไทย)
File: 510801.mp3 (สหรัฐอเมริกาและยุโรป)
ระหว่างนาทีที่ ๒๘ วินาทีที่ ๑๘ ถึง นาทีที่ ๒๙ วินาทีที่ ๔๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ให้เป็นกลางต่อความเจริญและเสื่อม

mp 3 (for download) : ให้เป็นกลางต่อความเจริญและเสื่อม

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ใหม่ๆก็ได้บ้างล้มเหลวบ้าง เจริญแล้วก็เสื่อมพอเสื่อมแล้วก็เสียใจ สปีดใหญ่พากเพียรใหญ่เพียรพยายามสุดฤทธิ์สุดเดชนะมันก็ไม่หายที่เสื่อม โอ้หมดแรงแล้วช่างมันเถอะ พอช่างมันเถอะมันเจริญอีกแล้ว เนี่ยอย่างนี้เจอหลายๆทีเข้านะในที่สุดจับเคล็ดลับมันได้ เวลามันเจริญอย่าหลงดีใจ เวลาเสื่อมไม่ต้องตกใจ เจริญก็รู้เสื่อมก็รู้นะ แล้วมันจะไม่เจริญไม่เสื่อมแล้ว มันจะคงที่อยู่อย่างนั้น เสถียร หมายถึงว่าสภาวะใดๆก็เสมอภาคกัน ใจเราจะไม่แกว่งขึ้นแกว่งลง ใจจะเป็นกลางกับทุกข์สภาวะนะ เนี่ยคอยดูกายคอยดูใจไปนะ ไม่ได้เหลือวิสัยหรอก

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันศุกร์ที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๖
Track: ๔
File: 510801.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๒ วินาทีที่ ๔๗ ถึง นาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๒๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จุดอ่อนของฆราวาส

mp 3 (for download) : จุดอ่อนของฆราวาส

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ฆราวาสเนี่ยมีจุดอ่อนที่ความต่อเนื่อง ไม่โง่นะ ฆราวาสไม่ได้โง่กว่าพระหรอก ภาวนานะจับหลักได้ ดีไม่ดีเร็วกว่าพระอีก ยกเว้นพระพวกนี้นะพวกนี้พระจีเนียส ฉลาดจนกระทั่งภาวนายาก คิดมาก

นี่โยมเรียนรู้เนี่ยโยมเรียนได้เร็ว แต่โยมไม่ต่อเนื่องหรอก โยมพร้อมจะทิ้งการปฏิบัตินะไปทำอย่างอื่นก่อนแล้วว่างๆจะมาทำใหม่ โยมเนี่ยไม่เข้าใจอย่างนึงนะ ถึงเข้าใจแต่ก็ทำเป็นไม่เข้าใจว่าจริงๆแล้วการปฏิบัติไม่เบียดบังเวลาทำมาหากินเลย ไม่เบียดบังเวลาที่จะดูแลครอบครัวของตัวเองเลย อย่างเลี้ยงลูกก็ภาวนาได้ใช่มั้ย คุยกับสามีก็ภาวนาได้มันพูดอะไรก็ขัดหูทุกคำนะ ถ้าคุยกับแฟนใช่มั้ยก็ภาวนาได้มันพูดอะไรก็ชื่นใจทุกคำ พอมันเปลี่ยนสถานะภาพนะมันพูดแล้วมันเปลี่ยนความรู้สึกไปอีกนะ แฟนกับภรรยาก็ให้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนกัน ถ้าแฟนตอนไปจีบเค้าใหม่ๆมันก็ตื่นเต้นใช่มั้ย จีบแล้วก็แหมหวานชื่นแต่งแล้วก็งั้นๆแหล่ะ อย่าไปบอกใครเค้านะ อันนี้เป็นความลับเฉพาะตัวพวกผู้ชายคุยกันนะผู้หญิงห้ามได้ยินนะนี่เค้าเรียกพูดแบบลิเกใครเคยดูลิเกบ้าง

ความรู้สึกเรานี่แหล่ะเปลี่ยน เพราะงั้นไม่ว่าเราจะทำอะไรนะเราดูได้ ยกเว้นเท่านั้น เวลาที่ทำงานที่ต้องใช้ความคิด อย่างบางคนจะเขียนซอฟท์แวร์ ขืนไปนั่งดูจิตสิเค้าก็ไล่ออกจากงาน มันเขียนไม่ได้ งั้นเวลาที่ทำงานที่ใช้ความคิดเท่านั้นแหล่ะที่ยกเว้น เวลาที่เหลือเนี่ยไม่เบียดบังเลย ไม่เบียดบังการปฏิบัติเลย ไปกินเลี้ยงกับเพื่อนก็ได้เ ห็นมันเฮๆฮาๆมันคุยกัน ใจเราขำขึ้นมารู้ว่าขำ คอยรู้ของเรา ทำได้ทั้งนั้นแหล่ะ จะขึ้นรถลงเรือจะทำอะไรนะทำได้ทั้งนั้นน่ะ มันไม่ได้เบียดบังเวลา

ไอ้ที่บอกว่าไม่มีเวลาปฏิบัติน่ะมีสองชอยส์เท่านั้น อันหนึ่งไม่รู้จักวิธีปฏิบัติไม่รู้จักการเจริญสติที่แท้จริงเลยคิดว่าไม่มีเวลาปฏิบัติ อีกอันนึงพวกขี้เกียจโดยสันดานหาข้ออ้างว่าไม่มีเวลา งั้นอย่าว่าไม่มีเวลามาพูดนะ หลวงพ่อเคยอ่านประวัติหลวงพ่อเกษม เขมโก มีคราวนึงในหลวงคุยกับท่านในหลวงเล่าบอกว่าผมงานเยอะ ในหลวงงานเยอะเราคงไม่เควชชั่นใช่มั้ย (ท่านบอก) ผมงานเยอะนะ แต่ผมแบ่งซอยชีวิตของตัวเองเป็นช่วงเล็กๆ งั้นท่านมีเวลาเหลือสองนาทีสามนาทีท่านดู ของเราถ้ามีเวลาเหลือซักสิบนาทีเราจะโยนทิ้ง เราจะเถลไถลเตลิดเปิดเปิงไป สะสมกิเลสไปสิบนาที มีเวลาห้านาทีเราก็เอาเวลาห้านาทีไปสะสมกิเลสห้านาที พระเจ้าอยู่หัวไม่ได้ทำงั้น ท่านบอกท่านมีเวลาสองสามนาทีท่านก็ดูเอา อย่างท่านนั่งรถไปท่านจะต้องไปกล่าวสปีชอะไรเนี้ย ท่านก็นั่งดูๆไปดูที่เค้าร่างมาให้ท่านไม่ร่างเองหรอกดูเค้าร่างมา ดูพอเข้าใจประเด็นเข้าใจพอยท์แล้ว เวลาที่เหลือสองสามนาทีอะไรงี้ท่านดูของท่าน ท่านว่างี้

นี่ท่านภาวนาของท่านอย่างนี้ ท่านภาวนาเก่งนะ ท่านภาวนาเก่ง งานท่านก็เยอะท่านทำได้ เราก็ต้องเอาอย่างท่านบ้างนะ อย่ามาอ้างเลยว่างานเยอะ หลวงพ่อเมื่อก่อนอยู่สภาความมั่นคงงานเยอะนะ แต่ทำไมภาวนาได้ เพราะเราดูของเราตั้งแต่ตื่นตอนตื่นยังไม่มีใครใช้งานเรานี่ ตอนอาบน้ำตอนกินข้าวตอนนั่งอึนั่งฉี่ทำไมทำไม่ได้เหรอ เอาเวลาไปทำอะไรเอาเวลาไปใจลอยน่ะสิใช่มั้ย จนกระทั่งภาวนาชำนิชำนาญแล้วนะถึงเข้าห้องน้ำถึงเอาการ์ตูนไปนั่งอ่าน สมัยพากเพียรทำความเพียรไม่มีหรอกมีแต่ดูเอาดูเอาตลอดเลย


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันศุกร์ที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๖
Track: ๔
File: 510801.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๔ วินาทีที่ ๑๒ ถึง นาทีที่ ๒๘ วินาทีที่ ๑๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ถ้าดูจิตไม่เห็นดูกายไปก่อน

mp3 for download: 520704B_seebodyseemind

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ถ้าดูจิตไม่เห็นดูกายไปก่อน

ถ้าดูจิตไม่เห็นดูกายไปก่อน

โยม : เมื่อก่อนตอนที่มาครั้งแรกค่ะหลวงพ่อบอกให้หนูดูกายใช่มั้ยคะ ก็รู้สึกว่าตัวเองนี้เราขนาดทำงานอยู่แต่ว่าใจชอบจะไหลไปคิด

หลวงพ่อปราโมทย์ : อ้อ นั่นแหล่ะ รู้กายไปนะแล้วมันจะเห็นจิต ดูกายเนี่ยกายมันเป็นบ้านของจิต อยู่ๆเราไปดูจิตตรงๆบางคนดูไม่เห็น ถ้าดูจิตไม่เห็นดูกายไปก่อน เหมือนเราอยากหาเจ้าของบ้าน ยังไม่เจอเจ้าของบ้าน เราไปเฝ้าหน้าบ้านไว้เห็นร่างกายมันทำงานไป     

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ
วันเสาร์ ที่ ๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๒ หลังฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๑
File: 520704B
ระหว่างนาทีที่  ๔๗ วินาทีที่ ๓๑ ถึง นาทีที่ ๔๗วินาทีที่ ๕๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สติปัฏฐานมีทั้งสมถะและวิปัสสนา

mp 3 (for download) : สติปัฏฐานมีทั้งสมถะและวิปัสสนา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

สติปัฏฐานมีทั้งสมถะและวิปัสสนา

สติปัฏฐานมีทั้งสมถะและวิปัสสนา

หลวงพ่อปราโมทย์ : ต้องภาวนาเอานะ มันไม่มีทางที่สองที่ใครคนหนึ่งจะบรรลุมรรคผลนิพพานได้ ทางมันมีทางเดียวคือการเจริญสติปัฏฐานมีสติรู้กายรู้ใจไป

แต่เวลาที่ไม่มีกำลังจะรู้กายรู้ใจก็ทำความสงบเข้ามา พอจิตใจสงบจิตใจตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูแล้วก็คอยดูกายคอยดูใจบ่อยๆ งานที่เราทำมีสองอันสมถะกับวิปัสสนา สมถะทำไปเพื่อให้ใจมีความสุขความสงบมีใจตั้งมั่น ใจมีเรี่ยวมีแรงตั้งมั่นออกมาเป็นคนดูไม่ใช่เป็นคนทำ ใจของเรามันเป็นแค่คนทำมันไม่ใช่คนดู ทำโน้นทำนี้ทั้งวันแหล่ะเรียกทำกรรม ในจิตเราทำกรรมตลอดเวลารู้สึกมั้ย เดี๋ยวก็ทำกรรมดีเดี๋ยวก็ทำกรรมชั่ว จงใจขึ้นเมื่อไหร่มีเจตนาเมื่อไหร่ก็ทำกรรมเมื่อนั้นน่ะ จงใจทำชั่วก็เกิดการทำชั่วกรรมชั่ว จงใจจะปฏิบัติก็เกิดการทำกรรมดีมีการทำกรรมขึ้นมา

ทำไงใจเราจะกลายเป็นผู้รู้ผู้ดู ถ้าใจเราไม่สามารถเป็นผู้รู้ผู้ดูสภาวะได้นะก็บรรลุมรรคผลไม่ได้ เพราะการที่มีใจตั้งมั่นเห็นกายตามความเป็นจริงเห็นจิตใจตามความเป็นจริงนี่เรียกทำสติปัฏฐานทำวิปัสสนา เป็นทางเดียว แต่ถ้าให้ตรงศัพท์จริงๆต้องใช้คำว่าทำวิปัสสนา ในสติปัฏฐานเนี่ยมีสมถะเจือปนอยู่ กรรมฐานบางอย่างในสติปัฏฐานนั้นเป็นสมถะ อย่างการพิจารณาร่างกายเป็นศพการพิจารณาอาหารเป็นปฏิกูล ส่วนนี้เป็นสมถะ การรู้ลมหายใจเป็นสมถะก็ได้เป็นวิปัสสนาก็ได้ การดูจิตมีจิตอยู่ ๒ ดวง จิตที่ไปรู้ความว่างกับจิตที่ไปรู้ความไม่มีอะไร ๒ ดวงนี้ใช้ทำสมถะได้ ส่วนใหญ่พอมาเจอคู่นี้แล้วก็จะไปติดสมถะแล้ว

งั้นสติปัฏฐานก็มีทั้งสมถะทั้งวิปัสสนาปนๆกัน อารมณ์บางอย่างในสติปัฏฐานใช้ทำสมถะอย่างเดียว อารมณ์บางอย่างในสติปัฏฐานนะใช้ทำสมถะด้วยทำวิปัสสนาด้วย แต่ในความเป็นจริงนะไม่ว่าอารมณ์ใดๆถ้าจับหลักให้แม่นรู้กระบวนการทำงานของจิตให้แม่น เราจะพบว่าอารมณ์ทุกชนิดเอามาทำสมถะได้หมดแหล่ะ อย่างเราเห็นท้องพองยุบนะดูไม่เป็นน่ะกลายเป็นเพ่ง เห็นรูปไหวเห็นรูปหยุดนิ่งดูไม่เป็นนะจิตใจไม่ตั้งมั่นพอจะกลายเป็นการเพ่งมือเดินจงกลมไปเพ่งเท้า เนี่ยถึงรู้กายถึงรู้ใจนะก็ไม่จำเป็นต้องเป็นวิปัสสนาเสมอไป ยากมากนะกว่าคนๆนึงจะขึ้นวิปัสสนาได้

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันศุกร์ที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๖
Track: ๔
File: 510801.mp3
ระหว่างวินาทีที่ ๒๙ ถึง นาทีที่ ๓ วินาทีที่ ๓๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

V-Clip : วิปัสสนาคือให้รู้ มิใช่ให้กำหนด

วิปัสสนาคือให้รู้ มิใช่ให้กำหนด

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางวิปัสสนา (๓) ปัญญาเป็นเครื่องทำลายความโง่ (อวิชชา)

mp3 for download : ทางวิปัสสนา (๓) ปัญญาเป็นเครื่องทำลายความโง่ (อวิชชา)

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทางวิปัสสนา

ทางวิปัสสนา

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าเราอยากพ้นทุกข์จริงๆนะ เราต้องมาเรียน ถึงสิ่งที่เรียกว่า “ตัวเรา” “ตัวเรา”

ทำไมต้องมาเรียนตรงนี้ ถ้าเราไม่เรียนในสิ่งที่เรียกว่า “ตัวเรา” เนี่ย ความทุกข์อยู่ที่ไหนล่ะ ความทุกข์อยู่ที่กายใช่มั้ย ความทุกข์ที่ใจของเรา กายกับใจก็คือ รูปธรรม นามธรรม ที่ประกอบกันเป็นตัวเรานั่นเอง ความทุกข์มันตั้งอยู่ในร่างกาย ความทุกข์มันตั้งอยู่ในจิตใจนี้เอง

ถ้าสติปัญญาเราไม่พอ เวลาร่างกายไม่สบาย ร่างกายมีความทุกข์เกิดขึ้น เราก็จะรู้สึกว่าเราทุกข์ ไม่ใช่ร่างกายทุกข์นะ เป็นเราทุกข์ เวลาจิตใจมีความรู้สึกนึกคิด มีความปรุงไม่ดี มีความรู้สึกที่ไม่ดีเกิดขึ้นน่ะ ก็คิดว่าจิตใจของเราทุกข์ จิตใจเราไม่ดี กลายเป็นตัวเราไปหมด ทั้งๆที่จริงๆมันไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นแค่สภาวธรรมอย่างหนึ่ง

การที่เรามาปฏิบัติจนกระทั่งล้างความเห็นผิดว่ามีตัวเราได้เนี่ย เป็นเรื่องใหญ่นะ ไม่มีในคำสอนของคนอื่น ยกเว้นแต่ในคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย มีคำว่าทั้งหลายด้วย พระพุทธเจ้าไม่ได้มีองค์เดียว แต่ในยุคหนึ่งๆนะมีทีละองค์ พระพุทธเจ้ามีนับจำนวนไม่ถ้วน แต่ในยุคของเรา พระพุทธเจ้าชื่อ พระโคตมะ พระโคตมพุทธะ ลูกพระเจ้าสุทโธธนะ ชื่อเดิมท่านชื่อสิทธัตถะ มีองค์เดียว

คำสอนของพระพุทธเจ้าเนี่ย ถึงขั้นการเจริญปัญญา ในขณะที่คำสอนของคนอื่นนะ มันไปหยุดอยู่แค่การทำทาน การรักษาศีล การทำสมาธิ การทำทานก็ไม่ใช่เรื่องเลว เป็นการเสียสละความเห็นแก่ตัว สละความเห็นแก่ตัวออกไป ลดความเห็นแก่ตัวลงไป การรักษาศีลก็เป็นเรื่องดี เป็นเครื่องกดข่ม ข่มใจของเราเอง ไม่ให้ทำชั่วตามกิเลส การทำสมาธิก็เป็นเรื่องดี เป็นการข่มกิเลสไม่ให้ครอบงำจิตใจ กลับข้างกันนะ

ศีลเนี่ย เราข่มใจไม่ให้ทำตามกิเลส อยากฆ่าเขา-ไม่ฆ่า อยากตี-ไม่ตี อยากขโมย-ไม่ขโมย อยากโกหก-ไม่โกหก เป็นศีล ข่มใจของตัวเอง

สมาธิน่ะ ข่มกิเลส จิตจะฟุ้งซ่าน จิตจะมีกิเลส ทำสมาธิ กิเลสก็สงบ ความฟุ้งซ่านก็สงบ ดับลงไป จิตก็สงบขึ้นมา มีราคะขึ้นมา มีความใคร่ขึ้นมา เจริญอสุภกรรมฐานอะไรอย่างนี้ จิตก็สงบเข้ามา ข่มกิเลส ข่มราคะได้ ข่มโทสะ มีโทสะขึ้นมาก็เจริญเมตตา เจริญเมตตามากๆนะโทสะก็ถูกข่ม สมาธินี้นะเป็นตัวข่มกิเลส ศีลเป็นตัวข่มใจของตัวเองไม่ให้ทำตามกิเลส

ส่วนปัญญานั้นเป็นการเรียนรู้ความจริงของสิ่งที่เรียกว่าตัวเรา จะทำลายความโง่ ใช้คำว่า “ทำลาย” แล้วนะ ศีล-สมาธิ เป็นเรื่องข่มๆเอาเท่านั้นเอง ข่มจิตบ้าง ข่มกิเลสบ้าง แต่ปัญญาเนี่ย ถึงขั้นทำลายความโง่เขลา เท่านั้นเอง

550409.7m15-10m28

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ ห้องสุวรรณภูมิบอลรูม ชั้น ๒ อาคารบี
บจก. เตียวฮงสีลม บางพลี
วันจันทร์ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕
ระหว่างเวลา ๑๓:๐๐ – ๑๕:๐๐ น.

File: 550409.mp3 (ไทย)
File: 550409.mp3 (สหรัฐอเมริกาและยุโรป)
เสียงพระธรรมเทศนา ระหว่างนาที่ ๗ วินาทีที่ ๑๕ ถึง นาทีที่ ๑๐ วินาทีที่ ๒๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : ข้อระวังจากจิตที่เบิกบาน

ข้อระวังจากจิตที่เบิกบาน

จิตที่เบิกบานก็แค่อาการปรากฏอย่างหนึ่งครับ จะจัดเป็นความสุขก็ได้ ตรงนี้ต้องดูดีๆ นะครับ ที่ผมบอกว่าจัดเป็นความสุขนั้น ก็เพราะในแวบหนึ่งที่เราเห็นความเบิกบาน เราเสียความเป็นกลางไปแล้ว จึงได้ให้ค่าออกมาเป็นความสุข แต่ถ้ายังเป็นกลางจริงๆ ก็จะไม่มีการให้ค่า ความเบิกบานนั้นก็แค่ถูกรู้อย่างปราศจากการให้ค่าว่าสุขหรือไม่สุข หรือจะใช้คำว่า เหนือสุข เหนือทุกข์ก็ได้ สรรพสิ่งก็เช่นเดียวกัน จะเป็นสิ่งที่คนทั่วไปให้ค่าว่าสุขหรือทุกข์ ถ้าเรารู้สิ่งนั้นด้วยจิตที่เป็นกลาง เราก็จะไม่สนใจค่าที่เป็นสุขหรือทุกข์ของมัน มีเพียงรู้อยู่เท่านั้น ครูบาอาจารย์จึงได้บอกว่า มีเพียงรู้อยู่ ว่างอยู่ เท่านั้น

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางวิปัสสนา (๒) การรักษาศีลการทำสมาธิเป็นแค่ต้นทางของการปฏิบัติ

mp3 for download : ทางวิปัสสนา (๒) การรักษาศีลการทำสมาธิเป็นแค่ต้นทางของการปฏิบัติ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทางวิปัสสนา

ทางวิปัสสนา



หลวงพ่อปราโมทย์ :
เพราะตัวเรานี้เป็นสิ่งที่รักที่หวงแหนที่สุด แล้วพบว่า มันไม่มีจริง

มันมี เมื่อมันมีเหตุ เหตุที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นตัวเราก็คือขันธ์ ๕ นั้นเอง มันมารวมตัวกันเข้า สิ่งที่เรียกว่าตัวเรา ก็ประกอบด้วยอะไร ก็มีร่างกายใช่มั้ย ตัวนี้เป็นตัวรูปขันธ๋์ เรียกว่ารูป แล้วก็มีส่วนที่เป็นนามธรรม นามธรรมที่มาประกอบกันเป็นตัวเรา ก็คือ ความรู้สึกนึกคิด ความรับรู้ ความรู้สึกสุขความรู้สึกทุกข์ ความรู้สึกเฉยๆ การนึกก็คือ จำได้หมายรู้ การคิดนะก็คือการปรุงแต่งปรุงดีปรุงชั่ว ปรุงโลภปรุงโกรธปรุงหลง แล้วก็ความรับรู้ ตัวนี้ล่ะตัวที่เรียกว่าจิตหรือวิญญาณ

สิ่งที่มาประกอบเป็นตัวเราก็คือขันธ์ ๕ นั้นเองนะ ประกอบด้วยร่างกาย ประกอบด้วยความรู้สึกสุขทุกข์ ประกอบด้วยความจำ ประกอบด้วยความคิดปรุงแต่ง ประกอบด้วยความรับรู้ นี่ล่ะองค์ประกอบของชีวิตเราคือสิ่งเหล่านี้ ถ้าเราเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าสิ่งเหล่านี้นะ เป็นสิ่งที่มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ บังคับไม่ได้ ถ้าเราเข้าใจได้แจ่มแจ้งอย่างนี้ ขันธ์ ๕ แต่ละขันธ์ แตละองค์ประกอบของชีวิตแต่ละอย่างๆนั้น ล้วนแต่เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เป็นแค่สภาวธรรมอย่างหนึ่ง

อย่างร่างกายเราก็เป็นแค่สภาวธรรมอย่างหนึ่ง เป็นรูปธรรม ความรู้สึกสุขทุกข์ก็เป็นนามธรรมแบบหนึ่ง ความจำก็เป็นนามธรรมแบบหนึ่ง ความคิดก็เป็นนามธรรมแบบหนึ่ง ความรู้สึกความรับรู้ต่างๆก็เป็นนามธรรมแบบหนึ่ง ทั้งรูปธรรมทั้งนามธรรมทั้งหลายเนี่ย ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา แต่ว่า ถ้าพอมันมารวมตัวกัน รูปธรรมนามธรรมทั้งหลายมารวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน เราก็รู้สึกว่านี่คือตัวเรา ถ้าเราแยกสิ่งที่เรียกว่าตัวเราออกเป็นส่วนๆ เราก็แยกได้ ๕ ส่วน และแต่ละส่วนนั้นไม่ใช่ตัวเรา

นี่เป็นวิธีการของพระพุทธเจ้านะ ที่จะช่วยเราให้เข้าถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้นได้ การที่จะเข้าถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้นได้นั้นต้องเข้าด้วยปัญญา พระพุทธเจ้าสอนไว้ชัดเจน บอกว่า บุคคลเข้าถึงความบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา ไม่ใช่ด้วยสมาธินะ ไม่ใช่ด้วยสมาธิไม่ใช่ด้วยการรักษาศีลเท่านั้น การรักษาศีลการทำสมาธิเป็นแค่ต้นทางของการปฏิบัติ งานจริงๆ งานหลักจริงๆของการปฏิบัติ คือการเรียนรู้ความจริง ของสิ่งที่เรียกว่า “ตัวเรา” เพราะฉะนั้นเรา หน้าที่ของเราจริงๆ ถ้าเราอยากพ้นทุกข์จริงๆนะ เราต้องมาเรียน ถึงสิ่งที่เรียกว่า “ตัวเรา” “ตัวเรา”

550409.04m41-7m22

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ ห้องสุวรรณภูมิบอลรูม ชั้น ๒ อาคารบี
บจก. เตียวฮงสีลม บางพลี
วันจันทร์ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕
ระหว่างเวลา ๑๓:๐๐ – ๑๕:๐๐ น.

File: 550409.mp3 (ไทย)
File: 550409.mp3 (สหรัฐอเมริกาและยุโรป)
เสียงพระธรรมเทศนา ระหว่างนาที่ ๔ วินาทีที่ ๔๑ ถึง นาทีที่ ๗ วินาทีที่ ๒๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

รู้สึกตัวเพื่อตัดชีวิตให้ขาดเป็นท่อนๆ

mp 3 (for download) : รู้สึกตัวเพื่อตัดชีวิตให้ขาดเป็นท่อนๆ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

รู้สึกตัวเพื่อตัดชีวิตให้ขาดเป็นท่อนๆ

รู้สึกตัวเพื่อตัดชีวิตให้ขาดเป็นท่อนๆ

หลวงพ่อปราโมทย์ : คอยรู้ไปเรื่อยนะ มีสติรู้สึกขึ้นมา สะสมไปทีละเล็กทีละน้อยอย่างนี้ ไม่รีบร้อน ไม่ต้องไปพยายามทำสติให้เกิดตลอดเวลา เราไม่ต้องการสติตลอดเวลา เราต้องการสติทีละแว้บเดียว

เพราะงั้นเรารู้สึกตัวขึ้นแว้บแล้วหลงไปอีก เราก็รู้สึกอีกแว้บนึงแล้วค่อยหลงไปอีก แล้วฝึกอย่างนี้นะ ไม่ใช่รู้สึกๆๆไม่มีหลงเลย ถ้ารู้สึกๆๆไม่มีหลงเลยน่ะคือการทำฌาน เพราะจิตที่จะเกิดซ้ำซากมีสติซ้ำซากอยู่ได้อย่างเดียวตลอดนานๆเนี่ยคือฌานจิตเท่านั้น จิตธรรมดาๆไม่เป็นอย่างนั้นหรอก ให้รู้ขึ้นแว้บนึงแล้วหลง รู้แว้บนึงแล้วก็หลง ตรงนี้สำคัญ

ไม่ต้องฝึกให้รู้สึกตัวตลอดเวลา แต่ฝึกให้รู้สึกบ่อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ฝึกบ่อยๆไม่ใช่ให้ต่อเนื่องยาวนาน ทีละแว้บนี่แหล่ะ มันจำเป็นยังไง คนในโลกนี้นะไม่เคยมีสติ ไม่เคยรู้สึกตัว คนในโลกอยู่ในความฝันตลอดเวลา ฝันทั้งวันทั้งคืนทั้งตื่นทั้งหลับ แล้วมันจะเกิดความสำคัญผิดขึ้นมา ว่ามันมีตัวเราจริงๆ

พวกเรารู้สึกมั้ยในนี้มีเราอยู่คนนึง เราคนนี้นะกับเราตอนเด็กๆก็ยังเป็นเราคนเดิม รู้สึกมั้ยมันมีเราอยู่คนหนึ่ง เรามาตั้งแต่เด็กนะจนวันนี้ยังเป็นคนเก่าอยู่ เราคนเดิมหรอกหน้าตาต่างหากที่เปลี่ยนไปแต่ข้างในนี้มีเราที่คงเดิมอยู่คนหนึ่ง เนี่ยเพราะอะไร เพราะเราไม่เคยเห็นมันเกิดดับ เราไม่เคยเห็นจิตเกิดดับ ถ้าเราเห็นจิตเกิดดับเราจะรู้ว่าไม่มีเราหรอก ข้างในนี้

งั้นที่เราหัดรู้สึกตัวขึ้นมานะเพื่อตัดชีวิตให้ขาดเป็นท่่อนๆ ถ้าชีวิตเรายาวอย่างนี้อันเดียวเนี่ย หลง หลงตั้งแต่เกิดจนตาย ตั้งแต่นี้หลงมาเรื่ิอยๆๆจนหมดเวลาตาย เราจะรู้สึกมีเราคงที่อยู่ เหมือนเราดูการ์ตูนนะ มีโดเรมอนใช่มั้ยมีอิคคิวซัง หลวงพ่อรู้จักแค่รุ่นเนี่ยหลังจากนั้นไม่รู้จักแล้ว โดเรมอนมันเดินไปเดินมาได้ นี่เป็นภาพลวงตาจริงๆมันเป็นรูปแต่ละช็อตแต่ละช็อต รูปแต่ละรูปแต่ละรูป แล้วมันเกิดดับต่อเนื่องกันอย่างรวดเร็ว เราเลยรู้สึกมีเรา ถ้าเราเห็นรูปแต่ละรูปเกิดแล้วหายไปๆ เราจะไม่รู้สึกว่ามีโดเรมอนตัวจริงขึ้นมา โดเรมอนไม่มีจริง

การที่เราฝึกให้มีสติขึ้นมานี่ก็เหมือนกัน เราจะเห็นเลยเดี๋ยวจิตก็หลงไปเดี๋ยวจิตก็รู้สึก เดี๋ยวจิตก็หลงไปเดี๋ยวจิตก็รู้สึก พอจิตมันหลงไปคิดไปนึกไปปรุงไปแต่งนะ หลงไปทางทวารทั้งหก หลงไปทางตาหูจมูกลิ้นกาย หลงไปทางใจคือหลงไปคิด หรือบางทีก็หลงไปเพ่ง นี่หลงทางใจ แล้วตามมามีสติมันจะรู้ว่าเมื่อกี๊นี้หลงแต่จิตที่หลงนั้นดับไปแล้ว จะเห็นเลยจิตที่รู้กับจิตที่หลงเนี่ยเป็นคนละดวงกัน

การที่เราเห็นจิตที่รู้กับจิตที่หลงเป็นคนละอันกันเนี่ย เรียกว่าสันตติคือความสืบเนื่องเนี่ยขาดลงแล้ว การภาวนาจนสันตติขาดเนี่ยนะ คือการทำวิปัสสนาที่แท้จริงแล้ว งั้นเราจะเห็นจิตเนี่ยเกิดแล้วก็ดับนะ เช่นจิตที่หลงไปพอเรารู้สึกตัวเราจะเห็นเลยจิตที่หลงดับไปแล้วเกิดจิตที่รู้สึก แล้วจิตที่รู้สึกอยู่ได้แว้บเดียวก็หลงใหม่ เห็นมั้ย แล้วก็รู้สึกขึ้นมาอีกครั้งนึง คราวนี้รู้สองทีเลย รู้ว่าจิตที่รู้สึกตัวอันแรกนั้นดับไปแล้วเกิดจิตที่หลง จิตที่หลงก็ดับไปแล้วอีก เกิดมีจิตรู้สึกตัวอันใหม่

เนี่ยฝึกดูไปเรื่อยนะจะเห็นนะมีแต่เกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ ขาดเป็นช่วงๆ หรือถ้าสติระลึกรู้กายนะจะเห็นเลยร่างกายที่หายใจออกร่างกายที่หายใจเข้า ร่างกายที่ยืนเดินนั่งนอน ร่างกายที่คู้ที่เหยียดเนี่ย เกิดดับตลอดเวลา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ กรกฎาคมพ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๖
Track: ๑
File: 510717.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๖ วินาทีที่ ๓๖ ถึง นาทีที่ ๒๐ วินาทีที่ ๒๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จ้องจิตเอาไว้ จิตจะนิ่ง

mp 3 (for download) : จ้องจิตเอาไว้ จิตจะนิ่ง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

จ้องจิตเอาไว้ จิตจะนิ่ง

จ้องจิตเอาไว้ จิตจะนิ่ง

หลวงพ่อปราโมทย์ : อย่าไปดักดู ถ้าไปดักดูไปรอดูจะกลายเป็นการเพ่งจ้อง เพ่งจ้องใช้ไม่ได้หรอก

อย่างบางคนอยากดูจิตใช่มั้ยไปจ้องไว้เลย ไหน จิตมันจะขยับยังไง จ้องๆไม่เห็นมันจะขยับเลย ความจริงขยับเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขยับตรงไหน ขยับจากตรงนี้นะพุ่งลงไปจ้องอยู่ที่นี่ พุ่งออกไปเกาะเรียบร้อยแล้ว จิตส่งออกนอกเรียบร้อยแล้ว แต่อย่างนี้หลวงปู่เทศก์เรียกว่าจิตส่งใน หลวงปู่ดูลย์ท่านเรียกเหมาออกนอกหมดเลย ออกนอกจากรู้ก็เรียกว่าออกนอกทั้งนั้นน่ะ

แต่จิตตั้งมั่นอยู่กับรู้เนี่ยไม่ใช่แปลว่าไม่รู้อะไร ก็รู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฎ รู้ทั้งรูปธรรมรู้ทั้งนามธรรมที่กำลังปรากฎแต่จิตตั้งมั่นอยู่ต่างหาก จิตตั้งมั่นอยู่ต่างหาก ไม่ถลำลงไปรู้ นี่ถลำลงไปรู้เนี่ยเป็นกันเยอะ เวลาอยากรู้ให้ชัดก็ถลำไปรู้นะ อยากรู้ให้ไวๆก็ถลำไปรู้ กลัวว่าจะไม่รู้ก็ถลำไปรู้อีก ถลำลงไปจ้องไว้ก่อน ถ้าถลำลงไปรู้ใช้ไม่ได้นะ ต้องสักว่ารู้สักว่าเห็น รู้อยู่ห่างๆ ดูอย่างสบายๆ

เนี่ยของคุณที่นั่งข้างเสานั้นน่ะอย่างนั้นน่ะมันถลำไปรู้ ถลำลงไป ถลำลงไปรู้มันกลายเป็นการเพ่งจ้อง ทำไมต้องถลำลงไป เพราะมีโลภะนำหน้า อยากดี อยากรู้อยากเห็น อยากเป็นอยากได้ มันก็เลยถลำลงไปดู เสร็จแล้วอะไรจะเกิดขึ้น ก็นิ่งๆสิ ไปจ้องเอาไว้มันก็นิ่ง จิตนี้มันก็เหนียมเป็นนะ เราไปจ้องมันนะมันไม่กล้ากระดุกกระดิกนะมันก็เหนียมๆ มันก็อยู่นิ่งๆอยู่อย่างงั้นแหล่ะ

งั้นเราอย่าไปจ้องไว้นะ ให้ความรู้สึกเกิดขึ้นก่อนแล้วก็ค่อยรู้เอา รู้บ้างเผลอบ้างไม่เป็นไร ไม่ต้องรู้ตลอดเวลา รู้ตลอดเวลาไม่ได้ไม่ใช่ภูมิของเรา ภูมิของเราต้องรู้บ้างเผลอบ้าง เราไม่ใช่พระอรหันต์นี่ พระอรหันต์นะท่านรู้อยู่เรื่อยๆ เพราะอะไร เพราะท่านไม่ได้จงใจจะรู้ด้วยนะ มันรู้อัตโนมัติ รู้เอง นี่พวกเราไม่ใช่พระอรหันต์เราจะมารู้อยู่ตลอดไม่ได้หรอก เราก็ต้องรู้บ้างเผลอบ้าง ถึงอยากรู้ตลอดนะมันก็จะหลงเลย เช่นหลงไปเพ่งไปจ้อง

งั้นเราคอยดูใจของเรา ใจเราไหลไปเราก็คอยรู้ ไหลแล้วก็รู้ ไหลแล้วก็รู้นะ ไหลไปดู ไหลไปฟัง ไหลไปคิด ไหลไปจ้อง ไหลไปเพ่ง ใจมันไหลไปทั้งนั้นน่ะ เราก็คอยรู้ทันเอา เราจะเห็นว่าจิตมันไหลไปได้เอง จิตนี้มันไม่เที่ยงนะ มันเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เดี๋ยววิ่งไปดู เดี๋ยววิ่งไปฟัง เดี๋ยววิ่งไปคิด แล้วมันก็บังคับไม่ได้ สั่งมันไม่ได้

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันศุกร์ที่ ๑๘ กรกฎาคมพ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๖
Track: ๒
File: 510718A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๒ วินาทีที่ ๒๗ ถึง นาทีที่ ๑๕ วินาทีที่ ๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

รู้สภาวะแล้วให้รู้ทันความไม่เป็นกลางต่อสภาวะนั้น

mp 3 (for download) : รู้สภาวะแล้วให้รู้ทันความไม่เป็นกลางต่อสภาวะนั้น

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

รู้สภาวะแล้วให้รู้ทันความไม่เป็นกลางต่อสภาวะนั้น

รู้สภาวะแล้วให้รู้ทันความไม่เป็นกลางต่อสภาวะนั้น



หลวงพ่อปราโมทย์ :
ให้เรารู้สึกกายรู้สึกใจเรื่อยๆ เมื่อเรารู้สึกนะ ต่อไป พอเห็นสภาวธรรมเกิดขึ้นนะ ทีแรกเราก็เริ่มรู้ตัวสภาวะแล้ว ถัดจากนั้น พอสติปัญญาของเราเชียวชาญขึ้น เราเริ่มเห็นสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามา เวลาที่จิตไปรู้สภาวะ เนี่ยบางทีจิตไม่เป็นกลาง แต่จิตแอบยินดียินร้ายต่อสภาวะนะ เนี่ยเราเริ่มพัฒนาการรู้ของเราให้ปราณีตขึ้นไปอีกละ เรารู้(อย่าง)ไม่เป็นกลาง รู้(โดย)ไม่เป็นกลางนะ ใช้ไม่ได้ อริยมรรคจะไม่เกิด

เพราะฉะนั้น ยกตัวอย่าง สมมุติว่า เราขับรถอยู่ มีคนปาดหน้า พอเราโกรธ เรามีสติรู้ว่าโกรธ ถัดจากนั้นเนี่ย ขาดสติอีกละ เราเกิดความโกรธตัวที่สอง ไปเกลียดความโกรธตัวแรก เมื่อไหร่มันจะดับ เมื่อไหร่มันจะหาย หรือเวลาเรามีความทุกข์เกิดขึ้น แทนที่เราจะรู้สภาวะว่า ร่างกายนี้เป็นทุกข์ หรือจิตใจเป็นทุกข์ เราไปเกลียดความทุกข์นั้นเข้า ความยินร้ายเกิดขึ้น

เพราะฉะนั้นถ้าหาก เรารู้สภาวะแล้วนะ (แล้ว)ความยินดียินร้ายเกิดขึ้น ให้มีสติรู้ทันลงไปอีกชั้นหนึ่ง ถ้ารู้ไม่ทันใช้ไม่ได้จริงหรอก ถูกกิเลสครอบงำได้อีกรอบหนึ่ง มันจะซ้อนๆ กิเลสซ้อนๆเข้าไปเรื่อย ทีนี้ถ้าเรารู้ทันนะ อย่างเห็นความโกรธเกิดขึ้น พอเรารู้ปั๊บ รู้อย่างเป็นกลางจริงๆ มันจะดับทันที

บางคนบอกว่าเห็นความโกรธแล้วทำไมมันไม่ดับ ที่มันไม่ดับเพราะจิตเป็นอกุศล จิตในขณะนั้นกำลังเกลียดความโกรธนั้นอยู่ ไม่เห็น เนี่ย กิเลสซ้อนกิเลส สติไม่เกิด

แล้วเราคอยรู้ทันนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอารมณ์แล้วนะ ก็รู้ทัน อะไรเกิดขึ้นเราก็รู้ทัน ในกายในใจ รู้ทันอารมณ์นั้น แล้วถ้าหากจิตเกิดปฏิกริยาเป็นความยินดียินร้ายขึ้นมา ให้เรารู้ทันจิตลงไปอีกชั้นหนึ่งนะ

แต่อย่างจงใจนะ ฟังหลวงพ่อพูด ฟังเล่นๆนะ ฟังเล่นๆนำร่องให้จิตมันรู้เท่านั้นแหละ ต่อไปเวลาเราไปรู้ไปเห็นสภาวะแล้ว พอความยินดียินร้ายเกิดนะ สติจะระลึกเองนะ สติระลึกเองนะ ไม่ต้องจงใจทำ บางคนจงใจนะ สมมุติมองหน้าคุณอำพล มองปั๊บ ยินดีหรือยินร้าย(วะ) เอ๊ะ!เฉยๆ เอ้ามองคุณมาลีบ้าง สวยกว่าคุณอำพล นะ มอง ฮึ ยินดีหรือยินร้าย(วะ) ดู ก็เฉยๆ เนี่ย..แกล้งมอง

เพราะฉะนั้นไม่ต้องแกล้งนะ หลวงพ่อพูดนำร่อง ให้รู้ว่าต่อไปเราต้องรู้ทัน ความยินดียินร้าย เห็นหน้าตาคุณอำพลนะ หน้าตาน่ายืมเงินหุ่นอาเสี่ย นะ เห็นในใจมีโลภะ เอ๊ะ!แต่แกคงไม่ให้หรอก ใจมีโทสะ เนี่ย พลิกอย่างนี้ก็รู้ทันนะ พอเห็นกิเลสของตัวเอง เดี๋ยวก็มีราคะ เดี๋ยวโทสะ โมโหตัวเอง ตอนนี้ชักไม่เห็นแล้ว โมโหตัวเองนี่ชักไม่เห็นแล้ว เริ่มมีปฏิฆะแล้ว เริ่มมี โทมนัส อภิฌา-ยินดี โทมนัส-ยินร้าย มีความยินร้ายเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นให้เรารู้ทันนะ ความยินดียินร้ายใดๆเกิดขึ้นให้รู้ทัน เนี่ยฝึกอยู่อย่างนี้นะ ถึงจุดหนึ่งอริยมรรคจะเกิดขึ้น


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ กรกฎาคมพ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๖
Track: ๑
File: 510717.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๒ วินาทีที่ ๓๓ ถึง นาทีที่ ๒๕ วินาทีที่ ๓๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทำอะไรขึ้นมาก็ผิดทั้งนั้น

mp 3 (for download) : ทำอะไรขึ้นมาก็ผิดทั้งนั้น

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทำอะไรขึ้นมาก็ผิดทั้งนั้น

ทำอะไรขึ้นมาก็ผิดทั้งนั้น

หลวงพ่อปราโมทย์ : จริงๆเราอย่ากังวลนะ การภาวนา อย่ากังวลว่าทำผิด ผิดแน่นอน เพียงแต่ผิดน้อยลงๆต่างหากล่ะ ไม่ใช่ทำถูกหรอก ทำถูกคือไม่ทำอะไร รู้แต่ไม่ได้จงใจจะรู้ รู้แต่ไม่ได้จงใจ นอกนั้นก็ยังทำอยู่แต่ว่าทำแบบน้อยลงๆ ปรุงน้อยลงๆนะ ก็เข้าใกล้ความไม่ปรุงมากขึ้นๆ

งั้นเวลามาส่งการบ้านอย่ากลุ้มใจนะ ไม่มีถูกหรอก แต่ถ้าคนใหม่ๆมาถามหลวงพ่อทำถูกหรือยัง ก็ถูกนะ ตอบแบบสอนเด็กใหม่ก็ไปอีกอย่างนึง ถ้าสอนคนเก่าๆอย่าไปกังวลเลยยังไงก็ไม่ถูกหรอก ยอมรับความจริงได้ก็จะถูกเมื่อนั้น

มีบางคนภาวนาบอกท้อแท้ใจ ท้อใจแล้ว ภาวนามันเจริญแล้วก็เสื่อมไป เจริญแล้วก็เสื่อมไป อันนั้นเพราะอะไร เพราะใจไม่ยอมรับความจริง ว่าจิตมีธรรมชาติเจริญแล้วเสื่อมใช่มั้ย โอ้ ท้อใจๆ ไปท้อมันทำไม จิตมันเจริญแล้วเสื่อมนั่นความจริงของมันต่างหาก ถ้าเรายอมรับความจริงตรงนี้ได้ ใครเจริญล่ะใครเสื่อมล่ะ จิตเจริญจิตเสื่อม เพราะนั้นจิตเค้าเจริญก็รู้ไปสิ เจริญก็ไม่เที่ยงนะ จิตเสื่อมก็ช่างมันสิ เรื่องมันเสื่อมน่ะ มันเจริญได้มันก็เสื่อมได้สิ ในที่สุดจิตก็เป็นกลาง พอจิตเป็นกลางนะ เจริญก็ไม่ยินดี เสื่อมก็ไม่ยินร้าย ไม่มีคำว่าเจริญและเสื่อมในสารบบของเราอีกต่อไปแล้ว

งั้นภาวนานะจนกระทั่งมันเป็นกลางกับทุกสิ่งทุกอย่าง งั้นอย่าไปกังวล โอ๊ มาส่งการบ้านทีไรมีแต่ถูกว่าทุกทีเลย ผิดอีกแล้ว โน่นก็ผิด ไอ้นี่ก็ผิด มาส่งการบ้านมันก็ผิดแหงๆล่ะเพราะไปเล่าว่าไปทำอะไรมา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๗
Track: ๑๔
File: 511120.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๒ วินาทีที่ ๔๑ ถึง นาทีที่ ๒๔ วินาทีที่ ๒๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 30 of 67« First...1020...2829303132...405060...Last »